
การกู้ชีพ คืออะไร?
การกู้ชีพ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cardio Pulmonary Resuscitation คำย่อคือ CPR เป็นการปฏิบัติการขั้นฉุกเฉิน เพื่อต้องการช่วยชีวิตผู้ป่วย ซึ่ง “หมดสติ-หยุดหายใจ-หัวใจหยุดเต้น” ด้วยการ “กดหน้าอกอย่างเดียว” (Hand Only CPR) หรือ “กดหน้าอก-ช่วยหายใจ-ใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ หรือ AED” (AED: Automated External Defibrillator)
CPR ย่อมาจากคำว่าอะไร?
คำว่า CPR เป็นคำย่อภาษาอังกฤษ Cardio Pulmonary Resuscitation ซึ่งมีความหมายดังต่อไปนี้
- C = cardio หมายถึง หัวใจ (ศัพท์ทางการแพทย์)
- P = pulmonary หมายถึง ปอด (ศัพท์ทางการแพทย์)
- R = resuscitaion หมายถึง การฟื้นฟู
แปลรวมกันคือ “กระบวนการฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ และปอด” หมายความว่า การทำ CPR ก็คือกระบวนการที่ช่วยให้หัวใจและปอดกลับมาทำหน้าที่ส่งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์สมอง และเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะเป้าหมายหลักในการทำการกู้ชีพ เมื่อสมองกลับมาทำงาน และควบคุมให้อวัยวะต่างๆ ทำงานตามปกติและผู้ป่วยรอดชีวิตนั่งเอง
CPR มีกี่แบบ?

รูปแสดง ห่วงโซ่แห่งการรอดชีวิต (Chain of survival) จากสมาคมโรคหัวใจอเมริกา
ขออธิบายความหมายของรูปข้างบนก่อนนะครับ สมาคมโรคหัวใจอเมริกา ได้สื่อให้กับทั่วโลกเข้าใจถึง “กระบวนการที่จะนำมาซึ่งการรอดชีวิตของผู้ป่วย” ควรให้การช่วยเหลือตามแนวคิดในรูป ซึ่งประกอบด้วย “การกู้ชีพขั้นพื้นฐาน” และ “การกู้ชีพขั้นสูง” โดยที่กระบวนการทั้งสองระดับนี้ต้องมีความสอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกัน ให้เราสังเกตุว่าแต่ละห่วงนั้นมีการ “เกี่ยวคล้องกันอยู่” ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตให้สูงที่สุด ในการกู้ชีพ
1. การกู้ชีพขั้นพื้้นฐาน หรือการทำ BLS (Basic Life Support) ถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome: คลิกอ่านต่อ) หัวใจจะหยุดการปั้มเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมอง ขั้นตอนการประกอบด้วย
-
- แจ้งขอความช่วยเหลือ จากทีมแพทย์ฉุกเฉิน ในประเทศไทยมีอยู่หลายเบอร์ตามตารางด้านล่าง แต่เบอร์ที่แนะนำคือเบอร์ 1669
- เริ่มทำ BLS สามารถทำได้ทั้งแบบ “กดหน้าอกอย่างเดียว” หรือ “กดหน้าอกและช่วยหายใจ”
- ใช้เครื่อง AED กับผู้ป่วยให้เร็วที่สุด
2. การกู้ชีพขั้นสูง หรือ Advance Cardiac Life Support: ACLS เป็นหลักสูตรสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งจะต้องผ่านหลักสูตร BLS เสียก่อนจึงจะสามารถผ่านเข้าเรียนในหลักสูตรนี้ได้ กระบวนการสำคัญประกอบด้วย
-
- รถพยาบาลขั้นสูงออกมารับผู้ป่วย ซึ่งในรถจะมีบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความสามารถในการกู้ชีพขั้นสูง พร้อมทั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยขั้นสูงที่จำเป็น เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ และระหว่างทางก่อนถึงโรงพยาบาล เนื่องจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลันแม้จะได้รับการกู้ชีพขึ้นมาแล้ว ก็มีโอกาสจะเกิดซ้ำได้อีก โดยเฉพาะในช่วง 24 ชั่วโมงแรก จากการกู้ชีพ
- ได้รับการดูแลเฉพาะทาง การเกิดภาวะหัวใจวายซ้ำมีโอกาสสูงมากในช่วง 24 ชั่วโมงแรก ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยถูกส่งตัวถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง จากบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง เช่น ห้องดูแลผู้ป่วยวิกฤต (Intensive Care Unit: ICU) หรือห้องผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ (Cardiac Care Unit: CCU)
- ได้รับการฟื้นฟูสุขภาพ เมื่อผู้ป่วยผ่านพ้นระยะวิกฤตไปแล้ว การฟื้นฟูสภาพการทำงานขอระบบไหลเวียนโลหิต และสมอง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และใช้เวลาในการประคับประครองให้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจให้กลับมาทำงานได้ใกล้เคียงปกติให้มาที่สุด ภายใต้การดูแลของผู้ที่มีความรู้และเป็นสหสาขาวิชาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพ นักกำหนดอาหาร นักจิตวิทยา เป็นต้น
จะเริ่มกู้ชีพขั้นพื้นฐานเมื่อไร?

รูปแสดง ระยะเวลาที่เซลล์สมองทนต่อภาวะขาดออกซิเจน
การกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support: BLS) ถือว่าเป็น “กระบวนการฉุกเฉินทางการแพทย์” เพราะเมื่อเราพบผู้ป่วยที่ “หมดสติ-หยุดหายใจ-หัวใจหยุดเต้น” แสดงว่า “สมองของผู้ป่วยหยุดทำงานไปแล้ว” อวัยวะอื่นๆ ก็จะหยุดทำงานไปด้วย เมื่อหยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น เซลล์มองก็จะไม่มีเลือดไปเลี้ยง เซลล์สมองก็จะขาดออกซิเจน เพราะเลือดแดงทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย (อ่านต่อ: โครงสร้างและการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต) เซลล์สมองจะสามารถทนทานต่อการขาดออกซิเจนได้เพียง 4 นาทีเท่านั้น และหากมีความล่าช้าในการกู้ชีพ ทุกๆ 1 นาที โอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยจะลดลง 7-10 เปอร์เซ็นต์ กรณีที่เราทำการกู้ชีพใน 1 นาทีแรก ผู้ป่วยจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเมื่อเราพบผู้ป่วยหมดสติ-หยุดหายใจ-หัวใจหยุดเต้น ให้เราเริ่มกู้ชีพให้เร็วที่สุด
การกู้ชีพสำคัญอย่างไร?
หากท่านผู้อ่านได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับระบบต่างๆ ของร่างกายมาแล้วตามคำแนะนำของผู้เขียน จะช่วยให้เข้าใจในเนื้อหาในหัวข้อนี้ได้อย่างไม่ยากนัก ในบทนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบสำคัญของร่างกาย 3 ระบบหลักๆ คือ ระบบประสาท (Nervouse System) ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory System) และระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory System) หากจะกับไปทบทวนทั้ง 3 ระบบนี้ดูก่อนก็คลิกที่ลิงค์ได้เลยนะครับ จะทำให้สามารถเรียนรู้บทนี้ได้ดียิ่งขึ้นนะครับ ในเบื้องต้นผู้เขียนจะขออธิบายเกี่ยวกับ 3 ระบบนี้ซักเล็กน้อยเพื่อเป็นการทบทวนนะครับ
สำคัญต่อระบบประสาท
โครงสร้างพื้นฐานของระบบประสาท (Nervous System) ประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ คือ สมอง (Brain) ไขสันหลัง (Spinal cord) และเส้นประสาท (Nerve) ทั้ง 3 ส่วนนี้จะทำงานประสานกันด้วยไฟฟ้าเคมีในร่างกายของเราเรียกว่า “กระแสประสาท” (Nerve impulse) การทำงานของระบบประสาทต้องได้รับออกซิเจน เพื่อนำมาผลิตพลังงานของเซลล์สมอง หากสมองขาดออกซิเจน ไม่เกิน 2 นาที สมองจะหยุดทำงาน อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็จะหยุดทำงานไปได้ เช่น หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น
เพื่อฟื้นฟูการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory System) ประกอบด้วย หัวใจ (Heart) หลอดเลือดดำ (Vein) หลอดเลือดแดง (Artery) น้ำเหลืองหรือพลาสมา (Plasma) เม็ดเลือด (Blood cell) ระบบไหลเวียนโลหิตจะทำหน้าที่ นำสารอาหาร ฮอร์โมน ออกซิเจน ไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย และในขณะเดียวกันก็นำของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญของเซลล์ออกมากำจัดทิ้งออกจากร่างกายด้วย
กรณที่เกิดภาวะหัวใจวาย หรือหัวใจหยุดเต้น เราจะช่วยผู้ป่วยด้วยการกดหน้าอก หรือนวดหัวใจ (CPR: Cardio Pulmonary Resuscitation) เพื่อให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ที่เป็นอวัยวะเป้าหมายคือ สมอง และกล้ามเนื้อหัวใจ
เพื่อฟื้นฟูการทำงานของระบบหายใจ
เมื่อเกิดภาวะหัวใจวาย สมองหยุดทำงาน การหายใจก็จะหยุดลงด้วย หากปล่อยไว้เกิน 4 นาที เซลล์สมองจะตายอย่างถาวร ไม่สามารถกู้ชีพขึ้นมาได้อีก ปกติเราจะหายใจ 12-20 ครั้ง/นาที ทุกครั้งที่เราหายใจจะมีปริมาณออกซิเจน จากอากาศรอบๆ ตัวเรา 21 เปอร์เซ็นต์ ผ่านเข้าสู่ปอด และเกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ ที่บริเวณถุงลมปอด และหลอดเลือดฝอยรอบๆ ถุงลม การดูดซึมออกซิเจนจะเฉลี่ยที่ 5 เปอร์เซ็นต์ และจะมีออกซิเจนออกมาพร้อมกับลมหายใจออกประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพียงพอต่อการช่วยชิวิตผู้ป่วย
หากช่วยทำ CPR แล้วผู้ป่วยเสียชีวิตจะมีความผิดหรือไม่ ?
จากประสบการณ์ของผู้เขียน เป็นพยาบาลที่ได้มีโอกาสทำงานในห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ห้องฉุกเฉิน (ER) และรถพยาบาลฉุกเฉิน (Ambulance) ผ่านการทำ CPR ผู้ป่วยมานับไม่ถ้วน ซึ่งต้องใช้ทั้ง BLS และ ACLS ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่า เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตนั้นต่ำกว่าเปอร์เซ็นต์ของการรอดชีวิตจริงๆ เนื่องจากโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยนั้นขึ้นอยู่กับระยะความรุนแรงของการเจ็บป่วยของผู้ป่วยด้วย แม้ว่าเราจะใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง แต่ถ้าสภาพการเจ็บป่วยอยู่ในขั้นรุนแรง โอกาสรอดของผู้ป่วยก็จะลดลง
ดังนั้นขอให้เราทำ CPR ให้ถูกต้องขั้นตอนที่สมาคมโรคหัวใจอเมริการกำหนดไว้ (High Quality CPR) ซึ่งก็จะมีเลือดออกไปเลี้ยงเซลล์สมองและกล้ามเนื้อหัวใจเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับการบีบตัวปกติของหัวใจ หากเรามั่นใจได้ว่าเราได้ช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ และเป็นไปตามมาตรฐานก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะมีความผิดนะครับ
ทำ CPR แล้วกระดูกซี่โครงหักจะทำ CPR ต่อหรือไม่?
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจโครงสร้างของ “กระดูกหน้าอก และกระดูกซี่โครง” กันก่อน เนื่องจากทั้งสองส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องกับการทำ CPR มีการเก็บข้อมูลว่า พบผู้ป่วยมี “กระดูกซี่โครงหักหลังจากการทำ CPR” ได้สูงถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มผู้สูงวัย เนืองจากกลุ่มนี้จะมีปัญหาเรื่องของกระดูกพรุนร่วมด้วย เรามาดูกันกันว่าโครงสร้างของกระดูกหน้าอกและกระดูกซี่โครงเป็นอย่างไร

- หมายเลข 1 เป็นกระดูกอ่อน เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกหน้าอก และกระดูกซี่โครง
- หมายเลข 2 คือกระดูกหน้าอก เป็นกระดูกที่แข็งแรง
- หมายเลข 3 คือกระดูกซี่โครง
- หมายเลข 4 เป็นรอยต่อของกระดูกอ่อนกับกระดูกหน้าอก และแระดูกซึ่โครง

ภาพด้านบน แสดงตำแหน่งของกระดูกซี่โครง กระดูกอ่อน และกระดูหน้าอก ซึ่งสามารถหลุดออกจากกันได้ง่ายจากการทำ CPR หรือการกดหน้าอกเพื่อนวดหัวใจ การหลุดออกจากกันของรอยต่อ ขณะที่ทำ CPR จะรู้สึกที่ส้นมือหรือได้ยินเสียง “กรึบ” ในขณะทีเราทำ CPR เราไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ ให้เราทำ CPR ต่อไป เพราะจะไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อปอดอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะรอยต่อของกระดูกที่หลุดออกมาเป็นกระดูกอ่อน ไม่มีความแหลมคม หากเราสามารถกู้ชีพผู้ป่วยขึ้นมาได้ ก็สามารถรักษารอยต่อทีหลุดออกมาได้ หรืออาจหายได้เองภายใน 4-5 สัปดาห์ (9)
ทำ CPR อย่างไรจึงจะถือได้ว่ามีมาตราฐาน ?
การทำ CPR ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (High Quality CPR) ซึ่งเป็นคำแนะนำจากสมาคมโรคหัวใจอเมริกา (American Heart Association: AHA) ซึ่งเป็นที่ยอมรับเป็นสากล รวมถึงสถาบันทางการแพทย์ในประเทศไทยด้วย ซึ่งประกอบด้วยสิ่งต่างๆ คือ (11)
- กดหน้าอกจำนวน 100-120 ครั้ง/นาที
- หากกดหน้าอกน้อยกว่า 100 ครั้ง/นาที ความเข้มข้นของออกซิเจนจะไม่สูงเพียงพอที่จะซึมเข้าสูเซลล์
- หากกดหน้าอกมากว่า 120 คร้ง/นาที การไหลเวียนของเลือดแดงที่ออกจากหัวใจจะลดลง เนื่องจากเลือดดำที่ไหลเข้าหัวใจซีกขวามีปริมาณน้อย จากการกดหน้าอกเร็วเกินไป
- กดหน้าอกลึกอย่างน้อย 2 นิ้ว (สำหรับผู้ใหญ่) กดลึก 2 นิ้ว (สำหรับเด็กโต) กดลึก 1/3 ของความหนาของลำตัว (สำเด็กทารก)
- กรณีที่กดหน้าอกตามมาตรฐานที่กำหนดจะช่วยปั้มเลือดออกจากหัวใจเพียง 30 % เมื่อเทียบกับการบีบตัวปกติของหัวใจ ดังนั้นหากกดหน้าอกน้อยกว่าที่กำหนดไว้ จะส่งผลให้มีเลือดออกจากหัวใจน้อยกว่า 30 % โอกาสที่ผู้ป่วยจะรอดชีวิตก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
- ปล่อยให้หน้าอกคืนตัวตามปกติ หลักกดทุกครั้ง
- ขณะที่กดหน้าอก เลือดจะถูกส่งออกไปเลี้ยงเซลล์สมอง ขณะผ่อนแรงกดจะมีเลือดมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากเราไปปล่อยให้หน้าอกคืนไม่ตัวเต็มที่ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยง
- นอกจากนั้นในขณะที่ผ่อนแรงกดหน้าอก จะมีเลือดดำไหลกลับมาที่หัวใจซีกขวาจะลดลง ก็จะส่งผลให้เลือดแดงที่จะออกไปเลี้ยงเซลล์สมองมีปริมาณที่ลดลงด้วย (อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างและการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต)
- ไม่หยุดกดหน้าอกโดยไม่จำเป็น หากต้องหยุด ไม่ควรนานเกิน 10 วินาที
- การกดหน้าอกแบบ 30:2 ต้องทำต่อเนื่องกัน 4 ชุด จึงจะช่วยให้ความเข้มข้นของออกซิเจนซึมเข้าสู่เซลล์สมองและเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ และเมื่อเราเริ่มกดหน้าอกชุดที่ 5 ความเข้มข้นของออกซิเจนจะสูงเพียงพอหลังจากการกดหน้าอกครั้งที่ 10
- หากเราหยุดกดหน้าอกเกิน 10 วินาที ก็จะเริมต้นการทำ CPR ใหม่ทั้งหมดนั้นเอง
- หากทำ CPR แบบ 30:2 ให้นับออกเสียงตามจังหวะการกดหน้าอก เมื่อครบ 30 ครั้งให้หยุดกดหน้าอก แล้วช่วยหายใจ 2 ครั้ง เมื่อทำครบ 5 ชุด ให้เปลี่ยนคนกดหน้าอก
- การกดหน้าอกต่อเนื่องมากกว่า 5 ชุด จะส่งผลให้เกิดความอ่อนล้าในการทำ CPR อาจส่งผลต่อคุณภาพของการกดหน้าอกได้
- การช่วยหายใจให้ทำแบบนุ่มนวล เป่าลมให้เห็นหน้าอกของผู้ป่วยขยับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อป้องกันลมที่เป่าเข้าไปในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือดภายในช่องอกได้
- กรณีที่ทำ CPR แบบ “กดหน้าอกอย่างเดียว” (Hand Only CPR) ไม่จำเป็นต้องนับตามจังหวะการกดหน้าอก เมื่อกดหน้าอกครบ 2 นาที หรือเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อย ให้เปลี่ยนคนกดหน้าอก และกามีคนช่วยมากกว่า 1 คน ให้อีกคนเปิดทางเดินหายใจหายใจผู้ป่วยไว้ขณะทำ CPR
- การเปิดทางเดินหายใจแบบ “กดหน้าผาก ยกขากรรไกรล่าง” (Head Till Chin Lift) ขณะที่กดหน้าอก มุ่งหวังว่าอาจจะมีออกซิเจนผ่านเข้า-ออกในปอดได้บ้างตามจังหวะการกดหน้าอก
ท่าทางในการกดหน้าอก

ท่าทางสำหรับการกดหน้าอก (ด้านหน้า)
สำหรับท่าทางในการกดหน้าอกนั้นมีความสำคัญกับคุณภาพในการทำ CPR เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการทำ CPR เป็นเรื่องของทักษะการกด มากกว่าการใช้แรงในการกด มองจากทางด้านหน้าเราควรวางท่าทางในการกดหน้าอกดังต่อไปนี้
- แยกเข้าทั้งสองข้างออกระดับเดียวกับสะโพกของเรา
- ประสานมือเข้าด้วยกันให้มั่นคง
- แขนทั้งสองข้างเหยีดตึงตรง ตลอดการกดหน้าอก

ท่าทางการกดหน้าอก (ด้านข้าง)
ท่าทางในการกดหน้าอก มองจากด้านข้าง ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
- สะโพก-หลัง-ศีรษะ เป็นแนวตรง ทำมุม 45 องศา กับแนวพื้น
- แขนตั้งทำมุม 90 องศา กับหน้าอกของผู้ป่วย หรือ ไหลอยู่เหนือมือทั้งสองข้างของผู้กดหน้าอก ตลอดเวลาของการทำ CPR
- ขณะกดหน้าอกให้ใช้สะโพกเป็นจุดหมุน ใช้น้ำหนักลำตัว ไหล่ แขนในการกดหน้าอก
ท่าทางที่ควรหลีกเลี่ยงในการทำ CPR

โน้มตัวไปข้างหน้ามากเกินไป
การกดหน้าอกด้วยลักษณะนี้ น้ำหนักการกดจะตกไปที่ปลายมือ ไม่ใช่ส้นมือ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่หัวใจอยู่ จะส่งผลให้คุณภาพในการทำ CPR ด้วยลง ลดโอกาสที่ผู้ป่วยจะรอดชีวิต

แขนไม่ตั้งฉากกับหน้าอกของผู้ป่วย
การกดหน้าอกโดยที่แขนไม่ตั้งฉากกับหน้าอกของผู้ป่วย แรงกดจะเกิดจากแขนเท่านั้น จะไม่สามารถกดหน้าอกได้ลึกถึง 2 นิ้ว การทำ CPR ลักษณะนี้จะไม่มีประสิทธิภาพ

การกดหน้าอกแบบโยกตัวหน้า-หลัง
การกดหน้าอกแบบโยกตัวหน้า-หลังนี้ แรงกดแต่ละครั้งจะขาดความมั่นคง สม่ำเสมอ ทำให้การทำ CPR ไม่มีประสิทธิภาพ โอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยจะลดลง
เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจคืออะไร?
เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (Automated External Defibrillator: AED) เป็นเครื่องมือสำหรับปรับปรุงการสร้างไฟฟ้าของหัวใจ โดยเครื่องจะสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจได้ 2 ชนิด คือ การเต็นของหัวใจห้องล่างที่เร็วผิดปกติ (Ventricular Trachycardia: V-tach) พบได้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายเฉียบพลันประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ และการเต้นของหัวใจห้องล่างแบบสั่นพริ้ว (Ventricular Fibrillation: V-fib) พบได้ในผู้ป่วยหัวใจวายเฉีียบพลันประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจทั้งสองชนิดนี้ ต้องรักษาด้วยเครื่อง AED จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยให้มากขึ้น

ความหมายของคำว่า AED
ความหมายของคำว่า AED คือ
- A = automated หมายความว่า เครื่องจะทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อพบความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจ แบบ V-tach หรือ V-fib
- E = external หมายความว่า การทำงานของเครื่องจะดำเนินการจากภายนอกร่างกาย ไม่มีการสอดใส่อุปกรณ์ใดๆ เข้าไปในร่างกายของผู้ป่วย
- D = defibrillator หมายถึง เครื่องมือที่ปรับปรุงการเต้นของหัวใจแบบสั่นพริ้ว (Fibrillation)
เครื่อง AED ทำงานอย่างไร?
เครื่อง AED เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอัตโนมัติ แบบพกพา สามารถวิเคราะห์ระบบไฟฟ้าของหัวใจที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเราเตรียมพร้อมสำหรับใช้เครื่อง AED กับผู้ป่วยแล้ว เครื่องจะทำงานเป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้
- วิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วย (Rhythm analysis) ซึ่งในขณะที่เครื่อง AED กำลังวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยอยู่นั้น “ห้ามไม่ให้มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วยเด็ดขาด” เพราะคนปกติจะมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ และสามารถส่งผ่านไฟฟ้าไปยังตัวผู้ป่วยได้ด้วย ซึ่งจะทำให้เครื่อง AED วิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยผิดพลาดได้
- แนะนำให้ช็อค (Chock delivered) เมื่อเครื่อง AED พบว่าผู้ป่วยมีคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติ (V-tach และ V-fib) เครื่องจะบอกว่า “แนะนำให้ช็อค” หมายถึง เราจะต้องกดปุ่มช็อค เพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าจากเครื่อง ไปยังหัวใจของผู้ป่วยเพื่อ “ลบไฟฟ้าที่ผิดปกติออก” เนื่องจากการจะแก้ไขให้หัวใจกลับมาทำงานได้ตามปกตินั้น จะต้องลบไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติทิ้งเสียก่อนก่อน เพื่อให้ไฟฟ้าหัวใจกลับมาทำงานได้ตามปกติ ซึ่งกระบวนการที่นี้ก็มีความสำคัญมาก ก่อนที่เราจะกดปุ่มช็อคเพื่อปล่อยกระแสๆ ไฟฟ้าจากเครื่อง AED ไปยังผู้ป่วย เราต้องมั่นใจว่าไม่มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วยอยู่ หากมีใครสัมผัสตัวผู้ป่วย ไฟฟ้าจะผ่านไปยังตัวของคนที่สัมผัสผู้ป่วยอยู่ด้วย และไฟฟ้าจะไปลบไฟฟ้าหัวใจของผู้นั้นทิ้งด้วยเช่นกัน คือหัวใจจะหยุดเต้นไปด้วยนั้นเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติจะคงอยู่อีก 6 นาที ภายหลังจากที่เกิดภาวะหัวใจวาย ถ้าหากเราเอาเครื่อง AED มาใช้กับผู้ป่วย และเครื่องตรวจพบความผิดปกตินี้ ผู้ป่วยจะมีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่ากรณีที่ไม่พบความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจแล้ว
- แนะนำให้กดหน้าอก (Chest compression) กรณีเราติดตั้งอุปกรณ์เครื่อง AED กับผู้ป่วยแล้ว เครื่องบอกให้เราทำการกดหน้าอก หรือ ทำ CPR แสดงว่าเครื่อง AED ไม่พบการบีบตัวของใจที่ผิดปกติทั้งสองชนิดนั้นแล้ว
ไฟฟ้าหัวใจปกติ และผิดปกติ เป็นอย่างไร?
กล้ามเนื้อหัวใจ สามารถสร้างไฟฟ้าเคมี เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเน้อหัวใจหดและคลายตัว เพื่อส่งเลือดออกไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้ด้วยตัวเอง โดยไฟฟ้าจะเริ่มจากตำแหน่งของหัวใจห้องห้องบนขวา แล้วกระจายออกไปยังหัวใจห้องบนซ้ายและขวา จากนั้นไฟฟ้าจะถูกส่งผ่านมายังหังใจห้องล่างทั้งซ้ายและขวา เมื่อไฟฟ้าไปถึงส่วนใดกล้ามเนื้อจะหดตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ปกติหัวใจจะบีบตัวเพื่อปั้มเลือดออกจากหัวใจ 60-100 ครั้ง/นาที หากหัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไปจะทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายได้
วีดีโอแสดง ไฟฟ้าหัวใจ และการเต้นของหัวใจที่ปกติ
ความผิดปกติของไฟฟ้าหัวใจ ที่ทำให้หัวใจไม่สามารถปั้มเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ โดยเฉพาะเซลล์สมอง จะทำให้ผู้ป่วยหมอสติ ความผิดปกติที่พบได้ในผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันได้ร้อยละ 90 คือ “การเต้นของหัวใจห้องล่างแบบสั่นพริ้ว” Ventricular fibrillation: VF) เมื่อผู้ป่วยหมดสติ การเต้นของหัวใจแบบสั่่นพริ้วจะยังคงอยู่ต่อไปอีกประมาณ 6 นาที อย่างไรก็ตามหากเราสามารถนำ AED มาใช้กับผู้ป่วยและช็อคครั้งแรกภายใน 3 นาทีแรก หลังเกิดภาวะหัวใจวาย ผู้ป่วยจะมีโอกาสรอดชีวิต คิดเป็นร้อยละ 95 (10)
วีดีโอแสดง ไฟฟ้าหัวใจ และการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ (Ventricular Fibrillation: VF)
แล้วเครื่อง AED ทำงานอย่างไร ?? ทำไมถึงมีความสำคัญต่อผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ?? วีดีโอข้างล่างนี้จะช่วยให้เราทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของเครื่อง AED มากยิ่งขึ้น
คำแปลแต่ละช่วงของวีดีโอ
- วินาทีที่ 0.06 วีดีโอนี้จะอธิบายให้เราได้เข้าใจว่าเครื่อง AED ทำงานอย่างไร
- วินาทีที่ 0.10 ในวีดีโอเราจะเห็นคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ EKG ที่บันทึกไว้จากการช่วยชีวิตของคุณสตีฟ
- วินาทีที่ 0.14 ทุกวันนี้มีผู้ป่วยโรคหัวใจหายคนรอดชีวิตจากการใช้เครื่อง AED จำนวนมาก
- วินาทีที่ 0.25 เมื่อเราเปิดเครื่อง AED จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการใช้เครื่อง AED ให้เราปฏิบัติตาม
- วินาทีที่ 0.33 เมื่อเราติดแผ่นแปะหน้าอกแล้ว เครื่องจะบอกเราว่า “อย่าสัมผัสตัวผู้ป่วย เครื่องกำลังวิเคราะห์” (วิเคราะห์ หมายถึง วิเคราะห์ คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วย) เพราะการสัมผัสตัวผู้ป่วยในขณะที่เครื่อง AED กำลังวิเคราะห์ไฟฟ้าหัวใจอยู่ อาจทำให้เครื่องวิเคราะห์ผลผิดพลาดได้ เนื่องจากตัวของผู้สัมผัสก็มีไฟฟ้าเคมีในร่างกายเช่นเดียวกัน
- วินาทีที่ 0.43 หากเครื่อง AED พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยผิดปกติ ซึ่งร้อยละ 90 พบว่าเป็นแบบหัวใจห้องล่างเต้นสั่นพริ้ว (Ventricular Fibrillation : VF) ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เครื่องจะสามารถทำการวิเคราะห์ได้
- วินาทีที่ 0.57 ให้เราสังเกตว่าการบีบตัวของหัวใจแบบสั่นพริ้ว จะยังคงมีไฟฟ้าหัวใจทำงานอยู่ แต่จะไม่เป็นวงจรปกติ การบีบตัวของหัวใจแบบนี้จะไม่มีเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์สมอง ผู้จะหมดสติ การเต้นแบบสั่นพริ้วนี้จะคงอยู่ประมาณ 6 นาที และก็จะหยุดไป นั่นคือผู้ป่วยจะเสียชีวิต
- วินาทีที่ 1.14 เมื่อเครื่อง AED ตรวจพบคลื่นหัวใจแบบ VF เครื่องจะแนะนำให้ “กดปุ่มช็อค” หรือมีเสียงคำสั่งว่า “กดปุ่มไฟกระพริบสีส้ม – แดงเดี๋ยวนี้” เพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าให้วิ่งผ่านไปยังหัวใจของผู้ป่วย แต่ก่อนกดปุ่มช็อคต้องมั่นใจว่าไม่มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วย เพราะไฟฟ้าจากเครื่อง AED สามารถผ่านมายังตัวผู้สัมผัส และทำให้หัวใจของผู้นั้นหยุดเต้นไปด้วย
- วินาทีที่ 1.38 ไฟฟ้าจากเครื่อง AED จะลบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติทิ้ง ซึ่งโดยธรรมชาติของกล้ามเนื้อห้วใจนั้นสามารถฟื้นฟู (Reorganize) การสร้างไฟฟ้าที่ปกติกลับขึ้นมาเหมือนเดิมได้ โดยทั่วไปกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 นาที
- วินาทีที่ 2.07 หลังจากการกดปุ่มช็อค เครื่อง AED จะสั่งให้เราทำ CPR ต่อทันที ทั้งนี้เพื่อให้มีเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมอง และเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่ทำ CPR จะไม่มีผลกระทบต่อการฟื้นฟูสภาพตนเองของหัวใจ
- วินาทีที่ 2.35 เมื่อเราทำ CPR ครบ 2 นาที เครื่อง AED จะสั่งให้เราหยุดทำ CPR และทำการวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจอีกครั้ง ซึ่งกระบวนการนี้จะเหมือนกับคำสั่งครั้งแรก และหากยังมีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่ เครื่องจะสั่งให้ช็อคเหมือนเดิม แต่ไฟฟ้าที่ปล่อยออกจากเครื่องจะสูงขึ้นกว่าครั้งแรก จำนวนครั้งของการซ็อคในผู้ป่วยแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของหัวใจของผู้ป่วยแต่ละคน บางคนอาจต้องช็อค 5-10 ครั้ง
- วินาทีที่ 2.45 ในกรณีของสตีพ ผู้ช่วยเหลือทำการช็อคเพียง 1 ครั้ง การทำงานของหัวใจก็สามารถกลับฟื้นฟูตัวเองได้เป็นปกติ และทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่
เราต้องทำ CPR และใช้เครื่อง AED กับผู้ป่วยนานแค่ไหน?
กรณีที่ผู้ป่วยเกิด “ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน” สามารถเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Acute Myocadial Infraction) ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome) ภาวะเกลือแร่ขาดสมดุลย์ (Electrolyte Imbalance) การใช้ยากลุ่มแอมเฟตามีนเกินขนาด (Amphetamine Overdose) ยาที่ใช้รักษาโรคหัวใจบางชนิด ซึ่งแต่ละสาเหตุนั้นจะมีผลต่อเวลา และวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยแตกต่างกันไป ดังนั้นทางสมาคมโรคหัวใจอเมริกาจึงได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันไว้ว่า “ให้ช่วยเหลือผู้ป่วยจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้น หรือจนกว่าทีมช่วยเหลือขั้นสูงมาถึงที่เกิดเหตุ”
จะทำ CPR ก่อน หรือ จะใช้เครื่อง AED ก่อน?
กรณีที่พบผู้ป่วยหมดสติ – หยุดหายใจ – หัวใจหยุดเต้น ให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- ประเมินสถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย ก่อนเข้าไปประเมินอาการของผู้ป่วย ให้เราประเมินสถานการณ์ก่อนทุกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น รอบๆ ที่เกิดเหตุมีอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อตัวเรา ผู้ป่วย หรือผู้อื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหรือไม่ หากมีให้ควบคุมสถานการณ์ให้ปลอดภัยเสียวก่อน
- ประเมิน 3 ระบบสำคัญ ของผู้ป่วย คือ ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต
- ขอความช่วยเหลือ หากพบว่าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว (ระบบประสาทไม่ทำงาน) ไม่หายใจ (ระบบหายใจไม่ทำงาน) ไม่มีชีพจร (หัวใจหยุดเต้น) โดยให้ตะโกนขอความช่วยเหลือ หากมีผู้เข้ามาช่วย ให้เขาโทร 1669 แจ้งสถานที่เกิดเหตุ – จำนวนผู้ป่วย – อาการของผู้ป่วย – การช่วยเหลือที่ทำให้กับผู้ป่วย สุดท้ายชื่อและนามสกุลผู้แจ้งเหตุ การขอความช่วยเหลือเพื่อแจ้งเหตุให้ทีมกู้ชีพขั้นสูงเดินทางมาให้การช่วยเหลือผู้ป่วย รวมถึงเครื่อง AED ด้วย
- เริ่มทำ CPR ให้ทำ CPR ให้เร็วที่สุดซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบ “กดหน้าอกอย่างเดียว” (Hand Only CPR) หรือ “กดหน้าอก และช่วยหายใจ” (Basic Life Support: BLS) ซึ่งการทำ CPR มีวัตถุประสงค์ให้มีออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์สมอง และเซลล์กล้ามเนื้หัวใจไว้ก่อน
- ใช้เครื่อง AED เมื่อเครื่อง AED มาถึง ให้ใช้กับผู้ป่วยโดยเร็วที่สุด ตามขั้นตอนตังต่อไปนี้
- นำเครื่องออกมาจากหีบห่อ
- กดปุ่มเปิดเครื่อง
- เตรียมผ่อนแปะหน้าอก เปิดเสื้อผู้ป่วยออก หากมีขนหน้าอกให้โกนบริเวณที่จะแปะแผ่นติดหน้าอก ถ้าเปียกน้ำให้เช็ดให้แห้ง
- แปะแผ่นติดหน้าอกให้ตรงกับ สัญลักษณ์บอกตำแหน่งที่ปรากฎอยู่บนแผ่น
- เครื่องจะเริ่มวิเคราะห์ลักษณะการเต้นของหัวใจ ระหว่างนี้ห้ามให้ใครสัมผัสตัวผู้ป่วย เพราะไฟฟ้าจากคนที่สัมผัสจะถ่ายทอดสู่ตัวผู้ป่วย ทำให้เครื่อง AED วิเคราะห์ไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วยผิดพลาดได้
- หากได้ยินเครื่องแจ้งว่า “แนะนำให้ช็อค” หรือ “ช็อคด้วยไฟฟ้า” แสดงว่าเครื่อง AED พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ผิดปกติแบบ ให้สำรวจดูก่อนว่าไม่มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วย ควรมีการเตือนคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ผู้ป่วยถอยห่างออกจากตัวผู้ป่วย เนื่องจากขณะที่เรากดปุ่มช็อค ไฟฟ้าจากเครื่องจะผ่านไปยังร่ายกายของผู้ป่วย หากมีใครสัมผัสกับร่างของผู้ป่วย ไฟฟ้าจะวิ่งเข้าสู่ร่งกายของผู้สัมผัสได้ และอาจทำให้หัวใจของผู้นั้นหยุดเต้นไปด้วย
- เมื่อเครื่อง AED มีระดับไฟฟ้าที่พร้อมใช้งานแล้ว เครื่องจะสั่งให้เรากดปุ่มเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้า โดยแจ้งว่า “กดปุ่มไฟกระพริบสีส้ม (แดง) เดี๋ยวนี้” โดยทั่วไปปุ่มช็อคที่มีความพร้อมใช้งานจะมีลักษณะไฟกระพริบสีแดง หรือสีส้มเป็นจุดสังเกต เมื่อเรากดช็อคปล่อยกระแสไฟแล้ว ไฟจะดับลง
- หลังกดปุ่มช็อค ให้รีบทำ CPR ต่อทันที เครื่องจะให้เราทำ CPR ประมาณ 2 นาที แล้วจะเริ่มทำการวิเคราะห์คลิ่นหัวใจอีกครั้ง
** หมายเหตุ : ให้ทำ CPR และใช้เครื่อง AED ช่วยเหลือผูป่วยจนกว่าผู้ป่วยจะฟื้น หรือทีมช่วยเหลือขั้นสูงมาถึง **
** ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง AED รุ่นไหน ยี่ห้ออะไร ให้ใช้ด้วยวิธีนี้ทั้งหมด **
การทำ CPR สำหรับผู้ใหญ่และเด็กเหมือน หรือแตกต่างกัน?
การทำ CPR จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย คือ เด็กทารก เด็กโต และวัยผู้ใหญ่
- เด็กทารก คือ วัยแรกเกิด – 1ปี
- วัยเด็กโตร คือ อายุระหว่าง 1-8 ปี
- วัยผู้ใหญ่ คือ อายุมากกว่า 8 ปี
กรณีทำ Hand Only CPR ไม่ต้องนับตามจังหวะการกดหน้าอก ให้กดหน้าอกต่อเนื่องนาน 2 นาที หรือเมื่อเริ่มรู้สึกเหนื่อย ให้เปลี่ยนคนกดหน้าอก
เอกสารอ้างอิง:
1. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/sudden-cardiac-arrest/symptoms-causes/syc-20350634
2. https://upbeat.org/heart-rhythm-disorders/sudden-cardiac-arrest
3. แนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดในประเทศไทย ฉบับปรับปรุง ปี 2557
4. https://www.medanta.org/patient-education-blog/blood-circulatory-system-how-does-it-work/
https://www.healthline.com/health/ventricular-tachycardia
5. https://cpr.heart.org/en/resources/cpr-facts-and-stats/out-of-hospital-chain-of-survival
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6396442/
6. https://www.ahajournals.org/doi/10.1161/JAHA.121.023949
7. https://www.acls-pals-bls.com/algorithms/bls/#CPRadults
8. https://www.mycprcertificationonline.com/blog/ribs-breaking-during-cpr-and-other-side-effects
9. https://www.youtube.com/watch?v=i0Bazp48dag
10. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21878-ventricular-fibrillation
11. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4740154/
3 Responses