ระบบไหลเวียนโลหิต, ระบบไหลเวียนเลือด

ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation system)

ระบบไหลเวียนโลหิต, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

          การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตมีลักษณะเป็นวงจรไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา โดยมีหัวใจเปรียบได้กับปั้มน้ำที่ผลักดันให้มีการไหลเวียนของเลือดดำ และเลือดแดง เริ่มที่หัวใจห้องบนซ้ายรับเลือดแดงมาจากปอดทั้งสองข้าง โดยผ่านมาทางหลอดเลือดดำปอด (Pulmonary vien) แล้วผ่านลิ้นหัวใจไมทรัล (Mitral valve) ลงไปยังหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle: LV) เลือดจะผ่านลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aotic valve) ไปยังหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า (Aotar) จากนั้นเลือดแดงจะแบ่งออกเป็นสองทิศทาง คือไปเลี้ยงส่วนบนของร่างกาย ตั้งแต่ระดับใต้รักแร้จนถึงศีรษะ และส่วนร่างของร่างกายคือตั้งแต่ใต้รักแร้งถึงปลายเท้า 

          หลอดเลือดแดงที่ออกจากหัวใจจะกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นหลอดเลือดฝอย (Capillary) ซึ่งมีผนังบางๆ เพียงชันเดียว ในตำแหน่งของหลอดเลือดฝอยจะมีการนำส่ง O2 สารอาหารต่างๆ ที่จะเป็นต่อการดำรงชีวิตของเซลล์ และผลิตพลังงานให้ร่างกายมีชีวตอยู่ได้ ในขณะเดียวกันหลังจากที่เซลล์มีการเผาผลาญให้เกิดพลังงานแก่ร่างกายแล้วก็จะมีของเสียเกิดขึ้นตามมาคือ ยูเรีย ยูริก แอมโนเนีย และ Co2 ซึ่งของเสียเหล่านี้จะถูกส่งกลับเข้ามาในกระแสเลือดเพื่อนำไปกำจัดทิ้งออกจากร่างกายต่อไป กรณีที่เลือดแดงนำส่ง O2 ให้กับเซลล์ และรับเอา Co2 เลือดแดงจะเปลี่ยนเป็นเลือดดำ จากนั้นเลือดดำจะไหลรวมกันเป็นเป็นเส้นเลือดดำใหญ่ ถ้ามาจากส่วนบนของร่างกายจะเรียกว่า ซุปพีเรีย เวนา คาวา (Supperior vena cava) ถ้ามาจากส่วนล่างจะเรียกว่า อินฟีเรีย เวนา คาวา (Inferior vena cava) โดยที่ทั้งสองเส้นนี้จะไหลกับไปที่หัวใจห้องบนขวา ผ่านไปล่างขวา และส่งเลือดดำไปฟอกที่ปอดทั้งสองข้าง เป็นวงจรต่อเนื่องไปตลาดเวลา

          ระบบไหลเวียนโลหิต เป็นระบบหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย และทำงานร่วมกับระบบต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายของเราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ และสุขภาพที่ดี ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานร่วมกับระบบต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ระบบทางเดินหายใจ จะมีหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน (Oxygen: O2) กับคาร์บอน ไดออกไซด์ (Carbondioxide: Co2) กับระบบไหลเวียนโลหิต เมื่อเราหายใจเข้า O2 รอบๆ ตัวเราคิดเป็นร้อยละ 21 จะผ่านจมูก หลอดลมใหญ่ไปถึงถุงลมปอด รอบๆ ถุงลมปอดจะมีเส้นเลือดฝอยล้อมอยู่รอบๆ O2 ในถุงลมจะสูงกว่าในหลอดเลือดฝอยทำให้ O2 ซึมผ่านเข้าไปในหลอดเลือดฝอยได้ คิดเป็นร้อยละ 5 ของ O2 ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน เลือดที่อยู่ในหลอดเลือดฝอยจะมีปริมาณของ Co2 สูงกว่าในถุงลมจึงทำให้มีการเคลื่อนตัวของ Co2 ผ่านเข้าไปในถุงลมซึ่งมีปริมาณของ Co2 น้อยกว่า และถูกขับออกมาพร้อมกับลมหายใจออก (คลิกเพื่ออ่านต่อ : โครงสร้างและการทำงานของระบบหายใจ)
  • ระบบทางเดินอาหาร เลือดที่ไหลเวียนไปยังสำไส้เล็กจะดูดซึมสารอาหารจากลำไส้เล็ก เช่น กลูโคส (Glucose) กรดอะมิโน (Amino acid) กรดไขมัน (Fatty acid) ฯลฯ สารอาหารเหล่านี้เกิดจากกระบวนการย่อยอาหารที่เรารับประทานเข้าไป แล้วถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ด้วยวิธี ดิฟฟิวชั่น (Diffusion) และ ออสโมซีส (Osmosis) (2)จากนั้นจะนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย 
  • ระบบทางเดินปัสสาวะ เลือดที่ไหลไปที่ไต ไตจะทำหน้าที่กรองของเสียที่อยู่ในเลือดและกำจัดของเสียออกทางน้ำปัสสาวะ นอกจากนั้นไตยังทำหน้าที่ควบคุมสารน้ำที่กระแสเลือดให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม 
  • ระบบผิวหนัง เพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย คือ เมื่ออุณหภูมิในร่างกายมีร้อนเกิน หลอดเลือดส่วนปลายที่อยู่บริเวณผิวหนังจะขยายตัว เพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดซึ่งนำความร้อนจากแกนกลางของร่างกายมาที่บริเวณผิวหนังมากขึ้น ความร้อนจึงถูกระบายออกสู่สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเราได้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากรอบๆ ตัวเรามีอุณหภูมิที่เย็น หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังจะหดตัว ลดการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนัง เพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกายไว้

ส่วนประกอบของระบบไหลเวียนโลหิต

          ระบบไหลเวียนโลหิต ประกอบด้วย หัวใจ (Heart) หลอดเลือดแดง (Arterry) หลอดเลือดดำ (Vein) เม็ดเลือด (Blood cell) เม็ดเลือดขาว (White blood cell) เกร็ดเลือด (Platelet) และน้ำเหลือ (Plasma) 

หัวใจ (Heart or Cardio)

          หัวใจเป็นกล้ามเนื้อ (Cardiac muscle) ที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งมีลักษณะร่วมกันของกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อเรียบเข้าไว้ด้วยกัน (1)  ลักษณะของกล้ามเนื้อลาย คือ กล้ามเนื้อหัวใจสามารถหดตัวได้แข็งแรง และใช้พลังงานในการหดตัวสูง ส่วนที่เหมือนกับกล้ามเนื้อเรียบ คือ สามารถหดตัวได้โดยไม่ต้องมีการกระตุ้นจากระบบประสาท เนื่องจากสามารถสร้างไฟฟ้ากระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัวและคลายตัวได้เอง แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนการเต้นของหัวใจจากการกระตุ้นจากสมองได้ หัวใจตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางหน้าอก หลังกระดูกหน้าอก (Sternum) และอยู่หน้ากระดูกสันหลัง (Verrtebral column) หัวใจทั้งหมดจะถูกหุ้มไว้ด้วยเยื่อใสๆ (Fibriserous) บางๆ แต่มีความทนทานสูง ยืดหยุดได้เล็กน้อย เรียกว่า “เยื่อหุ้มหัวใจ” (Pericardium) หัวใจจะมีรูปทรงกรวย ส่วนปลาย (Apex) จะเรียวเล็กลง และชี้ไปทางซ้ายเล็กน้อย หากใช้แนวกึ่งกลางลำตัวเป็นเกณฑ์ ส่วนของหัวใจ 1/3 ส่วนจะอยู่ทางซีกขวาของหน้าอก และ 2/3 ส่วน จะอยู่ทางซีกซ้ายของหน้าอก ขนาดของหัวใจจะประมาณกำปั้นของเจ้าของ หัวใจจะแบ่งออกเป็น “ซีกซ้าย และซีกขวา” โดยมีกล้ามเนื้อ (Septum) เป็นผนังกันไว้ แต่ละซีกของหัวใจจะแบ่งออกเป็น “หัวใจห้องบน” (Atrium) และ “หัวใจห้องล่าง” (Ventricle) โดยจะมีลิ้นหัวใจเป็นแบ่งระหว่างห้องบนและห้องล่าง นอกจากนั้นลิ้นหัวใจยังทำหน้าที่ในการควบคุมการไหลของเลือดให้เป็นไปแบบ “ทางเดียว” (One way) โดยไม่มีการไหลย้อนกลับของเลือด หัวใจถึอเป็นจุดศูนย์กลางของการควบคุมการไหลเวียนของเลือด โดยหัวใจทำหน้าที่คล้ายกับปั้มน้ำ ที่คอยสิ่งเลือดไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตลอดชีวิตของเรา กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัวเป็นจังหวะโดยมีอัตราอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้ง/นาที 

ส่วนประกอบของหัวใจ

         หัวใจอยู่ตรงมีขนาดเท่ากับกำปั้นมือของเจ้าของ อยู่ตรงกึงกลางหน้าอก อยู่ใต้กระดูกหน้าอก ใต้หัวใจจะเป็นกระดูกสันหลัง ส่วนปลายของหัวใจ (Apex) จะชี้ไปทางด้านซ้ายเล็กน้อย ทรงของหัวใจจะไม่เป็นทรงกลมเท่าใดนัก แต่จะออกกลมลีเล็กน้อย ส่วนใหญ่ขนาดหัวใจของเพศชายจะกว่าของเพศหญิง

ส่วนประกอบของหัวใจ, ปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ภาพแสดง ส่วนประกอบของหัวใจ

ลิ้นหัวใจ

          หัวใจมี 4 ห้อง คือ ห้องบนขวา (Right Atrium: RA) ห้องล่างขวา (Right Ventricle: RV) หัวใจซีกขวานี้จะมีการไหลเวียนของเลือดดำเท่านั้น  ห้องบนซ้าย (Left Atruim: LA) และห้องล่างซ้าย (Left Ventricle: LV) ส่วนหัวใจซีกซ้ายจะมีการไหลเวียนของเลือดแดงเท่านั้น หัวใจห้องซ้ายและขวาจะถูกกั้นไว้ด้วยผนังกั้นหัวใจ (Septum) ทั้งเลือดดำและเลือดแดงจะไหลไปแบบทางเดียว ไม่มีการไหลย้อนกลับ โดยมีลิ้นหัวใจ (Heart valve) เป็นตัวควบคุมทิศทางการไหลของเลือดดำและเลือดแดง

ลิ้นหัวใจ, การปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

          ลิ้นหัวใจ มี 4 ตำแหน่ง ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดดำและเลือดแดงให้ไหลไปแบบทางเดียว ไม่ให้ไหลย้อนกลับ ประกอบด้วย

  1. ลิ้นไตรคัสปิด (Tricuspid valve) เป็นลิ้นหัวใจที่ควบคุมการไหลของเลือดดำจากหัวใจห้องบนขวา (RA) ลงไปห้องล่างขวา (RV) 
  2. ลิ้นพัลโมนาลี (Pulmonary valve) ควบคุมการไหลเวียนของเลือดจากหัวใจห้องล่างขวา (เลือดดำ) ไปยังปอดทั้งสองข้าง เพื่อเปลี่ยนจากเลือดดำให้เป็นเลือดแดง คือมีกระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ และออกซิเจน ที่บริเวณถุงลมปอด (คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม :  โครงสร้างและการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
  3. ลิ้นไมทรัล (Mitral valve) คือลิ้นหัวใจที่ควบคุมการไหลของเลือดแดง ที่ผ่านการฟอกเลือดจากปอด จากหัวใจห้องบนซ้าย ลงไปห้องล่างซ้าย
  4. ลิ้นเอออร์ติก (Aotic valve) เป็นลิ้นหัวใจที่ควบคุมการไหลของเลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้าย ไปสุ่เส้นเลือดแดงใหญ่เอออร์ติก เพื่อส่งเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
หลอดเลือดหัวใจ, อบรมรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น. เรียนออนไลน์ฟรี

ภาพแสดง ตำแหน่งของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำหัวใจ
ภาพจาก https://drphilip.medium.com/coronary-circulation-nourishing-the-hearts-muscles-84772e8825a6

หลอดเลือดแดงหัวใจ (Coronary artery)

          หลอดเลือดแดงหัวใจ หรือ หลอดเลือดแดงโคโรนารี (Coronary arteries) จะแยกออกจากบริเวณโคนของ หลอดเลือดแดง เอออร์ตา (Aorta) มีจำนวน 2 เส้นใหญ่คือ หลอดเลือดหัวใจซ้าย (Left coronary artery: LCA) และหลอดเลือดดำขวา (Right coronay artery: RCA) โดยหลอดเลือดจะวางอยู่บนชั้นผิว (Epicaduim surface) แล้วแตกแขนงย่อยเข้าไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocadium) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

            1 หลอดเลือดหัวใจซ้าย (Left coronay artery: LCA) แบ่งออกเป็น

               1.1 หลอดเลือดใหญ่ส่วนต้น (Left main: LM)  แยกออกจากหลอดเลือด เอออร์ต้า ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ทอดตัวไประหว่างหัวใจห้องบนซ้าย และหลอดเลือดใหญ่ของปอด (Pulmonary trunk) แล้วแยกออกเป็นหลอดเลือดหัวใจด้านหน้าซ้าย และด้านข้างซ้าย

               1.2 หลอดเลือดหัวใจด้านซ้ายหน้า (Left anterior descending: LAD) ยแกออกจากหลอดเลือดใหญ่ส่วนต้น แล้วทอดไปตามหัวใจด้านหน้าจนถึงปลายหัวใจ (Apex) ส่งเลือดมาเลี้ยงผนังกั้นหัวใจห้องล่าง ห้องล่างซ้าย และพื้้นผิวด้านหน้าของหัวใจห้องล่างขวา

                1.3 หลอดเลือดหัวใจด้านข้างซ้าย (Left circumfles: LCX) แยกออกจากหลอดเลือดใหญ่ส่วนต้น และทอดไปตามฐานของหัวใจห้องบนซ้าย ลงไปยังด้านข้าง และด้านหลังของปลายหัวใจ ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนหลังของหัวใจ หัวใจห้องบนซ้าย และส่วนหัวใจห้องล่างซ้าย

           2. หลอดเลือดหัวใจด้านขวา (Right coonay artery: RCA) เป็นเส้นเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงบริเวณหัวใจห้องบนขวา กับส่วนของห้องล่างขวา

หลอดเลือดดำหัวใจ (Cardiac vein)

           เส้นเลือดดำส่วนใหญ่ของหัวใจจะเปิดเข้าสู่ โคโรนารี ไซนัส (Coonary sinus) ซึ่งเป็นหลอดเลือดดำขนาใหญ่ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร อยู่บริเวณห้านหลังของหัวใจ ตรงรอยต่อระหว่างหัวใจห้องบนและหัวใจห้องล่าง (Atioventicula goove) และเปิดเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาและห้องล่างขวา โดยมีลิ้นที่เรียกว่า โคโรนารี ไซนัส (Valve of the coonay sinus) กั้นอยู่ตรงบริเวณรูเปิด

การทำงานของไฟฟ้าหัวใจ

คลื่นไฟฟ้าหัวใจ

          กล้ามเนื้อหัวใจ สามารถสร้างไฟฟ้าได้ด้วยตัวเอง เพื่อกระตุ้นให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และปั้มเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยไฟฟ้าจะเริ่มสร้างจากปุ่มไซนัสหัวใจที่เรียกว่า ไซโนเอเทรีย โนด (Sinoatrail Node : SA node : จุดสีฟ้าด้านบนขวาของภาพ) ไฟฟ้าจะกระจายออกไปทางด้านข้างซ้ายและขวา ส่งผลให้หัวใจห้องบนซ้ายและบนขวามีการหดตัว ไฟฟ้านี้จะเกิดขึ้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ

         ไฟฟ้าจากจุดแรกจะเดินทางไปยังจุดกำเนิดไฟฟ้าจุดที่สองเพื่อเร้าให้มีการสร้างไฟฟ้าขึ้น อยู่ตรงตำแหน่งรอยต่อของหัวใจห้องบนขวาและห้องล่างขวา เรียกว่า เอทริโอเวนทริคูลา โนด (Atrioventricular Node: AV node จุดสีฟ้าด้านล่างขวาของภาพ) ไฟฟ้าที่เกิดในตำแหน่งนี้จะส่งผ่านไปตามแขนงเส้นใยนำไฟฟ้า (Bundle of His) ตามแนวผนังกันหัวใจซึ่งมี 2 เส้น คือ เส้นใยนำไฟฟ้าข้างซ้าย (Left Bundle Branch) และเส้นใยนำไฟฟ้าข้างขวา (Right Bundle Banch) และส่งต่อไปยังเซลล์ร่างแห่ เพอร์คินจิ (Purkinje fiber) เพื่อกระตุ้นให้เซลลกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายและห้องล่างขวาหดตัว

         ปกติแล้วไฟฟ้าหัวใจจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้ง/นาที ความผิดปกติของการสร้างไฟ้ฟ้าหัวใจสามารถพบได้ทั้งแบบ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ คือ มากกว่า 100 ครั้ง/นาที (Tachycardia) หัวใจเต้นช้าผิดปกติ คือ น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที (Bradycadia) หัวใจเต้นไม่แน่นอน เร็วสลับช้า หรือจังหวะบีบตัวไม่แน่นอน (Irrigularr Rhythm) ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่อันตราย

การสร้างไฟฟ้าหัวใจ, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น. เรียนออนไลน์ฟรี

           ภาพทางด้านซ้ายมือ เป็นการแสดงโครงสร้างตัวนำไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งหัวใจสามารถผลิตไฟฟ้าจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้เอง โดยเริ่มจากตำแหน่ง “ไซนู เอเทรีย โหนด” (Suniatrial Node: SA node) ไฟฟ้าจะกระจายออกไปตามผนังหัวใจห้องบน (Atrium) ทั้งสองข้าง ต่อจากนั้นไฟฟ้าจะไปกระตุ้นให้เกิดไฟฟ้าตรงตำแหน่ง “อะทริโอเวนทริคูลา โหนด” (Atrioventricular Node: AV node) ซึ่งจะมีการน่วงเวลาเล็กน้อย จากนั้นไฟฟ้าจะเคลื่อนไปตามเส้นใยนำไฟฟ้า บันเดิล ออฟ ฮีส ที่วางตัวอยู่ตามแนวของผนังกันหัวใจ โดยแบ่งออกเป็น 2 แขนง ซ้ายและขวา สุดท้ายไฟฟ้าจะแพร่ไปยังเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่เรียกว่า “เซลล์เพอร์คินจิ” แล้วทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นจังหวะต่อเนื่องกัน 

การทำงานของหัวใจ

          การบีบตัวของหัวใจ 1 ครั้ง จะเป็นการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจทั้งห้องล่างและห้องบน โดยการบีบตัวแต่ละครั้งจะมี 2 จังหวะ โดยยึดเอาการบีบตัวของหัวใจห้องล่างเป็นหลัก

          “จังหวะแรก” คือ จังหวะที่หัวใจห้องล่างบีบตัว (Systole) จะเป็นจังหวะที่ลิ้นหัวใจ ไตรคัสปิด และลิ้นหัวใจไมทรัส ปิดเพื่อกักเลือดไว้ไม่ให้มีการไหลย้อนกลับของเลือด จะส่งผลให้เลือดดำจากหัวใจห้องล่างขวาถูกส่งผ่านลิ้นหัวใจ “พัลโมนาลี” เข้าสู่หลอดเลือด “พัลโมนารี อาเทอร์รี” เข้าสู่ปอดทั้งสองข้าง เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะเดียวกัน เลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้ายจะถูกส่งผ่าน “ลิ้นเอออร์ติก” เข้าสู่หลอเลือดแดงใหญ่ “เอออร์ต้า” และเลือดแดงจะไหลไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่ายกาย

           “จังหวะที่สอง” คือ จังหวะที่หัวใจห้องล่างซ้ายและขวาคลายตัว เราเรียกจังหวะนี้ว่า “ไดแอสโทรี” (Diastole) เป็นช่วงจังหวะที่หัวใจห้องบนซ้ายและขวาบีบตัว ส่งผลให้ “เลือดดำจากหัวใจห้องบนขวา” ไหลลงสู่หัวใจห้องล่างขวา ในขณะเดียวกัน “เลือดแดงจากหัวใจห้องบนซ้าย” ก็ไหลลงสู่หัวใจห้องล่างซ้ายด้วยเช่นกัน จังหวะนี้เราจะเรียกว่าเป็น “ความดันไดแอสโทลิค” (Diastolic pressure) หรือเป็นความดันตัวล่าง จะมีค่าปกติอยู่ระหว่าง 60-90 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) เมื่อเสร็จสิ้นการคลายตัวของหัวใจห้องล่าง ก็จะเริ่มเข้าสู่ “การบีบตัวของหัวใจห้องล่าง” ต่อไป 

          การไหลเวียนของเลือดจะเป็นวงจรต่อเนื่อง เราแบ่งการไหลเวียนของเลือดออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การไหลเวียนภายในปอด (Pulmonary circulation) และการไหลเวียนไปตามส่วนต่างของร่างกาย (Systemic circulation) 

การแลกเปลี่ยนก๊าซในปอด, อรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น. เรียนออนไลน์ฟรี

          1) การไหลเวียนของเลือดภายในปอด เป้าหมาย คือ ต้องการเปลี่ยน “เลือดดำ” ซึ่งมีก๊าซ Co2 สูง และก๊าซ O2 ต่ำ ให้เปลี่ยนเป็น “เลือดแดง” ซึ่งมีก๊าซ Co2 ต่ำ และก๊าซ O2 สูง หรือที่เราเรียกกันว่า “ฟอกเลือด” มีกระบวนการคือ เลือดดำที่ไหลกลับมาจากส่วนต่างๆ ทั้งส่วนบนและส่วนล่างของร่างกาย มาที่หัวใจห้องบนขวา ผ่านไปล่างขวา แล้วไหลไปที่ หลอดเลือดแดงปอด (Pulmonary artery) เข้าสู่ปอด หลอดเลือดที่ไปยังปอดจะมีขนาดเล็กลงเลื่อยๆ จนกลายเป็น “หลอดเลือดฝอย” (Capillary) ซึ่งมีผนังเพียงชั้นเดียว ทั้งนี้เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซกับถุงลมภายในปอดได้ง่าย หลอดเลือดฝอยจะโอบล้อมรอบๆ ถุงลม ขณะที่เลือดดำไหลเวียนรอบๆ ถุงลม ก็จะมีการแรกเปลี่ยนก๊าซทั้งสองชนิดไปด้วย จากนั้นเลือดดำจะกลายเป็นเลือดแดง แล้วไหลกลับไปที่หัวใจ โดยผ่าน “เส้นเลือดดำปอด” (Pulmonary vien) ไปที่ หัวใจห้องบนซ้าย ไปล่างซ้าย และไหลเข้าสู่หลอดเลือดแดงเอออร์ตา (Aorta) เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย จากภาพเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นกระบวนการแลกเปลี่ยนก๊าซทั้งสองชนิดระหว่าง “หลอดเลือดฝอย และถุงลมปอด”

          2) การไหลเวียนทั่วร่างกาย หลักจากที่เลือดไหลเวียนในปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซแล้ว เลือดแดงจะไหลจากปอดกลับมาที่หัวใจโดยผ่านทาง “หลอดเลือดดำปอด” (Pulmonary Vien) มาที่ “หัวใจห้องบนซ้าย” (Left Atrium: LA) แล้วไหลผ่าน “ลิ้นหัวใจไบคัสปิด” (Bicuspid valve) ลงไป “หัวใจห้องล่างซ้าย” (Left Ventricle: LV) ต่อจากนั้นหัวใจห้องล่างซ้ายบีบตัวเพื่อส่งเลือดแดงผ่าน “ลิ้นหัวใจเซมิล
ลูนา” (Semiluna) เข้าสู่หลอดเลือดแดงใหญ่ เอออร์ตา (Aorta)

           เอออร์ตา เป็นหลอดเลือดแดงที่รับเลือดแดงที่ออกมาจากหัวใจห้องล่างซ้าย เป็นหลอดเลือดแดงที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนที่สำคัญ คือ

          1. เอออร์ตาส่วนต้น(Ascending Aorta) เป็นส่วนต้นของ เอออร์ตา ที่เชื่อมต่อกับหัวใจ มีแขนงของหลอดเลือดที่แยกออกไปเพื่อนำเลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจทั้งซีกซ้าย และซีกขวา (Left and Right Coronary Artery)

          2. ส่วนโค้ง เอออร์ตา (Aorta Arch) จะมีแขนงหลอดเลือดแดงแยกออกจากตำแหน่งนี้ จำนวน 3 เส้น คือ 

               2.1 หลอดเลือดแดง เบรคิโอเซฟาริก (Brachiocephalic artery) หรือ หลอดเลือดแดงไร้ชื่อ (Innominate artery) จะอยู่ทางด้านขวาสุด หลอดเลือดแดงนี้จะแยกออกเป็น 2 เส้นคือ 

                     2..1.1 หลอดเลือดแดง คาโรติด ขวา (Right Common Carotid Artery) เป็นหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงบริเวณคอ ศีรษะด้านขวา

                     2.1.2 หลอดเลือดแดงใต้ไหปลาร้าขวา (Right Subclavian Artery) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงแขนขวา

                2.2 หลอดเลือดแดงคาโรติดซ้าย (Left Common Carotid Artery) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงบริเวณคอและศีรษะด้านซ้าย

                2.3 หลอดเลือดแดงใต้ไหปลาร้าซ้าย (Left Subclavian Artery) เป็นหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปเลี้ยงบริเวรแขนซ้าย

หลอดเลือดแดงเอออร์ตา, อบรมปฐมยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

          3. เอออร์ตาส่วนปลาย (Descending Aorta) เป็นส่วนที่ต่อจากส่วนโค้ง เอออร์ตา ลงมาด้านล่าง แบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้ 

               3.1 เอออร์ตาส่วนอก (Thoracic Aorta) เป็นหลอดเลือด เอออร์ตา ตรงระดับหน้าอก และแตกแขนงออกเป็นส่วนต่างๆ คือ

                     3.1.1 หลอดเลือดแดงหลอดอาหาร (Esophageal Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงหลอดอาหาร (Esophagus) 

                     3.1.2 หลอดเลือดแดงหลอดลม (Bronchial Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงหลอดลมใหญ่ (Bronchi) และหลอดลมเล็ก (Bronchioles)

                     3.1.3 หลอดเลือดแดงเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericardial Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericadium)

                     3.1.4 หลอดเลือดแดงเนื้อเยื่อกึ่งกลางทรวงอก (Mediastinal Arterry) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงโครงสร้างเนื้อเยื่อของส่วนกลางผนังช่องอก

                     3.1.5 หลอดเลือดแดงด้านหลังกล้ามเนื้อระหว่างกระดูก และด้านล่างของกระดูกซี่โครง (Posterior Intercostal, Subcostal Artery) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอก ในส่วนของผนังด้านในของกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกซี่โครง ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจ

                     3.1.6 หลอดเลือดแดงกระบังลมส่วนบน (Superior Phrenic Artery) นำเลือดแดงไปเลี้ยงกระบังลมส่วนบน ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจ

                 3.2 หลอดเลือดแดง เอออร์ตา ระดับช่องท้อง (Abdomnal Aorta) เป็นหลอดเลือดที่ถัดลงมาจากระดับหน้าอก เป็นระดับช่องท้อง ซึ่งแตกแขนงออกเป็น ส่วนต่างๆ คือ

                       3.2.1 หลอดเลือดแดง เอออร์ตา กะบังลมด้านล่าง (Phrenic Artery) นำเลือดแดงไปเลี้ยงกะบังลมด้านล่าง ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจ

                       3.2.2 หลอดเลือดแดงท้อง หรือ หลอดเลือดแดงซีลิแอ๊ค (Celiac Tunk) เป็นหลอดเลือดแดงใหญ่ที่นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กตอนต้น ตับอ่อน ตับ ม้าม และถุงน้ำดี

                       3.2.3 หลอดเลือดแดงต่อมหมวกไต (Middle Suprarenal Artery) นำเลือดแดงไปเลี้ยงต่อมหมวกไต (Adrenal Gland)

                       3.2.4 หลอดเลือดแดงส่วนเอว (Lumbar Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงบริเวณส่วนล่างด้านหลังของผนังช่องท้อง หรือบริเวณกระเบนเหน็บ

                       3.2.5 หลอดเลือดแดงทางเดินอาหารส่วนกลาง (Superior Mesenteric Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงทางเดินอาหารส่วนกลางซึ่งประกอบด้วยลำไส้เล็กทั้งหมด ไปถึงลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย

                        3.2.6 หลอดเลือดแดงไต (Renal Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงไต

                        3.2.7 หลอดเลือดแดงอัณฑะ (Testicular Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงอัณฑะ

                        3.2.8 หลอดเลือดแดงรังไข่ (Ovarian Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงรังไข่

                        3.2.9 หลอดเลือดแดงลำไส้ส่วนล่าง (Inferior Mesenteric Artery) นำเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงลำไส้ใหญ่ทางด้านซีกซ้าย จนถึงส่วนปลายของลำไส้ใหญ่

                        3.2.10 หลอดเลือดแดงใต้กระดูกกระเบนเหน็บ (Middle Sacral Artery) นำเลือดแดงไปหล่อนเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณกระเบนเหน็บหรือบริเวณ “ด้านหลัง-ส่วนล่างของอุ่งเชิงกราน” 

                        3.2.11 หลอดเลือดอุ้งเชิงกรารและขา (Common Iliac Artery) เป็นหลอดเลือดแดงซึ่งแยกออกจาก เอออร์ตา บริเวณเอว ออกเป็นหลอดเลือดสองเส้นแยกออกไปทางขาทั้งสองข้าง ซึ่งจะมีแขนงของหลอดเลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณสะโพกและขาทั้งสองข้าง

หลอดเลือดใต้ไหปลาร้าขวา (Right subclavian artery) 

หลอดเลือด (Blood vessel)

          หลอดเลือดในร่างกายของคนเราแบ่งออกเป็น 5 แบบ คือ

  1. หลอดเลือดแดง จะนำเลือดแดงออกจากหัวใจ และนำ O2 สารอาหาร ฮอร์โมน ไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย จะมีผนัง 3 ชั้น ภายในจะมีแรงดันเลือดสูงกว่าชนิดอื่น
  2. หลอดเลือดแดงเล็ก จะมีผนังเพียง 2 ชั้น แรงดันจะลดลง
  3. หลอดเลือดฝอย มีผนังชั้นเดียว ตรงนี้จะทำหน้าที่ส่ง O2 สารอาหาร ฮอร์โมน ให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย
  4. หลอดเลือดดำเล็ก มีผนัง 1-2 ชั้น นำ Co2 และของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญของเซลล์ไปกำจัดทิ้ง
  5. หลอดเลือดดำ มีผนัง 3 ชั้น ไม่มีแรงดันในตัวเอง อาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อรอบๆ หลอดเลือด ภายในมีลิ้นหลอดเลือด นำเลือดดำกลับสู่หัวใจ ดังนั้นการออกกำลังกาย  เช่น การวิ่ง การเดิน ปั่นจักรยาน จะช่วยให้เลือดดำไหลกลับไปยังหัวใจได้ดีขึ้น เพิ่มการไหลเวียนโลหิตได้มากขึ้น สุขภาพเราจะแข็งแรง

เลือด - พลาสมา (Blood and Plasma)

ส่วนประกอบของเลือด, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

         เลือดของคนเรามีคุณสมบัติเป็นเนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อประสานการทำงานกับเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายโดยมีหลอดเลือดชนิดต่างๆ เป็นตัวนำพาเลือดไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เลือดจะมีความเป็นด่างเล็กน้อย คือมีค่า PH อยู่ระหว่าง 7.35 -7.45 มีอุณหภูมิประมาณ 38 องศาเซลเซียส เลือดจะมีความหนืดมากกว่าน้ำประมาณ 5 เท่า ปริมาณเลือดในร่างกายของเราจะมีอยู่ 7-8 เปอร์เซ็นต์ ของนำหนักร่างกายทั้งหมด เราจะคำนวณเลือดเป็นลิตร สัดส่วนร่างกายที่ปกติตามมาตรฐาน ผู้ชายจะมีเลือดในร่างกายประมาณ 5 ลิตร ผู้หญิงประมาณ 4.5 ลิตร     ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายส่วนดังต่อไปนี้ เลือดมีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วนคือ

          1. เม็ดเลือด (Bood Cells or Corpuscels) คิดเป็น 45 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณเลือดทั้งหมด เม็ดเลือดแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ คือ

               1.1 เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell: RBC or Erythocyte) 

               1.2 เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells: WBC or Leucocyte) 

               1.3 เกล็ดเลือด (Blood Platelet or Thrombocyte) 

          2. พลาสมา (Plassma) เป็นส่วนที่เป็นของเหลว มีประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมด

เม็ดเลือดแดง

          เม็ดเลือดแดง มีลักษณะทรงกลมแบน ตรงกลางเว้าบุ๋มตรงกลางเข้าหากันทั้งสองด้าน มีขณะเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7-8 ไมครอน มีความหนาประมาณ 1-2 ไมครอน มีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ในขณะที่ไหลผ่านหลอเลือดฝอยที่มีขนาดเล็กได้ เม็ดเลือดแดงเมื่อโตเต็มที่แล้วจะไม่มีนิวเคลียส จึงไม่สามารถแบ่งเซลล์ต่อไปได้อีก เมื่ออยู่เดี่ยวๆ จะมีสีเหลือแกมเขียว แต่เมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่มจะมีสีแดง เนื่องจากมีสารประกอบของโปรตีนที่เรียกว่า “ฮีโมโกลบิน” (Hemoglobin) ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ฮีโมโกลบิน ทำหน้าที่จับกับ ออกซิเจน แล้วกลายเป็น ออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) ทำหน้าที่ในการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์และเนื่อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย นอกจากนั้น ฮีโมโกลบิน ยังสามารถจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ จะถูกส่งกลับมาที่กระแสเลือด แล้วจับกับ ฮีโมโกลบิน แล้วกายเป็น “คาร์บอซซีฮีโมโกลบิน” (Carboxyhemoglobin) เลือดแดงเมื่อส่ง ออกซิเจน ให้กับเซลล์ต่างๆ แล้วรับ คาร์บอนไดออกไซด์ กลับเข้ามา จะเป็นเลือดดำ ไหลกลับไปที่ปอด เพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกายทางลมหายใจออก

           เม็ดเลือดแดงส่วนใหญ่สร้างมาจากไขกระดูกแดง (Red Bone Marro) มีอายุ 120 วัน จากนั้นจะถูกทำลายที่ตับ (Liver) และม้าม (Spleen) ผู้ชายจะมีเม็ดเลือดแดงประมาณ 5.5-60 ล้านเซลล์ ต่อเลือด 1 ลล.มม. และผู้หญิงจะมีประมาณ 1.5-5 ล้านเซลล์ ต่อเลือด 1 ลบ.มม. อัตราส่วนของเม็ดเลือดแดงต่อปริมาณของเลือดทั้งหมดเรียกว่า “ฮีมาโทคริท” (Hemotocrit: Hct.) 

          หน้าที่ของเม็ดเลือดแดง มีดังต่อไปนี้

          1. ช่วยลำเลียงออกซิเจน ไปให้เซลล์และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย

          2. ช่วยลำเลียงคาร์บอนไดออกไซด์ ออกจากเซลล์และเนื้อเยื่อทั่วร่างกายไปส่งถ่ายให้กับถุงลมปอด เพื่อกำจัดออกทางลมหายใจ

         3. ช่วยรักษาสมดุลย์ของความเป็น “กรด-ด่าง” ของร่างกาย (Acid – Base Balance) 

เม็ดเลือดขาว

          เม็ดเลือดขาวมีขาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดง มีนิวเคลียส แต่ไม่มีฮีโมโกลบิน มีจำนวนน้อยกว่าเม็ดเลือดแดงมาก คือ ในคนปกติจะมีประมาณ 5,000 – 9,000 เซลล์ ต่อเลือด 1 ลบ.มม. แต่จำนวนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เพศ และสภาวะของร่างกาย เช่น หากร่างการมีการติดเชื่อโรค จะทำให้ปริมาณของเม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ เราเรียกสภาวะนี้ว่า “ลิวโคไซโตซีส” (Leukocytosis) คือ จะมีเม็ดเลือดขาวสูงกว่า 11,000 เซลล์/ไมโครลิตร ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม หรือเป็นกลไกที่ต้องต่อสู่กับเชื่อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ไขกระดูกผิดปกติ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ความเครียด อาการแพ้ มะเร็งเม็ดเลือดขาว การสูบบุหรี

         ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia) คือ ภาวะที่เม็ดเลือดขาวในโลหิตต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ โดยจะมีปริมาณมากว่า 4,500 เซลล์/ไมโครลิตร สาเหตุที่ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำพบได้หลายสาเหตุคือ เป็นผลข้างเคียงจากการได้รับยา หรือสารเคมีบางชนิด หรือได้รับรังสีรักษา การติดเชื่อไวรัส ภาวะภูมิคุ้มกันบำพร่อง โรคภูมคุ้มกันทำร้ายตัวเอง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไขกระดูฝ่อ ภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น วิตามินบี 12 

เม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

          เม็ดเลือดขาว ถูกสร้างขึ้นมาตลอดเวลาจากไขกระดูก ต่อมน้ำเหลือง ม้าม และต่อไทมัส มีอายุไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับชนิดของเม็ดเลือดขาว บางชนิดมีอายุไม่เกิน 24 ชั่วโมง บางชนิดมีอายุ 3-12 วัน และจะถูกทำงายที่ตับโดยขับถ่ายออกมากับอุจจาระ เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ทำลายเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นเมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้นก็จะทำให้มีเม็ดเลือดขวาเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ เม็ดเลือดขาวแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

          1. เม็ดเลือดขาวชนิดที่มีแกรนูล (Granule: องค์ประกอบของเซลล์ที่มีขนาดเล็ก) เรียกว่า “แกรนูไลไซท์ (Granulocyte) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

              1.1 นิวโตรฟิล (Neutrophil) เป็นเลือดขาวที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ประมาณ 60 เบอร์เซ็นต์ มีหน้าที่สำคัญคือการทำลายเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย

              1.2 อีโอซีโนฟิล (Eosinophile) มีประมาณ 2-5 เปอร์เซ็นต์ มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคที่ผ่านทางหลอดเลือด และท่อทางเดินอาหาร

              1.3 เบโซฟิล (Basophile) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนน้อยที่สุด คือ ประมาณ 0.5-1 เปอร์เซ็นต์ มีหน้าที่ตอบสนองต่อการอักเสบในร่างกาย (Inflammation) เช่น เมื่อมีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ การติดเชื้อโรค การได้รับสารพิษ เป็นต้น

          2. เม็ดเลือดขาวชนิดไม่มีแกรนูล เรียนกว่า “อะแกรนูโลไซต์” (Agranulocyte) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด 

                2.1 ลิมโพไซท์ (Lymphocyte) มีประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ มีหน้าที่เกี่ยวกับการตอบสนองในระบบภภูมิคุ้มกันของร่างกาย

                2.2 โมโนไซท์ (Monocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีประมาณ 4-7 เปอร์เซ็นต์

เกล็ดเลือด

เกล็ดเลือดและกระบวนการแข็งตัวของเลือด, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

           เกล็ดเลือดมีขนาดเล็ก ไม่มีสี ไม่มีนิวเคลียส โดยปกติมีจำนวนประมาณ 250,000 – 300,000 ตัว ต่อเลือด 1 ลบ.มม. มีอายุประมาณ 2-3 วัน เกล็ดเลือดถูกสร้างขึ้นในไขกระดูกแดง จากเซลล์ที่เรียกว่า “เมกาคอรีโอไซท์ (Megakaryocyte) และถูกทำลายที่ม้าม 

          หน้าที่ของเกล็ดเลือด คือ มีความสำคัญต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือด โดยเมื่อมีการฉีกขาดของหลอดเลือด เกล็ดเลือดบริเวณใกล้เคียงกับตรงที่ฉีกขาดของหลอดเลือดจะรวมตัวกันเป็นก้อน เพื่ออุดรอยฉีกขาดของหลอดเลือด เพื่อป้องกันการการเสียเลือดออกจากระบบไหวเวียนโลหิต

          เกล็ดเลือดเมื่อได้รับการกระตุ้น (Activated Platelet) จะจับตัวกันตรงปากแผล หรือบริเวณที่มีการฉีกขาดของหลอดเลือด มีลักษณะเป็นก้อนเลือด เรียกว่า “ลิ่มเลือด” (Blood Clote)

          เส้นใยไฟบริน (Fibrin) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งมีมีส่วนช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด เพื่อหยุดการรั่วไหลของเลือด

พลาสมา หรือน้ำเหลือ

           พลาสมา เป็นส่วนประกอบของเลือดที่เป็นของเหลว มีสีเหลือใส มีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย มีค่า PH ระหว่าง 7.35-7.45 คิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณลเือด พาลสมา มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ

  1. น้ำ คิดเป็น 90-93 เปอร์เซ็นต์
  2. โปรตีน คิดเป็น 6-8 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วย อัลบูมิน (Albumin) โกลบูลิน (Globulin) และไฟบริดนเจน (Fibrinogen)
  3. สารอาหารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน กลูโคส กรดไขมัน และกลีเซอรอล
  4. ก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
  5. เกลือแร่ที่สำคัญ เช่น แคลเซียม โซเดียมคลอไรด์ และโพทัสเซียม
  6. ฮอร์โมนชนิดต่างๆ จากต่อมไร้ท่อ
  7. ของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร เช่น กรดแลคติค กรดยูริก ยูเรีย และแอมโมเนีย
  8. ภูมิคุ้มกันโรค เช่น แกรมม่า โกลบูริน (Gamman Globulin)

          จากภาพด้านบน เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นส่วนประกอบของเลือดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเรานำเลือดเก็บตัวอย่างมาจากผู้ป่วย (หลอดด้านซ้ายมือ) จากนั้นเรานำมาใช้เครื่องปั่นเลือด เราจะเห็นว่ามีส่วนประกอบของเลือดแยกออกจากกัน (หลอดด้านขวามือ) เป็นส่วนๆ ซึ่งชั้นบนสุดเป็น “พลาสมา” ลองลงมือเป็น “เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด” และชั้นล่างสุดจะเป็น “เม็ดเลือดแดง” การปั่นลักษณะดังกล่าวเราสามารถนำมาใช้ทางการแพทย์ เพื่อหาปริมาณ “เม็ดเลือดแดง” หรือที่เรียกว่า “ฮีมาโตคริท” (Hematocrit: Hct) ซึ่งค่าปกติ เพศชาย 38-50 เปอร์เซ็นต์ เพศหญิง 36-45 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากมีค่าน้อยกว่าหรือมากกว่าปกติ จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนนั้นได้ หรือเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติหรือโรคกับคนนั้นแล้ว

หน้าที่ของพลาสมา

  1. ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เพราะมี ไฟบริโนเจน (Fibrinogen) เป็นองค์ประกอบในพลาสมา
  2. ทำให้เลือดมีความหนือ
  3. ช่วยให้เลือดมีแรงดัน ออสโมติค (Osmotic Pressure) เพื่อรักษาสมดุลให้เลือดคงตัวอยู่ในหลอดเลือด
  4. ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ฮอร์โทน และเอนไซม์ต่างๆ 

หมู่เลือด (Blood Group)

          กรุ๊ปเลือด หรือหมู่เลือด เป็นลักษณะจำเพาะของสาร “แอนติเจน” ซึ่งเป็นโปรตีนชื่อว่า “ไกลโคโปรตีน” (Glycoprotein) และ คาร์โบไฮเดรต ที่ชื่อว่า “ไกโคไลปิด” (Glycolipid: เป็นสารที่จับตัวกันละหว่างคาร์โบไฮเดรต และลิปิด) ที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันไปของแต่ละบุคคล โดยแต่ละคนจะได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่ทางพันธุกรรมโดยมียีน (Gene) เป็นสารพันธุกรรมควบคุมกระบวนการถ่ายทอด นับว่ามีความสำคัญมากเนื่องจากว่า หากเราเกิดการเจ็บป่วยจำเป็นต้องรักษาด้วยการให้เลือด เราต้องรับเลือดจากผู้อื่นซึ่งต้องมีเลือดที่เป็นหมู่เดียวกับเราเสมอ เพื่อความรวดเร็วและไม่เกิดอาการแพ้เลือด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาระหว่าง Antibody กับ Antigen ของเลือดต่างหมู่ เรียกว่าปฏิกิริยา “แอกกูลทิเนชั่น (Agglutination) ทำให้เลือดมีการเกาะกันเป็นกลุ่ม หากก้อนเลือดเหล่านี้ไหลไปตามหลอดเลือดส่วนต่างๆ ของร่างกาย ก็จะไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอย ทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเหล่านั้นได้ หากเป็นอวัยวะที่สำคัญๆ จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เช่น ภาวะลิ้มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism: PE) ภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome) ภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันเฉียบพลัน (Embolic Strokes

           หมู่เลือดได้มีการค้นพบใน คศ. 1900 โดย คาร์ล ลันท์ซไตเนอร์ (Karl Landsteiner) เป็นแพทย์ชาวออสเตรีย-อเมริกัน จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเวียนนา ซึ่งค้นพบเลือดหมู่ A, B และ O ส่วนหมู่เลือด AB ค้นพบเมื่อปี คศ. 1902 โดย เอ วอน ดีคาสติโล และ เอ สเตอลิ (Alfred Von Decastello and Sturli) 

ที่มีความสำคัญในระบบการแพทย์ของเราในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 ระบบ คือ 

           1. ระบบ เอบีโอ (ABO) โดยแบ่งหมู่เลือดออกเป็น 4 หมู่ คือ 

               1.1 หมู่ เอ (A Antigen) คือ คนที่ “มีสารแอนติเจน เอ” หรือ “สารก่อภูมิต้านทาน” บนผิวเม็ดเลือดแดง และมี “แอนตีบอดี บี” ในพลาสมา

               1.2 หมู่ บี (B Antigen) คือ คนที่มี “แอนติเจน บี” บนผิวเม็ดเลือดแดง และมี “แอนติบอดี เอ” ในพลาสมา

               1.3 หมู่ โอ (O) ไม่มี “แอนติเจน เอ และ บี” บนผิวเม็ดเลือดแดง แต่” มีแอนติบอดี เอ และ บี” ในพลาสมา

               1.4 หมู่ เอบี (AB Anitgen) มี “แอนติเจน เอบี บนผิวเม็ดเลือดแดง” แต่ “ไม่มีแอนติเจน เอ และ บี” ในพลาสมา

ระบบหมู่เลือดที่สำคัญคือ ระบบ “เอบีโอ” (ABO) 

          หมู่เลือดในระบบ “ABO” นั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละเชื่อชาติ ซึ่งถ้าหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของคนแต่ละชาติก็จะเห็นได้ในตารางด้านล่าง

          2. ระบบ อาร์เอช (Rh หรือ Rhesus เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดง) ผู้ค้นพบระบบเลือด Rh คือ เลวีน และ สเต็ตสัน (Levine and Stetson) ในปี คศ. 1939 

          ระบบกลุ่มเลือด Rh เป็นระบบที่สำคัญรองจากระบบ ABO ซึ่งระบบ Rh จะประกอบไปด้วยด้วยแอนติเจนที่มีความสำคัญทางคลินิก 5 ชนิด คือ แอนติเจนดีใหญ่ (Antigen D) แอนติเจนซีใหญ่ (Antigen C) แอนติเจนอีใหญ่ (Antigen E) แอนติเจนซีเล็ก (Antigen c) แอนติเจนอีเล็ก (Antigen e) รวมึงแอนติเจนอื่นๆ อีก รวม 46 ชนิด แต่ว่าไม่ค่อยมีความสำคัญทางคลินิก แอนติเจนที่มีความสำคัญต่อการบ่งบอกชนิดของหมู่เลือดในระบบ Rh คือ Antigen D ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 หมู่เลือด คือ

          1. หมู่เลือดอาร์เอชบวก (Rh+ หรือ Rh Positive) ผู้ที่มีหมู่เลือดดังกล่าวจะมี Antigen D อยู่ที่ผิวของเม็ดเลือดแดง ผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะสามารถรับเลือดได้ทั้ง Rh+ และ Rh- ในคนไทยส่วนใหญ่จะมีหมู่เลือด Rh+ คิดเป็นร้อยละ 99.7

          2. หมู่เลือดอาร์เอชลบ (Rh- หรือ Rh Negative) ผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่มี Antigen D จอยู่ที่ผิวของเม็ดเลือดแดง และสามารถรับเลือดได้เฉพาะ Rh- เท่านั้น ในคนไทยพบว่ามีหมูเลือดนี้เพียงร้อยละ 0.3 เท่านั้น เราจึงเรียกว่าเป็น “หมู่เลือดพิเศษ หรือหมู่เลือดหายาก” ดังนี้เวลาที่ผู้ป่วยมีเลือดหมู่นี้ และจำเป็นต้องรักษาด้วยการให้เลือดจึงถือเป็นปัญหาใหญ่ในการหาเลือดมารักษาผู้ป่วย

         ดังนั้น หมู่เลือดระบบ Rh จึงแบ่งหมู่เลือดออกเป็น 8 หมู่ ดังนี้ (ที่มา https://medthai.com/กรุ๊ปเลือด)

  1. หมู่เลือดเอ อาร์เอชบวก (A+)
  2. หมู่เลือดเอ อาร์เอชลลบ (A-)
  3. หมู่เลือดบี อาร์เอชบวก (B+)
  4. หมู่เลือดบี อาร์เอชลบ (B-)
  5. หมู่เลือดโอ อาร์เอชบวก (O+)
  6. หมู่เลือดโอ อาร์เอชลบ (O-) เป็นหมู่เลือดที่สามารถให้กับคนเลือดทุกหมู่
  7. หมู่เลือดเอบี อาร์เอชบวก (AB+)
  8. หมู่เลือดเอบี อาร์เอชลบ (AB-)

ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic System)

          ระบบน้ำเหลือง เป็นส่วนหนึ่งของระบบไหลเวียน ที่มีบทบาทในการรวบรวมพลาสมา โปรตีน และของเหลวจากเนื้อเยื่อต่างๆ (Tussue Fluid) กลับเข้าสู่ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบน้ำเหลืองประกอบด้วยส่วนสำคัญๆ ดังนี้คือ

  1. น้ำเหลือง (Lymph)
  2. หลอดน้ำเหลือง (Lymphatic Vessel)
  3. อวัยวะในระบบน้ำเหลือง (Organ of the Lymphatic System) ประกอบด้วย
    1. ต่อมน้ำเหลือง (Lymph Node)
    2. ต่อมทอลซิล (Tonsil Gland)
    3. ม้าม (Spleen)
    4. ต่อมไทมัส (Thymus Gland)
ระบบน้ำเหลือ, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

ที่มาของภาพ: https://my.clevelandclinic.org/health/body/21199-lymphatic-system

          ความหมายของคำศัพท์ภาพในภาพ

  • Lymphatic System = ระบบน้ำเหลือ
  • Adenoids = ต่อมอะดีนอยด์ เป็นต่อมน้ำเหลือประเภทเดียวกับต่อมทอลซิล อยู่บริเวณเยื่อบุหลังโพรงจมูก ทำหน้าที่คอยกำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่บริเวณคอหอย เนื่องจากบริเวณนี้จะเป็นที่เก็บเม็ดเลือดขาวไว้จำนวนมาก เมื่อมีเชื่อโรคบุกรุกเข้ามาจะทำให้ต่อมนี้เกิดการอักเสบและบวมโตได้ แต่ต่อมนี้จะมีบทบาทที่สำคัญในช่วงอายุ 2-12 ปีเท่านั้น แต่จะไม่มีผลในการป้องกันเชื้อโรคในวัยผู้ใหญ่
  • Mucosa-Associated Lymphiod Tissue = เนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณเยื่อบุอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ทางเดินหายใจ ลำไส้เล็ก ไส้ติ่ง เป็นต้น ทำหน้าที่ในการค้นหาและทำลายเชื้อโรค
  • Thymus = ต่อมไทมัส เป็นต่อมใต้กระดูกหน้าอก สร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ที-เซลล์ (T-cell) ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • Tonsils = ต่อมทอนซิล เป็นเนื้อเยื่อน้ำหลือง ภายในบรรจุเม็ดเลือดขาวหลายชนิด อยู่ตรงบริเวณลำคอทั้งสองข้าง มีหน้าที่สำคัญในการดักจับ และทำลายเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหาร
  • Intestines = ลำไส้เล็ก
  • Spleen = ม้าม เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ตรงใต้ชายโครงด้านซ้าย ม้ามจะทำหน้าที่กรองเลือดและทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุแล้ว
  • Bone Marrow = ไขกระดูก เป็นส่วนที่สร้างเม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นระบบภูมิคุ้มกันในระบบน้ำเหลือง
  • Lymph Nodes = ต่อมน้ำเหลือง มีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว ทำหน้าที่คอยติดตามและทำความสะอาดน้ำเหลือง โดยทำการกรองน้ำเหลือง ช่วยทำลายเซลล์ที่เสียหาย และเซลล์มะเร็ง ในต่อมน้ำเหลือจะมีการเก็บเซลล์เม็ดเลือดขาว และเซลล์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ไว้ด้วย ต่อมน้ำเหลืองของเราจะมีอยู่ประมาณ 600 ต่อม กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เราสามารถสัมผัสต่อมน้ำเหลืองในบางตำแหน่งของร่างกายได้เนื่องจากอยู่ใกล้กับผิวหนัง เช่น ใต้รักแร้ ขาหนีบ หรือบริเวณคอ 

น้ำเหลือง (Lymph)

          น้ำเหลือง คือส่วนหนึ่งที่เป็นของเหลวในร่างกายที่เกิดจากพลาสมา และของเหลวจากเนื้อเยื่อต่างๆ ที่เคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดฝอย (Capillary) เข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย (Lymph Cappillary) แล้วไหลเวียนอยู่ในระบบน้ำเหลือ น้ำเหลือจะมีลักษณะใส่ มีส่วนประกอบคลายกับพลาสมา แต่มีจำนวนโปรตีนน้อยกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวก อัลบูมิน (Albumin) สาเหตุที่จำนวนโปรตีนน้อยกว่าพลาสมาเพราะโปรตีนที่ลอดผ่านผนังของหลอดเลือดฝอยมาอยู่ในน้ำเหลือได้จะเป็นโปรตีนทีมีขนาดโมเลกุลที่เล็กๆ เท่านั้น น้ำเหลือในแต่ละละอวัยวะจะมีโปรตีนแตกต่างกันไป

หลอดน้ำเหลือง (Lymphatic Vessel)

ท่อน้ำเหลือง, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

ภาพจาก https://classnotes123.com/what-is-lymph-class-10th/

          คำอธิบายศัพท์ในภาพ

  • Arteiole = หลอดเลือดแดงเล็ก
  • Lymph Capillary = หลอดน้ำเหลืองฝอย
  • Blood Capillary = หลอดเลือดแดงฝอย
  • Tissue Fluid = สารน้ำระหว่างเซลล์
  • Venule = หลอดเลือดดำฝอย
  • Tissue Cell = เซลล์เนื้อเยื้อ
  • Lymphatic Vessel = หลอดน้ำเหลือง
  • Lymphatic Endothelial Cells = เยื่อบุโพรงหลอดน้ำเหลือง
  • Endothelial Flaps = แผ่นเนื้อเยื่อผนังเซลล์
  • Intestitial Fluid = สารน้ำที่อยู่ตามช่องว่างรอบๆ เซลล์
  • Lymph = น้ำเหลือง
  • Aืnchoring Filament = เส้นใยยึดเกาะท่อน้ำเหลือง

          หลอดน้ำเหลือง มีบทบาทสำคัญในการนำน้ำเหลืองกลับเข้าสูระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยเริ่มตั้งแต่หลอดน้ำเหลืองฝอย (Lymphatic Capillary) ซึ่งมีขนาดเล็ก ผนังบางๆ อยู่ใกล้กับหลอดเลือดฝอย มีลักณษะเป็นท่อปลายปิด ยื่นเข้าไปในช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อต่างๆ หลอดน้ำเหลือจะมีลักษณธเป็น “ร่างแห” (Network) จะทำการรวบรมน้ำเหลือจากเนื้อเยื่อต่างๆ เข้าไปในหลอดน้ำเหลือที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ไปยังหลอดน้ำเหลืองใหญ่ทางด้านขวา (Right Lymphatic Duct) ซึ่งนำน้ำเหลือจาก้านขวาของศีรษะ คอ แขนขวา กับหลอดน้ำเหลือใหญ่ด้านซ้าย (Thoracid Duct) ซึ่งนำน้ำเหลือจากบริเวณส่วนล่างของร่างกาย แขนซ้าย ศีรษะและคอด้านซ้ายเข้าสู่ระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยระหว่างทางเดินของน้ำเหลือจะต้องผ่านต่อมน้ำเหลือง การไหลเวียนของน้ำเหลือจะไม่มีอวัยวะที่ช่วยในการสูบฉีดเหมือนกับระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่น้ำเหลือจะเกิดการไหลเวียนได้โดยการหดตัวของผนังของหลอดน้ำเหลืองเอง และเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ หลอดน้ำเหลือง นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงความดันภายในทรวงอกที่เกิดจากการหายใจ ก็มีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของน้ำเหลืองด้วย ภายในหลอดน้ำเหลืองจะมีลิ้น (Value) จำนวนมากเพื่อช่วยให้น้ำเหลืองไหลไปในทิศทางเดียว หลอดน้ำเหลืองกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้นที่ สมอง ไขสันหลัง ลูกตา หูชั้นใน ไขกระดูก และกระดูกอ่อน

          ดังนั้นกิจกรรมการเคลื่อนไหวของเราในแต่ละวัน รวมทั้งการออกกำลังกายทุกชนิด จึงเป็นการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนของน้ำเหลืองได้ดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้ระบบน้ำเหลืองสามารถค้นหาและกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค รวมถึงเซลล์มะเร็งที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายของเราได้ด้วย การไหลเวียนของน้ำเหลืองที่ดีจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของเราให้ดียิ่งขึ้น

ต่อมน้ำเหลือง (Lymph Node)

          ต่อมน้ำเหลือง จะมีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว หรือมีรูปทรงแบบกลมรี (Bean or Oval Shape) มีรอยเว้าเข้าด้านในเรียกว่า “ไฮลัม” (Hilum) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีหลอดเลือดดำและแดงเข้ามาหล่อเลี้ยงบริเวณต่อมน้ำเหลือง และเป็นทางออกของ “ท่อน้ำเหลืองออก” (Efferrent Lymphatic Vessel) จากต่อมน้ำเหลือง หรือเป็นน้ำเหลืองที่ผ่านการกรองแล้ว ต่อมน้ำเหลืองแต่ละต่อมจะมีเปลือกห่อหุ้ม ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความแข็งแรง (Dense Connective Tissue) เปลือกของต่อมน้ำเหลืองจะมีส่วนที่ยื่นเข้าไปภายในต่อม เรียกว่า “ทราเบคูเล” (Trabeculae) ทำหน้าที่คอยพยุงค้ำจุนให้ต่อมน้ำเหลืองคงรูปร่างไว้

         เนื้อต่อมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

          1. ส่วนเปลือก (Cortex) ส่วนเปลือกของต่อมจะแบ่งออกเป็น เปลือกชั้นนอก (Outer Cortex) เป็นตำแหน่งที่มีการรวมตัวของเม็ดเลือดขาวชนิดบี (Lymphocytic B Follicle) และเปลือกชั้นใน (Inner Cortex หรือ Paracortex) ในส่วนนี้จะมีเม็ดเลือดขาวชนิดที (T-cell) รวมตัวกันอยู่จำนวนมาก ทั้งสองส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการดักจับและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่มากับน้ำเหลือง ก่อนที่จะไหลเข้าสู่กระแสเลือด

         2. ส่วนชั้นใน (Medulla) เนื้อเยื่อส่วนนี้จะมีการเรียงตัวกันเป็นแถวๆ จึงเรียกตำแหน่งนี้ว่า “เมดูลลารี คอร์ด” (Medullary Cord) ในตำแหน่งนี้จะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด “มาโครฟาจ” (Macrophages) และ “พลาสมา เซลล์” (Plasma Cell) อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งสองชนิดจะทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ตำแหน่งนี้จะประกอบด้วย “โพรงต่อมน้ำเหลือง” (Medullary Sinus) “ท่อทางออกน้ำเหลืง” (Efferent Lymphatic Vessel) “หลอดเลือดแดงและดำ” (Artery and Vien)

          หน้าที่สำคัญของต่อมน้ำเหลือง คือ

  1. ผลิตเซลล์น้ำเหลือง ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง มีความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Antibody) ที่เรียกว่า “อิมมูโนโกลบูลิน” (Immunoglobulin) ซึ่งพบได้ใน “น้ำเลือด” (Blood Plasma) และใน “ระบบน้ำเหลือง” (Lymphatic System) โดยพลาสมาเซลล์จะถูกสร้างที่ “ไขกระดูก” (Bone marrow) เมื่อออกมาจากไขกระดูกจะเป็นเม็ดเลือดขาวชนิด บี ก่อน (B-cell) ต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นพลาสมา เซลล์ ที่พบได้ในต่อมน้ำเหลือง
  2. ทำหน้าที่กรองน้ำเหลือง ที่ไหลมาตามท่อน้ำเหลือง เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่ปนเปื้อนมากับน้ำเหลือง
  3. สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย (Antibody)

ต่อมทอนซิล (Tonsil Gland)

ทอนซิลตำแหน่งต่างๆ, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น. เรียนออนไลน์ฟรี

          ต่อมทอนซิล เป็นต่อมที่เกิดจากการรวมตัวกันของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่หลายอันมารวมตัวกัน และฝังตัวอยู่ใน “ชั้นเยื่อบุผิว” (Mucuos Membrane) ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ทางเดินหายใจ และทางเดินอาหาร และมีบทบาทบางส่วนในการสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อมทอนซิลมีอยู่หลายตำแหน่ง ประกอบด้วย

  1. พาลาทีน ทอนซิล (Palatine Tonsil) มองเห็นได้ทางช่องปากเป็นคู่ฝั่งซ้ายและขวาของด้านหลังคอ 
  2. ทอนซิลโคนลิ้น (Lingual Tonsil) อยู่ตรงบริเวรโคนลิ้น
  3. ฟาริงเกลีย หรือ อะดีนอยด์ ทอนซิล (Pharyngxgeal Tonsil) อยู่ตรงด้านหลังคอรอยต่อกับโพรงจมูก
  4. ทูบอล ทอนซิน (Tubal Tonsin) อยู่ด้านหลังคอ ต่ำลงมากจาก อะดีนอยด์ ทอนซิล

ภาพจาก https://teachmeanatomy.info/neck/misc/tonsils-and-adenoids/

ต่อมไทมัส (Thymus Gland)

ต่อมไทมัส, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลน์ฟรี

         ต่อมไทมัส เป็นอวัยวะน้ำเหลือ ตั้งอยู่ใน “ส่วนแบ่งครึ่งของช่องอก” (Mediastinum) ที่อยู่ด้านหลังของกระดูกหน้าอก (Sternum) อยู่กึ่งกลางระหว่างปอดทั้งสองข้าง ในเด็กแรกเกิดต่อมนี้จะมีน้ำหนักประมาณ 10-35 กรัม และมีขนาดโตขึ้นจนถึงวัยรุ่น  ในผู้ใหญ่จะมีนำหนักประมาณ 5-10 กรม ต่อมจะมีกลีบซ้ายและขวา เชื่อมติดกันด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวกัน (Connective Tissue) ทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโดยการสังเคราะห์ฮอร์โมน “ไทโมซิน” (Thymosin) เพื่อช่วยในการผลิตเม็ดเลือดขาวชนิดที (T-cell) ซึ่งมีหน้าที่ในการทำลายเชื้อโรคที่ลุกล้ำเข้าไปในร่างกายของเรา ต่อมไทมัสต่างจากต่อมน้ำเหลืองตรงที่ไม่มี “การรวมตัวของเนื้อเยื่อน้ำเหลือเป็นกลุ่ม” (Lymphatic Nodule) แต่สามารถพบโครงสร้างรูปกลมที่เกิดจาก “เยื่อบุผิวที่เป็นร่างแห” (Reticular Epithelial Cells) ที่เรียงตัวเป็นวง เรียกว่า “แฮซซอลส์ คอร์ปัสเซิล” (Hassall’s Copuscles)

ภาพจาก https://thefuturedentistry.com/thymus/

ม้าม (Spleen)

ม้าม, อบรมปฐมพยาบาลเบื้องต้น, เรียนออนไลนฟรี

          ม้าม เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีรูปทรงเรียวรี คลายเมล็ดถั่ว อยู่ใต้กระบังลมทางด้านซ้ายของลำตัว ใกล้กับตับอ่อนและไตซ้าย ถูกยึดติดกับช่องท้องด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) ม้ามมีขนาดกว้าง x ยาว เท่ากับ 4x 5 นิ้ว ความหนาประมาณ 1.5 นิ้ว มีน้ำหนักโดยรวมประมาณ 200 กรัม เมื่อนำม้ามมาผ่าออก จะพบว่าเนื้อภายในของม้ามจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

  1.  เนื้อสีขาว (White Pulp) จะเห็นเป็นจุดสีขาวอยู่รวมกันเป็นกลุ่มของ “เนื้อเยื่อน้ำเหลือง” (Lymphatic Tissue) ที่อยู่รอบๆ หลอดเลือดแดง บริเวณกลุ่มเนื้อเยื่อน้ำเหลือง
  2. เนื้อสีแดง (Red Pulp) จะมีสีแดงเข้ม ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และมาโครฟาจ

หน้าที่ของม้าม

  1. ช่วยทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ
  2. ช่วยผลิตเลือดในขณะที่เป็นทารก โดยทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด “กรานูโลไซท์” (Granulacyte) และเม็ดเลือดแดง
  3. สร้างเม็ดเลือดขาว “ลิมโฟไซท์” (Lymphocyte) เพื่อทำลายเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

ภาพจาก https://together.stjude.org/en-us/life-after-cancer/long-term-effects/spleen-late-effects.html

2 Responses