หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นคืออะไร ?

          หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นแนวคิดหรือข้อกำหนดที่ควรตระหนักถึง ในการปฏิบัติการปฐมพยาบาลแก่ผู้ป่วยฉุกเฉิน อย่างมีแบบแผน เพื่อให้การปฐมพยาบาลดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย

Fainting, first aid
ภาพแสดง การปฐมพยาบาลผู้ป่วยเป็นลม : การฝึกปฏิบัติในการอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED ณ โรงแรม เซนทรารา ศรีราชา ชลบุรี

วัตถุประสงค์ของหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

         วัตถุประสงค์ ของหลักการปฐมพยาบาลเบื้อต้น เพื่อกำหนดกรอบแนวทางในการให้การปฐมพยาบาลแก่ผู้ป่วยฉุกเฉิน เกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญที่ผู้ให้การปฐมพยาบาลต้องตระหนัก และนำไปสู่การปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ป่วยได้ครบถ้วนตามกระบวนการ อันประกอบด้วยหลัก 3′ P คือ

1) รักษาชีวิต (Preserve Life) 

          ประเด็น “การรักษาชีวิต” ในมุมมองของหลักการปฐมพยาบาล สามารถแยกย่อยออกได้เป็นอีก 3 ประเด็น คือ “ผู้ให้การปฐมพยาบาล – ผู้ป่วย และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์” ต้องปลอดภัย ก่อนจะกล่าวถึงรายละเอียดต่อไป ขอเชิญผู้อ่านได้ดูคลิปวีดีโอจากด้านล่างนี้กันก่อนนะครับ จะได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะศีกษากันต่อไปนี้ได้ง่ายขึ้น

วีดีโอ แสดงการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องให้ความระมัดระวัง

          จากวีดีโอด้านบน เราจะเห็นว่ามีการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น แสงสว่างน้อยเป็นข้อจำกัดของการมองเห็น ทางโค้งทำให้มุมการมองเห็นของผู้ขับรถแคบลง ความเร็วของการขับรถ เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่เราจะเข้าไปให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บฉุกเฉิน เราควรตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนตามมา  ต่อไปจะขอกล่าวถึงประเด็นของการรักษาชีวิตในแต่ละกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

1.1 รักษาชีวิตของผู้ให้การปฐมพยาบาล

           การรักษาชีวิตของผู้ให้การปฐมพยาบาล จะถือว่า เป็นสิ่งที่ต้องตระหนักไว้เป็นอันดับแรก ก็ว่าได้ เพราะหากเราเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยในสถานการที่ไม่ปลอดภัย แล้วเราต้องได้รับการบาดเจ็บหรืออันตราย ในหลักของการปฐมพยาบาลถือว่าไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มความสูญเสียที่รุนแรง

          ดังนั้นก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน เราต้อง “ประเมินสถานการณ์ – สิ่งแวดล้อม – และความปลอดภัย” ก่อนทุกครั้ง

  • ประเมินสถานการณ์ หมายถึง ผู้ให้การปฐมพยาบาลต้องพิจารณาดูก่อนว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น โดยสังเกตจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ เช่น
    • อุบัติเหตุการจราจร ก็สามารถสังเกตได้จากชิ้นส่วนของรถบนท้องถนน อันตรายที่สำคัญคือ รถที่วิ่งไปมาโดยเฉพาะช่วงกลางคืนแสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้การมองเห็นของผู้ขับขี่ลดลง หรือมีฝนตกถนนลื่นก็เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ทางโค้งทำให้การมองเห็นของผู้ขับขี่แคบลง และถ้าหากขับด้วยความเร็วสูง ก็ส่งเสริมให้มีความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น เราควรควบคุมความปลอดภัยให้ได้เสียก่อน จึงเข้าไปให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
    • ไฟฟ้าช็อต เรามักจะพบว่าผู้ป่วยนอนหมดสติ สิ่งที่พบได้ในที่เกิดเหตุคือ สายไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย เราต้องตัดกระแสไฟฟ้าก่อนเสมอ
    • ถูกทำร้ายร่างกาย หากเราไปพบหลังเหตุการณ์สงบลงแล้ว อาจไม่มีอันตรายอะไรมากนัก เราอาจพบผู้บาดเจ็บแบบรู้สึกตัว หรือไม่รู้สึกตัวก็ได้ แต่ก็พอมองออกได้ว่าร่างกายถูกทำร้ายบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม วัตถุต่างๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีความสำคัญด้านกฎหมาย ผู้ให้การปฐมพยาบาลต้องเก็บไว้ส่งมอบให้กับทางตำรวจต่อไป 
    • ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เราจะพบได้ทุกสถานที่ เช่น กลางถนน ส่วนสาธารณะ ร้านอาหาร ให้ยึดหลักการว่า ก่อนเข้าไปให้การช่วยเหลือ “ต้องประเมินสถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย” ก่อนทุกครั้ง
  • สิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่สิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ให้การปฐมพยาบาล มักเป็นเรื่องของ “อุบัติเหตุ” เช่น อุบัติเหตุการจราจร การก่อการจราจล เป็นต้น หากเป็นอุบัติเหตุด้านการจราจร ควรควบคุมการจราจรให้ปลอดภัยเสียก่อน จึงเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
  • ความปลอดภัย เราต้องมั่นใจทุกครั้งว่า “สถานการณ์ปลอดภัย” ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บหรือผู้ประสบเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงหน้าฝนมีน้ำท่วมหากเราเห็นว่าคนเดินผ่านไปข้างเสาไฟฟ้าแล้วอยู่ๆ ก็ล้มลงข้างเสาไฟฟ้า เราไม่ควรเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทันที เพราะบริเวณนั้นอาจมีไฟฟ้ารั่วอยู่ หากเราเข้าไปช่วยเราก็จะถูกไฟฟ้าช็อทหมดสติไปด้วย

1.2 รักษาชีวิตของผู้ป่วย

          เมื่อเราพบผู้ป่วยฉุกเฉินไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุทั่วไป หรืออุบัติเหตุก็ตาม หากผู้ให้การช่วยเหลือมีความรู้ในการประเมินอาการและให้การช่วยเหลือเบื้องต้นได้ จะช่วยลดอัตราความพิการ และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงได้ เราลองมาวิเคราะห์เหตุการณ์จากวีดีโอข้างล่างดูกันนะครับว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ให้การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร ขอให้ดูวีดีโอให้จบก่อนนะครับ

วีดีโอ แสดงการช่วยเหลือผู้ประเหตุรถยนต์ชนกับรถมอเตอร์ไซค์ มีผู้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย

          เป็นอย่างไรบ้างครับ เมื่อดูวีดีโอจบแล้ว ขอให้ผู้อ่านลองวิเคราะห์จากสถานการณ์ไว้ในใจในมุมมองของผู้อ่านก่อนนะครับ ไม่มีถูกหรือผิด ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันครับ แล้วเราค่อยมาร่วมวิเคราะห์ตามหลักการปฐมพยาบาลต่อไป จากที่ผู้เขียนได้นำเอาวีดีโออันนี้ไปเปิดให้กับผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED ในองค์กรต่างๆ ประมาณ 100 คลาสการอบรม ก็จะได้ความเห็นที่คล้ายๆ กันดังนี้ครับ

- ร้อยละ 90 แสดงความเห็นว่า "ไม่ควรลากผู้บาดเจ็บออกมาจากใต้ท้องรถ" เหตุผล "เพราะจะทำให้ผู้บาดเจ็บมีอาการรุนแรงขึ้นได้" 
- ร้อยละ 10 แสดงความเห็นว่า "ควรลากผู้บาดเจ็บออกมาแบบในวีดีโอ" เหตุผล "เพราะมีเหตุไฟไหม้ ไฟอาจลุกลามไปถึงผู้บาดเจ็บ หรือเกิดการระเบิดที่ถังน้ำมันของรถยนต์" และทำให้ผู้บาดเจ็บเสียชีวิตได้

          เราจะเห็นว่าผู้เข้ารับการอรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED ส่วนใหญ่มีความเห็นที่ขัดแย้งกับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่เกิดขึ้นในวีดีโอ และเหลือเพียง ร้อยละ 10 เท่านั้น ที่เห็นด้วยกับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บด้วยวิธี “ลากผู้บาดเจ็บออกมาจากใต้ท้องรถ” จากนั้นผู้เขียนได้เพิ่มสถานการณ์เพิ่มเติมว่า “ก่อนที่ผู้ช่วยเหลือจะลากผู้บาดเจ็บออกจากใต้ท้องรถ ก็พบว่าที่ต้นขาขวาของผู้บาดเจ็บมีกระดูกแทงโผล่ออกมาข้างนอก และมีอาการตกเลือดรุนแรง” มาดูผลกันครับ ในร้อยละ 10 ยังยืนยันว่าจะลากผู้บาดเจ็บออกมาจากใต้ท้องรถยนต์อยู่หรือไม่

   ปรากฎว่า จากร้อยละ 10 ที่แสดงความเห็นว่าจะลากผู้ป่วยออกมาจากใต้ท้องรถ เปลียนใจเป็น "ไม่ลากผู้ป่วยแล้ว" เหตุผล "เพราะเห็นว่ามีกระดูกต้นขาหักและมีเลือดออกรุนแรง" เหลือเพียง ร้อยละ 5 เท่านั้น ที่ยืนยันว่า "ต้องลากเหมือนเดิม" เหตุผล "เพราะต้องรักษาชีวิตของผู้บาดเจ็บไว้"

          ผลจากการแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ในวีดีโอ มีความแตกต่างกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีความเห็นที่ตรงกันข้ามกับในวีดีโอ ส่วนน้อยจะเห็นด้วย นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนใจเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เรื่องนี้บอกให้เรารู้ว่าการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการปฏิบัติได้จริงนั้น ต้องเน้นการฝึกคิดวิเคราะห์สถานการณ์ บวกกับการใช้ความรู้ทางทฤษฎี เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่เน้นการท่องจำเนื่องจากไม่สามารถประยุกใช้ได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปจากที่เคยท่องจำมาในห้องเรียน จากวีดีโอข้างต้น ผู้เขียนขอวิเคราะห์เป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้ครับ

  • เป็นอุบัติเหตุทางการจราจร
    • มีความเสี่ยงคือ “เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน” 
    • การป้องกัน “ควบคุมการจราจร” 
  • มีเพลิงลุกไหม้ที่ตัวรถมอเตอร์ไซค์
    • ความเสี่ยงคือ:
      • ไฟไหม้ลามถึงตัวผู้บาดเจ็บทำให้เสียชีวิต
      • ไฟไหม้ถึงตัวรถยนต์และเกิดการระเบิดทำให้ผู้บาดเจ็บเสียชีวิต
      • เกิดก๊าซ CO (Cabon monoxide) จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ บริเวณที่เกิดเหตุ
    • การป้องกัน “ใช้อุปกรณ์ดับเพลิง”
  • มีผู้ป่วยหมดสติใต้ท้องรถ
    • ความเสี่ยงคือ:
    • เสียชีวิตจากการสูดดมก๊าซ CO และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ก๊าซ CO จะไปจับกับเม็ดเลือดแทนที่ตำแหน่งของ O2 ส่งผลให้ O2 ไม่สามารถจับกับเม็ดเลือดได้ กระบวนการนำส่ง O2 สู่เซลล์ต่างๆ โดยเม็ดเลือดจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเซลล์สมองเมื่อขาด O2 ไม่นานก็จะหยุดทำงาน และเสียชีวิตในที่สุด
    • เสียชีวิตจากไฟลุกลามไปถึงตัวผู้ป่วย หรือจากการระเบิดของรถยนต์
    • เสียชีวิตจากทางเดินหายใจอุดกั้นจากกล้ามเนื้อโคนลิ้น หรือสำลักเศษน้ำหรืออาหารที่ไหลย้อนมาจากกระเพาะอาหาร อันตรายเรื่องนี้สามารถเกิดได้รวดเร็วพอๆ กับ 2 ข้อแรก (อ่านเพิ่มเติม: การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังหายใจ และมีชีพจร)

สรุป จากวีดีโอข้างต้นคือ

คำตอบคือ : การลากผู้ป่วยออกมาจากใต้ท้องรถ เป็นการช่วยเหลือที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นี้ เราเรียกว่า “การเคลื่อนย้ายผู้เจ็บป่วยแบบฉุกเฉินเหตุผลคือ

  1. ข้อแรกนี้ถือว่าสำคัญที่สุด คือ “ก๊าซ CO” ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบจากซากรถมอเตอร์ไซค์ ปริมาณเท่าไรบอกไม่ได้ แต่มีอันตรายต่อผู้บาดเจ็บแน่นอน หากผู้บาดเจ็บหายใจเอาก๊าซ CO เข้าไปในปอดและก๊าซดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ผู้บาดเจ็บจะเกิดภาวะขาด O2 และหากผู้บาดเจ็บขาด O2 ไม่เกิน 2 นาที สมองจะหยุดทำงาน และเส่ียชีวิตอย่างรวดเร็ว คำถาม ถ้าหากเรามีเวลาเพียง 2 นาที คิดว่าเราควรจะเลือกทำสิ่งใด เพื่อช่วยชีวิตของผู้บาดเจ็บ
  2. มีเพลิงลุกไหม้ ซึ่งอาจลุกลามไปถึงตัวผู้บาดเจ็บ หรือลามถึงถังน้ำมันของรถยนต์ทำให้เกิดการระเบิด ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยง เป็นเหตผลที่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว

คำถาม หากผู้บาดเจ็บมีกระดูกขาหัก กระดูกแขนหัก หรือบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง การลากออกมาแบบนี้จะทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงขึ้นหรือไม่

คำตอบ การลากผู้บาดเจ็บมากับพื้นราบๆ จะไม่ทำให้การบาดเจ็บที่มีอยู่แล้วรุนแรงขึ้น เพราะมีพื้นราบเป็นตัวประคองขณะลากผู้บาดเจ็บ เปรียบได้กับเฝือกธรรมชาติ เน้นว่า ห้ามยกแขนและขาผู้ป่วยโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมจากกระดูกที่หักอยู่แล้วได้

2. ป้องกันอาการผู้ป่วยแย่ลง (Prevent Deterioration)  

          จากเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผู้เขียนมีประสบการณ์จัดการอบรมหลักสูตรปฐมพยาบาล (First Aid) ในหน่วยงานต่างๆ คำถามหนึ่งที่ผมถามเสมอๆ เพื่อเป็นการ Pre-test (บททดสอบความรู้ก่อนเรียน) คือ “ถ้าหากเราพบคนหมดสติ ล้มไปต่อหน้าต่อตาเราจะทำอย่างไร” เชื่อมั้ยครับ หลายๆ คนนิ่งๆ หลายๆ คนบอกโทรแจ้ง 1669 

         คำถาม คือ หากเราโทร 1669 แล้วอีกนานมั้ยครับที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินจะเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ถ้ามาถึงภายใน 10 – 20 หรือ 30 นาที เราๆ คิดว่าผู้ป่วยฉุกเฉินรายที่เราพบประสบเหตุจะมีโอกาสรอดชีวิตซักกี่เปอร์เซ็นต์ ใน กรณีที่เกิดการเจ็บป่วยฉุกเฉิน คนที่อยู่ใกล้ชิดถือว่าเป็นคนที่สำคัญที่สุด ในการจะช่วยให้ผู้ป่วยอาการไม่แย่ลง ก่อนที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึงที่เกิดเหตุ

ภาพแสดง การร้องขอความช่วยเหลือกรณีพบผู้ป่วยหมดสติ : การฝึกปฏิบัติในหลักสูตร First Aid – CPR and AED

          เราจะมาพูดคุยกันนะครับว่า กรณีที่พบผู้ป่วยฉุกเฉฺินทางการแพทย์ เราจะทำอย่างไรไม่ให้อาการของผู้ป่วยทรุดลง โดยแบ่งประเด็นต่างๆ ดังต่อไปนี้

กรณีที่ 1 พบผู้ป่วยหมดสติ หรือไม่รู้สึกตัว โดยผู้ป่วยมักจะนอนอยู่ในที่ๆ ไม่ควรจะนอน เช่น ข้างทาง สานสาธารณะ หรือที่ทำงาน ฯลฯ หรือบางครั้งเราอาจพบผู้ป่วยหมดสติล้มลงต่อหน้าต่อตาก็ได้ อาการหมดสติ คือ “การทำงานของสมองลดลงเฉียบพลัน” สาเหตุก็คือ “มีเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ” จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ทางเดินหายใจอุดกั้นเฉียบพลัน ไฟฟ้าช็อต เป็นต้น ให้เราประเมินการทำงานของระบบสำคัญของร่างกาย 3 ระบบ ดังต่อไปนี้

1. สมอง คือ การประเมินการทำงานของระบบประสาท (อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างและการทำงานของระบบประสาท) ด้วยการตบที่ไหล่ทั้งสองข้างของผู้ป่วย พร้อมเรียกด้วยเสียงที่ดังพอสมควร หากผู้ป่วยไม่มีการตอบสนอง ให้เราตะโกนร้องขอความช่วยเหลือทันที

ภาพแสดง การประเมินความรู้สึกตัวของผู้ป่วย (การทำงนของระบบประสาท) : การฝึกปฏิบัติหลักสูตร First Aid – CPR and AED กรมโรงงานอุตสาหกรรม

2. หายใจ คือ การประเมินการทำงานของระบบทางเดินหายใจ (อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างและการทำงานของระบบหายใจ) ด้วยการเปิดทางเดินหายใจด้วยวิธี “กดหน้าผากและยกขากรรไกรด้านข้าง” (Head Till Chin Lift) พร้อมกับมองไปที่หน้าอกหรือท้องของผู้ป่วยว่ามีการขยับขึ้นลงหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าผู้ปวยยังหายใจได้ หมายเหตุ : บางสถาบันจะสอนให้เราประเมินการหายใจอย่างเดียวไม่ต้องประเมินชีพจร หมายความว่า ถ้าผู้ป่วยหายใจได้ ก็แสดงว่ายังมีชีพจร เพราะถ้าผู้ป่วยหายใจไม่เกิน 2 นาที สมองจะหยุดทำงาน หัวใจจะหยุดเต้น ก็จะไม่มีชีพจรด้วยเช่นกัน

ภาแสดง การเปิดทางเดินหายใจเพื่อประเมินการหายใจในผู้ป่วยที่หมดสติ : การฝึกปฏิบัติการอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED บริษัท โททาล คอร์เบียน จำกัด บ้านฉาง ระยอง

3. ไหลเวียน คือ การประเมินการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตด้วยการจับชีพจร ทำในขณะที่ยังเปิดทางเดินหายใจและประเมินการหายใจ (อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างและการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต) กรณีของคนที่หมดสติ เราจะจับชีพจรอยู่ 2 ตำแหน่งคือ “ที่ลำคอข้างหลอดลมใหญ่” (Carotid Artery) และ “บริเวณขาหนีบ” (Femoral Artery) แต่สำหรับประชาชนทั่วแนะนำให้จับที่คอข้างหลอดลมใหญ่จะสะดวกกว่า อย่างไรก็ตามบางสถาบันก็แนะนำว่าหากเป็นประชาชนทั่วไปไม่แนะนำให้จับชีพจรเพราะจะทำให้เสียเวลาหากจำเป็นต้องเริ่มทำ CPR ในผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลัน 

คลำชีพจร, จับชีพจร ผู้ป่วยหมดสติ
ภาพแสดง การจับชีพจรที่ลำคอข้างหลอดลมใหญ่: การฝึกปฏิบัติอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED บริษัท เบคา กรุงเทพฯ

          สรุปกรณีตัวอย่างที่ 1 หลังจากเราประเมินการทำงานของ “สมอง-หัวใจ-ไหลเวียนแล้ว” จะได้ผลเป็น 2 ประเด็นดังต่อไปนี้

ประเด็นที่ 1 ผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังหายใจ และมีชีพจร การป้องกันไม่ให้อาการผู้ป่วยแย่ลงด้วยการจัดท่าฟื้นฟู (Recovery Position) ให้ผู้ป่วย (อ่านเพิ่มเติม: การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังหายใจและมีชีพจร

ประเด็นที่ 2 ผู้ป่วยหมดสติ หยุดหายใจ ไม่มีชีพจร (หัวใจหยุดเต้น) กรณีนี้ผู้ช่วยเหลือต้องเริ่มทำ CPR ทันที่ (อ่านเพิ่มเติม: การกู้ชีพขั้นพื้นฐาน)

3. ส่งเสริมการฟื้นฟูอาการของผู้บาดเจ็บ (Promote Recovery)

          หัวข้อนี้เป็นหัวข้อสุดท้ายของหลักการปฐมพยาบาล ประสิทธิภาพของข้อนี้จะเกิดขึ้นได้การปฐมพยาบาลต้องมีความเชื่อมโยงกับ 2 ข้อแรก (ข้อ 1 และ 2) เป้าประสงค์ของข้อนี้คือ “ช่วยให้ผู้เจ็บป่วยฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยได้โดยเร็ววัน” โดยยึดหลัก “3′ C” ดังรายละเอียดคือ

C ⇒ Check  หมายถึง การตรวจเช็ค “อาการ และอาการแสดง” ต่างๆ ที่จะทำให้อาการของผู้บาดเจ็บแย่ลง เช่น มีบาดแผลขนาดใหญ่และการตกเลือดหรือไม่ มีแขนขาผิดรูปหรือไม่ ระดับความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร การหายใจปกติหรือไม่ ชีพจรปกติหรือไม่ ฯลฯ (อ่านเพิ่มเติม: การประเมินสัญญาณชีพ) ผู้ช่วยเหลือต้องมีความรู้ในการประเมินอาการต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น

ภาพแสดง การประเมินการหายใจและชีพจร: การฝึกปฏิบัติอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED บริษัท เบคา (ประเทศไทย) จำกัด กรุงเทพฯ

C ⇒ Call หมายถึง “การร้องขอความช่วยเหลือ” ผู้ป่วยฉุกเฉินทางการแพทย์มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการดูแล 2 ระดับคือ “การดูแลเบื้องต้นจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และการดูแลจากทีมแพทย์ฉุกเฉิน” เนื่องจากภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์บางอย่างหากไม่ได้รับการดูแลเบื้องต้นทันทีอาจทำให้เสียชีวิตได้ในช่วงเวลาไม่กี่นาที เช่น ทางเดินหายใจอุดกั้นจากการสำลัก (Choking) (อ่านเพิ่มเติม : การปฐมพยาบาลผู้ป่วยสำลักอาหาร) ผู้ป่วยไฟฟ้าช็อต (อ่านเพิ่มเติม : การปฐมพยาบาลผู้ป่วยไฟฟ้าช็อต) ผู้ป่วยหมดสติ ผู้ป่วยไม่หายใจ ไม่มีชีพจร (อ่านเพิ่มเติม : การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ ไม่หายใจ ไม่มีชีพจร) ผู้ป่วยมีแผลขนาดใหญ่ (อ่านเพิ่มเติม : การปฐมพยาบาลบาดแผลและการตกเลือด) ฯลฯ  ผู้ที่ให้การปฐมพยาบาลต้องแจ้งขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น 1669 หรือร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเพื่อเข้ามาช่วยเหลือในขั้นตอนการปฐมพยาบาลต่างๆ ที่จำเป็น 

ภาพแสดง การโทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ฉุกเฉิน : การฝึกปฏิบัติอบรมหลักสุตร First Aid – CPR and AED บริษัท เบคา (ประเทศไทย) จำกัด กรุงเทพฯ

C ⇒ Care  หมายถึง “ให้การดูแล ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือให้การปฐมพยาบาล” ขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่เราได้มีการเช็คอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย (C-check) เมื่อเราพบว่าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงเกินกว่าที่เราจะให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น เราจะต้องร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (C-call) จากนั้นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ควรให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามลักษณะอาการและการแสดงที่เราตรวจพบ ก่อนที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินจะเดินทางมาถึง เช่น หากผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังหายใจ และมีชีพจร ให้เราปฐมพยาบาลด้วยการจัดท่านอนตะแคงฟื้นฟู (Recovery Position) เพื่อป้องกันการอุดกั้นทางเดินหายใจ (Airway Obstruct

ผู้ป่วยหมดสติ ไม่รู้สึกตัว unconscious recovery position
ภาพแสดง สาธิตการจัดท่านอนตะแคงหรือท่าฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังหายใจ และมีชีพจร : การฝึกอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED บริษัท เบคา (ประเทศไทย) กรุงเทพฯ

7 ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

          สำหรับขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่จะกล่าวถึงต่อไป เพื่อให้สามารถจำได้ง่าย ผู้เขียนขอใช้อักษรย่อภาษาอังกฤษ 7 ตัว คือ DR’S-A-B-C-D อ่านว่า “ด็อกเตอร์เอส-เอ-บี-ซี-ดี” โดยมีรายละเอียดคือ

DR’S-A-B-C-D = หมายถึง Danger คือ อันตรายในที่เกิดเหตุ ก่อนที่เราจะเข้าไปให้การช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน เราต้อง “ประเมินสถานการณ์ – สิ่งแวดล้อม – และความปลอดภัย” ก่อนเสมอ ในช่วงนี้เราจะยังไม่ได้เข้าถึงตัวผู้เจ็บป่วย คือต้องดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร ปลอดภัยแล้วหรือยัง

  • อุบัติเหตุทางการจราจร เราควรควบคุมการจราจร ก่อนเป็นอย่างแรก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุซ้ำซ้อน
  • อุบัติเหตุจากไฟฟ้า ต้องตัดกระแสไฟฟ้าก่อนเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วย
  • ระวังเรื่องของวัตถุตกใส่ สุนัขดุร้าย เรื่องของไฟ เรื่องของระเบิด เรื่องของสารเคมี เป็นต้น
  • ช่วยคนตกน้ำ ให้ใช้วิธี “ตะโกน – โยน – ยื่น” โดยตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่่น โยนหรือยื่นอุปกรณ์ที่หาได้เช่น กิ่งไม้ เชือกผูกขวดน้ำให้กับผู้ประสบเหตุ แทนการกระโดดลงไปช่วยผู้ประสบเหตุโดยตรง เพราะเราอาจถูกกอดรัดจากผู้ประสบเหตุและจมน้ำไปด้วยกัน

          เราจะไม่เข้าไปช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินจนกว่าเหตุการณ์จะสงบเสียก่อน โดยยึดหลักว่า “เราจะไม่เข้าไปในเหตุการณ์ และต้องกลายเป็นผู้เจ็บป่วยเสียเอง” 

DR‘S-A-B-C-D หมายถึง Response คือ การประเมินการทำงานของระบบประสาท (อ่านเพิ่มเติม : โครงสร้างและการทำงานของระบบประสาท) โดยสังเกตว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวหรือไม่ ถ้าหากไม่รู้สึกตัวให้ประเมินอาการทางระบบประสาทด้วยการ “ตบที่ไหล่ทั้งสองข้างของผู้เจ็บป่วย พร้อมเรียกด้วยเสียงที่ดังพอสมควร”  หากผู้เจ็บป่วยไม่มีการตอบสนองแสดงว่าระบบประสาททำงานลดลง ถือเป็นภาวะวิกฤตทางการแพทย์ ให้ผู้ช่วยเหลือร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างทันที เพื่อจะได้มีคนเข้ามาช่วยเราปฐมพยาบาลในขั้นตอนอื่นๆ ที่สำคัญ รวมทั้งให้เขาช่วยโทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ฉุกเฉินที่เบอร์ 1669 (อ่านเพิ่มเติม : การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังหายใจ และมีชีพจร)

ภาพแสดง การประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วยที่หมดสติ : การฝึกปฏิบัติหลักสูตร First Aid – CPR and AED บริษัทเกศา กรุ๊ป กรุงเทพฯ

          กรณีที่ผู้เจ็บป่วยรู้สึกตัว ให้ผู้ช่วยเหลือประเมินการทำงานของสมอง ด้วยการถามคำถามเกี่ยวกับเวลา สถานที่ กลางวันกลางคืน แล้วประเมินดูว่าผู้เจ็บป่วยตอบได้ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ หรือผู้เจ็บ่วยสามารถทำตามที่เราบอกได้หรือไม่ เช่น ชูนิ้วชี้มือข้างขวา กำมือซ้าย เป็นต้น หากผู้ป่วยสามารถทำได้ ก็แสดงว่าระบบประสาทของผู้เจ็บป่วยยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่างไรก็ตาม เราควรตรวจประเมินร่างกายบริเวณใบหน้า ศีรษะ ด้วยเสมอว่ามีการบาดเจ็บ บวมโนด้วยหรือไม่ (Head Injury) เนื่องจากอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ เราสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่แรกของการเกิดอุบัติเหตุ ไปจนถึงภายใน 24 ชม. หลังการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นหากมีการบาดเจ็บบริเวณศีรษะเราต้องประเมินอาการทางระบบประสาทด้วยทุกครั้ง (อ่านเพิ่มเติม: การตรวจประเมินการทำงานของระบบประสาทด้วย GCS)

DR’S-A-B-C-D หมายถึง Sent for help คือ การร้องขอความช่วยเหลือ หรือโทรศัพท์แจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน ปัจจุบันที่สามารถโทรได้ฟรีทั่วประเทศคือเบอร์ 1669 ซึ่งก่อนที่เราจะโทรนั้นเราควรเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้

  • เกิดเหตุอะไร
  • สถานที่เกิดเหตุ หากไม่ทราบให้เปิด Google Map ในโทรศัพท์มือถือของเราดูก่อน
  • อาการของผู้เจ็บป่วย เราควรประเมินอาการของผู้เจ็บป่วยโดยคร่าวๆ ก่อนโทรแจ้ง
  • จำนวนผู้ป่วย หากมีจำนวนมากให้เราประมาณคร่าวๆ ได้
  • การช่วยเหลือที่ทำให้กับผู้เจ็บป่วย เช่น การห้ามเลือด การเข้าเฝือก การทำ CPR เป็นต้น
  • ชื่อ และเบอร์ผู้แจ้งเหตุ เพื่อการสอบถามเพิ่มเติมเมื่อทีมแพทย์ฉุกเฉินต้องการเพิ่มเติม
ภาพแสดง เบอร์โทรศัพท์สายด่วนของหน่วยงานของรัฐบาลไทย

DR’S-A-B-C-D หมายถึง Airway คือ การเปิดทางเดินหายใจ ในผู้ป่วยที่หมดสติ กล้ามเนื่อทั่วร่างกายจะมีความตึงตัวน้อยลง เนื่องจากสมองทำงานลดลง หากผู้ป่วยที่หมดสติอยู่ในท่านอนหงายราบ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อโคนลิ้นที่อ่อนตัวลง ค่อยๆ ตกลงมาปิดทางเดินหายใจและทำให้หยุดหายใจได้ ดังนั้นก่อนประเมินการหายใจให้เราเปิดทางเดินหายใจผู้ป่วยก่อนทุกครั้ง  กรณีที่ผู้ป่วยหยุดหายใจไปไม่นานเมื่อเราเปิดทางเดินหายใจ อาจทำให้ผู้ป่วยกลับมาหายใจได้เอง

ภาพแสดง ทางด้านขวาทางเดินหายใจเปิดปกติ ทางด้านขวาทางเดินหายใจถูกปิดจากกล้ามเนื้อโคนลิ้น

          การเปิดทางเดินหายใจมีอยู่ 2 วิธี คือ

         วิธีที่ 1 กดหน้าผาก และยกขากรรไกรล่าง (Head Till Chin Lift) วิธีนี้เหมาะกับผู้เจ็บป่วยฉุกเฺฉินที่หมดสติจากสาเหตุทั่วไป ที่ไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังส่วนต้นคอ (Cervical Spine Injury

         วิธีที่ 2 ยกมุมขากรรไกรล่าง (Jaw Thrust Maneuver) วิธีนี้เหมาะกับผู้เจ็บป่วยที่คาดว่าจะมีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังส่วนต้นคอ เช่น ผู้ป่วยที่เกิดอุบัติเหตุรวมกับการหมดสติ

ภาพแสดงการเปิดทางเดินหายใจ 2 แบบ

DR’S-A-B-C-D หมายถึง Breathing คือ การหายใจ การประเมินการหายใจของผู้ป่วยด้วยการมองที่หน้าอกหรือท้องในขณะที่เรายังคงเปิดทางเดินหายใจค้างไว้ ใช้เวลาการประเมินไม่เกิน 10 วินาที หากมีการขยับขึ้นลงหน้าหน้าอกหรือท้องแสดงว่าผู้ป่วยยังหายใจอยู่ แต่หากไม่มีการขยับขึ้นลงของหน้าอกหรือท้อง แสดงว่าผู้ป่วยไม่หายใจ เราต้องรีบให้การช่วยหายใจ การช่วยหายใจแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ คือ 

ภาพแสดง การช่วยหายใจแบบปากเป่าปาก (Mouth to Mouth)

          การช่วยหายใจแบบ “ปากเป่าปาก” (Mouth to Mouth) วิธีนี้จะใช้เมื่อไม่มีอุปกรณ์ในการช่วยหายใจชนิดใดเลย โดยเปิดทางเดินหายใจแบบ “กดหน้าผาก ยกขากรรไกรล่าง” (Head Till Chin Lift) เลื่อนมือข้างที่จับหน้าผากของผู้ป่วยมาบีบจมูกของผู้ป่วยไว้ เคลื่อนมือที่ยกขากรรไกรล่างมาจับที่คางของผู้ป่วยเพื่อเปิดปากของผู้ป่วยออก ผู้ช่วยเหลือหายใจเข้าลึก กลั้นลมหายใจไว้ แล้วใช้ปากผู้ช่วยเหลือประกบกับปากของผู้ป่วยให้แนบสนิท ค่อยๆ เป่าลมเข้าไปในปากของผู้ป่วย ขณะที่เป่าลมให้ชำเลืองตามองไปที่หน้าอกหรือท้องของผู้ป่วยว่าขยับขึ้นสูงในขณะที่เราเป่าลมหรือไม่ หากไม่ขยับให้เราเปิดทางเดินหายใจเพิ่มอีกเล็กน้อย แล้วลองช่วยหายใจอีกครั้ง การช่วยหายใจแต่ละครั้งควรเป่าเบาๆ ไม่เป่ากระแทรก เพราะจะทำให้ลมที่เราเป่าเข้าไปในกระเพราะอาหาร เมื่อกระเพาะอาหารฟองตัวจากลมที่เป่าเข้าไป จะไปขัดขวางการไหลเวียนโลหิตในช่องอกได้ (อ่านเพิ่มเติม : การช่วยหายใจ)

วีดีโอแสดง การใช้แผ่นรองช่วยหายใจ (Face Shield for CPR)

           การช่วยหายใจแบบ “แผ่นรองช่วยหายใจ” (Face Shield for CPR) เป็นแผ่นพาสติก และมีช่องสำหรับเป่าลมช่วยหายใจกับผู้ป่วย (One Way Valve) ลมหายใจออกของผู้ป่วยจะไม่ย้อนกลับเข้ามาที่ช่อง One way valve  ช่วยลดการสัมผัสปากต่อปากระหว่างผู้ช่วยเหลือและผู้ป่วยโดยตรง พกพาสะดวกเนื่องจากมีขนาดเล็ก สามารถใช้ได้สำหรับบุคคลทั่วไปที่ได้รับการฝึกอบรมมาแล้ว (อ่านเพิ่มเติม : การช่วยหายใจ)

วีดีโอแสดง การช่วยหายใจแบบ “เป่าปากและจมูก” (Mouth to Mouth and Nose) สำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี

         การช่วยหายใจแบบ “เป่าปากและจมูก” (Mouth to Mouth and Nose) วิธีนี้ใช้ช่วยหายใจสำหรับเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี เนื่องจากเด็กมีจมูกและปากอยู่ชิดกัน และปลกจมูกยังไม่ใหญ่พอสำหรับการจับบีบเหมือนกับของผู้ใหญ่ การช่วยหมายใจวิธีนี้จะต้องเปิดทางเดินหายใจคล้ายกับของผู้ใหญ่ แต่จะเปิดทางเดินหายใจโดยยกขากรรไกรล่างให้หน้าเงยขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กจะมีขนาดเล็กและสั้นกว่าผู้ใหญ่ หากเปิดทางเดินหายใจมากเกินไปจะทำให้ทางเดินหายใจของเด็กปิดจากโคนลิ้นของเด็กที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของหลอดลม และผู้ช่วยเหลือหายใจเข้า กลั้นหายใจไว้ ใช้ปากครอบไปที่ปากและจมูกของเด็กให้แนบสนิท เป่าลมเบาๆ พร้อมกับชำเลืองมองที่หน้าอกของเด็ก ให้ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว (อ่านเพิ่มเติม : การช่วยหายใจ)

วีดีโอแสดง การช่วยหายใจโดยใช้ หน้ากากช่วยหายใจ (Pocket Mask)

          การช่วยหายใจโดยใช้ “หน้ากากช่วยหายใจ” (Pocket Mask) การช่วยหายใจด้วยวิธีนี้ ปากของผู้ช่วยหายใจจะไม่สัมผัสโดยตรงกับปากของผู้ป่วย ช่วยป้องกันโรคที่ติดต่อจากการสัมผัสได้ เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โควิท-19 ไวรัสเริม เป็นต้น หน้ากากช่วยหายใจสามารถใช้ได้ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไปที่ผ่านการฝึกอบรมการใช้มาแล้ว สะดวกในการพกพาเนื่องจากมีขนาดเล็ก (อ่านเพิ่มเติม : การช่วยหายใจ

วีดีโอแสดง การช่วยหายใจด้วย เครื่องช่วยหายใจชนิดมือบีบ (Bag Valve Mask: BVM)

          การช่วยหายใจแบบ “เครื่องช่วยหายใจชนิดมือบีบ” (Bag Valve Mask: BVM) BVM จะเหมาะสำหรับบุคลากรทางการแพทย์มากกว่าบุคคลทั่วไป เนื่องจากวิธีใช้ค่อนข้างต้องอาศัยความชำนาญ และการฝึกฝนบ่อยๆ จึงจะสามารใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีขนาดที่พกพาลำบาก แต่เป็นวิธีช่วยหายใจที่ถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ช่วยเหลือผู้ป่วยไม่ต้องใช้ปากและจมูกไปใกล้ชิดกับผู้ป่วย (อ่านเพิ่มเติม : การช่วยหายใจ)

DR’S-A-B-C-D หมายถึง Circulation คือ การประเมินการไหลเวียนโลหิต เพื่อดูว่าหัวใจของผู้ป่วยยังทำงานอยู่หรือไม่ ด้วยการจับชีพจร (Pulse) (อ่านเพิ่มเติม : การประเมินสัญญาณชีพ) ชีพจรเป็นคลื่นแรงดันของเลือดในหลอดเลือดแดงที่ถูกส่งออกมาจากหัวใจห้องล่างซ้าย (Left Ventricle) (อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างและการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต) เราสามารถจับชีพจรตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้หลายตำแหน่ง แต่ในที่นี้ผู้เขียนขอแนะนำเพียง 4 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้บ่อย ในสองสถานการณ์ คือ

  • กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัว เรานิยมจับ “ชีพจรที่ข้อมือ” (Radial Pulse) เป็นตำแหน่งที่นิยมใช้โดยทั่วไป และ ชีพจรที่ข้อพับแขน (Brachial Pulse) ใช้กรณีที่จับชีพจรที่ข้อมือไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่ตำแหน่งนี้เราจะใช้วัดความดันโลหิตเป็นหลัก
  • กรณีผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ควรจับชีพจร 2 ตำแหน่งต่อไปนี้คือ  ชีพจรที่ข้างลำคอ (Carotid Pulse) สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ แนะนำให้ใช้ตำแหน่งนี้เป็นหลัก เพราะจะสามารถจับชีพจรได้ง่าย หากได้รับการฝึกอบรมในการฝึกปฏิบัติมาแล้ว และ ชีพจรที่ขาหนีบ (Femoral Pulse) ตำแหน่งนี้จะใช้ประเมินชีพจรได้ยากสำหรับคนทั่วไป เหมาะสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่จะใช้ประเมินชีพจรในกรณีที่มีการทำ CPR เท่านั้น
คลำชีพจร, จับชีพจร ผู้ป่วยหมดสติ
ภาพแสดง การจับชีพจรที่ข้างลำคอ (Carotid Pulse) การฝึกปฏิบัติอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED บริษัท เบคา กรุงเทพฯ

DR’S-A-B-C-D หมายถึง Defibrillator คือ เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ หรือ Automated External Defibrillator: AED เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับ “ปรับกระบวนการสร้างไฟฟ้าหัวใจ” ซึ่งบุคคลทั่วไปที่ได้รับการฝึกอบรมการใช้เครื่องจนชำนาญแล้ว สามารถนำเครื่องนี้ไปใช้กับผู้ป่วยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วย  (อ่านเพิ่มเติม : การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator: AED) เครื่อง AED มีความสำคัญมากสำหรับช่วยชีวิตผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) จากสาเหตุต่างๆ ซึ่งที่พบได้มากในปัจจุบันคือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

ภาพแสดง การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ การฝึกปฏิบัติการอบรมหลักสูตร First Aid – CPR and AED

สรุปหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

           หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น (First Aid Principle)  เป็นหลักการ หรือแนวคิดในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินจากสาเหตุต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ

  • รักษาชีวิตของผู้ป่วย
  • ป้องกันอาการผู้ป่วยแย่ลง
  • ส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วย

            โดยมีขั้นตอนในการปฐมพยาบาล ด้วยการใช้อักษรย่อ DR’S-A-B-C-D กล่าวโดยสรุปคือ

  • D = Dangerous คือ การประเมินอันตรายของสถานการณ์ที่เกิดเหตุ ก่อนเข้าไปช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย
  • R = Responsiveness คือ การประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย
  • S = Sent to help คือ การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
  • A = Airway คือ การเปิดทางเดินหายใจของผู้ป่วย ตามความเหมาะสมของผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินแต่ละราย
  • B = Breathing คือ การประเมินการหายใจของผู้ป่วย
  • C = Circulation คือ การประเมินการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต ด้วยการจับชีพจร
  • D = Defibrillator คือ การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ หรือ AED โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน  

เอกสารอ้างอิง
https://survivalfirstaidkits.net.au/pages/principles-of-first-aid
https://www.virtual-college.co.uk/resources/the-principles-and-practices-of-first-aid
https://www.jaypeehealthcare.com/blog/three-cs-and-three-ps-first-aid
https://www.firstaidpro.com.au/blog/what-does-drsabcd-stand-for/
https://my.clevelandclinic.org/health/diagnostics/17402-pulse–heart-rate