
โครงสร้างของระบบทางเดินหายใจแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบ่งตามลักษณะโครงสร้างของระบบทางเดินหายใจ (Respirtoy System Structure) และแบ่งตามลักษณะหน้าที่การทำงานของระบบทางเดินหายใจ (Respiratory System Function) ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
แบ่งตามลักษณะโครงสร้างของระบบทางเดินหายใจ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
ทางเดินหายใจส่วนบน (Upper Respiratory Tract)

ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ประกอบด้วย จมูก (Nose) ช่องปาก (Oral Cavity) คอหอย (Pharynx)
จมูก (Nose)

ภาพจาก https://stock.adobe.com/th/search/images?k=nose+anatomy
อธิบายความหมายคำศัพท์ในภาพ เกี่ยวกับโครงสร้างของจมูก
1. จมูก (Nose) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการรับรู้กลิ่นชนิดต่างๆ และยังเป็นด่านแรกสุดที่นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายของระบบทางเดินหายใจ นอกจากนั้นภายในโพรงจมูก (Nasal Cavity) ยังช่วยปรับความอุ่น (Warms) และความชื้น (Humidifies) ของอากาศที่หายใจเข้า ซึ่งช่วยให้โพรงจมูกของเราไม่แห้ง และยังมีเยื่อเมือก (Mucus) ที่บริเวณผนังของโพรงจมูก ทำหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละออง รวมทั้งเชื้อโรคที่มากับอากาศที่เราหายใจเข้า เป็นการป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายของเราและก่อให้เกิดโรคกับเราได้ จมูกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ จมูกภายนอก (Exernal Nose) และจมูกภายใน (Internal Nose or Nasal Cavity)
1.1 จมูกภายนอก มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือทรงปิรมิด รูปร่างของทรงจมูกจะมีความแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ ภายนอกของจมูกภายนอกประกอบด้วย
1.1.1 ปลายจมูก (Tip) คือ ส่วนล่างสุดที่ยื่นออกมาข้างหน้า โครงสร้างของส่วนนี้จะเป็นกระดูกอ่อนส่วนล่าง (Lower Cartilage)
1.1.2 ปลีกจมูก (Wing of the Nose or Ala) เป็นส่วนที่พองขยายออกทางด้านข้างของปลายจมูกทั้งสองข้าง มีลักษณะค่อนข้างกลม ด้านล่างเป็นช่องเปิดของรูจมูก มีกระดูกอ่อนเป็นโครงสร้าง
1.1.3 รูจมูก (Nostrils) เป็นช่องเปิดที่อยู่ตรงใต้บริเวณปลีกจมูก เป็นส่วนแรกที่อากาศที่เราหายใจเข้า ผ่านไปยังโพรงจมูก และเป็นส่วนสุดท้ายที่ลมหายใจออกจากปอด ผ่านออกจากร่างกายสู่ภายนอก
1.1.4 สันจมูก (Bridge of the Nose) เป็นแนวตรงด้านบนของจมูกที่อยู่ระหว่างปลายจมูก และดั้งจมูก อยู่ตรงกึ่งกลางของใบหน้า เป็นตำแหน่งเดียวกันกับ “ผนังกันจมูก” (Septum) มีโครงสร้างเป็นกระดูกอ่อนส่วนบน (Upper Cartilage)
1.1.5 ดั้งจมูก (Bridge of the Nose) เป็นส่วนที่ต่อจากสันจมูกขึ้นมาด้านบน เป็นตำแหน่งที่อยู่ระหว่างตา เป็นส่วนบนสุดของจมูกส่วนนอก โครงสร้างตรงนี้จะเป็นกระดูกแข็ง (Bone)

ภาพแสดงโครงสร้างของโพรงจมูก ภาพจาก https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0142961222000692
2.2 จมูกภายใน หรือโพรงจมูก ภายในโพรงจมูกยังมีส่วนประกอบอีกหลายๆ ส่วน ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกันไป ประกอบด้วย
2.2.1 โพรงจมูกส่วนหน้า (Nasal Vestibule) เป็นโพรงขนาดเล็ก ถัดจากรูจมูกด้านหน้าก่อนเข้าสู่โพรงจมูก ถูกล้อมรอบด้วยกระดูกอ่อน ภายในบุด้วยเยื่อบุผิวเช่นเดียวกับผิวหนังภายนอก บริเวณนี้จะมี “ขนจมูก” (Vibrissae) จำนวนมาก ทำหน้าที่ในการดักจับฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศที่เราหายใจเข้าไปในโพรงจมูก
2.2.2 กระดูกก้นหอยจมูก (Nasal Concha or Tubinate) เป็นกระดูกจากผนังของจมูก ยื่นเข้ามาในโพรงจมูก มีรูปทรงม้วนโครง ถูกปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อของโรงจมูก มีหน้าที่ช่วยให้อากาศทีเราหายใจเข้ามีการหมุนวนเเพื่อช่วยอากาศมีความชื้นมีความความอบอุ่นมากขึ้น แต่ละข้างของผนังจมูกจะมีกระดูกก้นหอยข้างละ 3 ชิ้น ประกอบด้วย กระดูกก้นหอยชิ้นล่าง (Inferior Nasal Concha) กระดูกก้นหอยชิ้นกลาง (Middle Nasal Concha) และกระดูกก้นหอยชิ้นบน (Superior Nasal Concha)
2.2.3 ผนังกั้นจมูก (Nasal Septum) เป็นผนังที่อยู่ตรงกลางของสันจมูก แบ่งจมูกออกเป็น 2 ข้าง ส่วนหน้าจะมีโครงสร้างเป็นกระดูกอ่อน ส่วนหลังจะเป็นกระดูกแข็ง ถูกปกคลุมด้วยเยื่อบุทางเดินหายใจ ผนังกั้นจมูกอาจเกิดการคดได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดจากอุบัติเหตุภายหลัง ซึ่งจะส่งผลการใช้ยาหยอดหรือยาพ่นทางจมูกเข้าไปไม่ถึงโพรงจมูกได้อย่างทั่วถึง ทำให้มีอาการคัดจมูกได้ และยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ และทำให้เกิดการอักเสบของไซนัส และการทำงานของท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติได้
2.2.4 โพรงจมูกส่วนหลัง (Nasopharynx) เป็นโพรงจมูกที่อยู่ด้านหลังสุด อยู่ติดกับคอหอย (Pharynx) เป็นทางผ่านของอากาศจากโพรงจมูกผ่านเข้าสู่หลอดลม ดักจับฝุ่นละออกและเชื้อโรคที่ปนมากับอากาศที่เราหายใจเข้าด้วยเนื้อเยื่อเมือก มีส่วนช่วยในการออกเสีย และช่วยปรับสมดุลของความดันในหูชั้นกลาง เนื่องจากมี “ท่อยูสเตเชียล” (Eustachian Tube) เชื่อมต่อกับหูชั้นกลางในมาเปิดออกตรงบริเวณนี้
2.2.5 ผนังกั้นจมูก (Nasal Septum) อยู่ตรงกึ่งกลางของจมูกและใบหน้า แบ่งจมูกออกเป็น 2 ข้าง จะมีโครงเป็นกระดูกอ่อนตั้ง “สันจมูกและปลายจมูก” ส่วนตรงส่วนดังจมูกจะเป็นกระดูแข็ง ตรงตำแหน่งนี้พบว่าทำให้เกิดอาการของ “เลือดกำเดา” (Epistaxis) ได้บ่อย
2.2.6 โพรงอากาศบริเวณใบหน้า (Sinus) เป็นโพรงอากาศที่มีการเชื่อมต่อกับบริเวณโพรงจมูก ไซนัส ที่สำคัญ มีอยู่ด้วยกัน 4 คู่ โดยจะมีชื่อตามชื่อของกระดูกที่ไซนัสนั้นๆ อยู่ คือ
2.2.6.1 ฟอร์นทอล ไซนัส (Frontal Sinus) ตั้งอยู่ตรงบริเวณหน้าฝาก
2.2.6.2 เอ็ดมอยด์ ไซนัส (Ethmoid Sunus) ตั้งอยู่ตรงตำแหน่งของหัวตาทั้งสองข้าง
2.2.6.3 สฟีนอยด์ ไซนัส (Sphenoid Sinus) ตั้งอยู่ตรงบริเวณกระดูกฐานสมองใกล้ๆ กับบริเวณขมับ
2.2.6.4 แม็คซิลลารี ไซนัส (Maxillary Sinus) ตั้งอยู่ตรงบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง ตรงตำแหน่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกขากรรไกรบนด้วย (Maxillary Bone)
ช่องปาก (Oral Cavity)
ช่องปาก เป็นทั้งทางเดินอาหาร และในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ในการหายใจได้ด้วย เช่น ขณะที่เราดำน้ำและใชอุปกรณ์ช่วยหายใจ เราจะต้องหายใจทางปากเท่านั้น ส่วนหลังของช่องปากจะเชื่อมต่อกับส่วนล่างของโพรงจมูก เรียกว่า “คอหอย” (Pharynx) มีโครงสร้างเป็นกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) ช่วยคอพยุงให้อวัยวะคงรูปร่างอยู่ได้ โดยเนื้อเยื่อตำแหน่งนี้จะเกาะอยู่กับกระดูกฐานกะโหลก (Base of Skull) คอหอยจะมีลักษณะเป็นท่อยาวจากโพรงจมูก ไปจนถึงกระดูกสันหลังส่วนคอที่ 6 (Cervical Spine 6 th: C6th) ซึ่งคอหอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ
1. คอหอยส่วนบน (Nasopharynx) เป็นส่วนที่ติดต่อกับส่วนหลังของโพรงจมูก ส่วนนี้มีจะมีปลายขอ “ท่อยูสเตเชียน” (Eustathian Tube) มาเปิดอยู่ด้วยซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมกับหูชั้นกลาง ช่วยปรับความสมดุลของหูชั้นกลาง และยังมี “ต่อมน้ำเหลือคอ หรือต่อมอะดีนอยด์” (Pharyngeal Tonsil or Adenoids) อยู่ที่ผนังด้านหลังของตำแหน่งนี้ด้วย
2. คอหอยส่วนกลาง (Oralpharynx) เป็นคอหอยส่วนที่อยู่ตรงด้านหลังของช่องปาก เริ่มจากระดับเพดานอ่อน (Soft Palate) ตรงส่วนนี้จะมีกลุ่มของเซลล์เนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่เรียกว่า “ทอนซิล” (Tonsil) อยู่ 2 คู่ คือ ต่อมน้ำเหลือเพดานปาก ทอนซิล (Palaatine Tonsil) และ ต่อน้ำเหลืองโคนลิ้น (Lingual Tonsil)
3. คอหอยส่วนล่าง (Layngopharynx) เริ่มตั้งแต่กระดูกไฮออยด์ (Hyoid Bone) จนถึงทางเปิดของหลอดอาหาร ซึ่งส่วนนี้จะเป็นทางผ่านของอาหารและอากาศ
ทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower Respiratory Tract)

ทางเดินหายใจส่วนล่าง เป็นส่วนหนึ่งของทางเดินอาการที่เราหายใจเข้า-ออก เพื่อเข้าสู่กระบวนการแลกเปลี่ยนอากาศหายใจ เป็นส่วนที่ถัดต่อไปลงไปจากทางเดินหายใจส่วนบน ทางเดินหายใจส่วนล่างประกอบด้วย กล่องเสียง (Larynx) หลอดลมคอ (Trachea) หลอดลมหลัก (Primary Bronchi) และปอด (Lung)
กล่องเสียง (Larynx)

ภาพแสดง โครงสร้างของกล่องเสียง ภาพจาก https://www.pharmacy180.com/article/larynx-3656/
กล่องเสียง (Larynx) ประกอบด้วยกระดูกอ่อนจำนวนหลายชิ้น ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด “กระดูกอ่อนไทรอยด์ หรือลูกกระเดือก” (Thyroid Cartilage or Adam’s Apple) จะอยู่ด้านหน้าของหลอดลม ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในเพศชาย ส่วนเหนือของกระดูกอ่อนไทรอยด์ จะเป็น “กระดูกไฮออย” (Hyoid Bone) ส่งล่างของกระดูกอ่อนไทรอยด์ จะเป็น “กระดูกอ่อนไครคอยด์” (Cricoid Cartilate) หรือกระดูกโคนลิ้น ซึ่งจะมีลักษณะวงแหวน และถัดลงมาจะเป็น “หลอดลมคอ” (Trachea) กล่องเสียงนอกจากจะเป็นทางผ่านของอากาศหายใจแล้ว ยังเป็นอวัยวะที่ใช้สำหรังการเปล่งเสียงอีกด้วย
โครงสร้างภายนอกของกล่องเสียง ประกอบด้วยกระดูกอ่อนจำนวน 9 ชิ้น เป็น “กระดูกอ่อนที่อยู่เป็นคู่ๆ” จำนวน 3 คู่ คือ
- กระดูกอ่อนอะริทีนอยด์ (Arytenoid Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนชนิดขาวใสมีความยืดหยุ่นสูง (Hyaline Cartilage) เป็นชนิดคู่ มีรูปทรงปิรามิด ส่วนยอดชี้ขึ้นด้านบน ส่วนฐานติดอยู่กับกระดูกอ่อนไครคอยด์
- กระดูกอ่อนคิวนิฟอร์ม (Cuneiform Cartilage) เป็นกระดอกอ่อนรูปทรงลิ่ม มีขนาดเล็ก มองเป็นเยื่อบุผิวที่ยกตัวสูงขึ้น ตรงบริเวณส่วนหน้าเหนือกระดูกอ่อนคอร์นิคูเลท เป็นส่วนที่ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับกระดูกชิ้นอื่นๆ
- กระดูกอ่อนคอร์นิคิวเลท (Corniculate Cartilage) เป็นก้อนกระดูกอ่อนทรงกรวยขนาดเล็ก เป็นกระดูกอ่อนชนิดยืดหยุ่นสูง (Elastic Cartilage) ตั้งอยู่ตรงปลายของกระดูกอ่อนอะริทินอยด์
และเป็น “กระดูกอ่อนที่อยู่แบบเดี่ยวๆ” อีก 3 ชิ้น คือ
- กระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในโครงสร้างของกล่องเสียง เป็นกระดูกอ่อนใส ตั้งอยู่ใต้กระดูกอ่อนไฮออยด์ โดยมี “เยื่อบุ ไทโรไฮออยด์” (Thyrohyoid Membrane) เป็นตัวเชื่อมกระดูกอ่อนทั้งสองส่วนเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนล่างของกระดูกอ่อนไทรอยด์จะเชื่อมต่อกับกระดูกอ่อนไครออยด์ (Cricoid Cartilage)
- กระดูกอ่อนไครคอยด์ (Cricoid Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนของกล่องเสียงชิ้นเดียวที่โอบล้อมรอบหลอดลมทั้งหมด มีโครงสร้างเป็นกระดูกอ่อนใส มีความยืดหยุ่นสูง (Hyaline Cartilage) มีลักษณะเป็นวงแหวน ส่วนล่างของกระดูกอ่อนไครคอยด์จะติดกับหลอดลม โดยถูกยึดติดไว้ด้วย “เอ็นไครโคเทรเคียล์” (Cricotracheal Ligament)
- กระดูกอ่อนอิพิกล็อตติส หรือฝากปิดกล่องเสียง หรือ ลิ้นปิดกล่องเสียง (Epiglottis) เป็นกระดูกอ่อนชนิดที่มีความยืดหยุ่นสูง (Elastic Catilage) ถูกปกคลุมด้วยเยื่อเมือก (Mucus Membrane) มีลักษณะเป็นแผ่นฝาที่สามารถปิด-เปิดเวลาขยับขึ้น-ลงได้ ฝานี้จะยื่นเอียงขึ้นไปทางด้านบนหลัง
โครงสร้างภายในกล่องเสียง บริเวณส่วนบนของกล่องเสียง จะมีแผ่นเยื่อบางๆ เรียกว่า “สายเสียง” (Vocal Cords) ขึงขวางหลอดลมอยู่ 2 คู่ คือ “สายเสียงไม่แท้” (False Vocal Cords or Ventricular Folds) และ “สายเสียงแท้” (True Vocal Cords or Vocal Fold) ซึ่งจะอยู่ต่ำกว่าสายเสียงไม่แท้ ช่องตรงกลางระหว่างสายเสียงแท้ เรียกว่า “ไรมา กล็อททิดิส” (Rima Glottidis) อยู่ด้านหน้าของกระดูกอ่อนอะริทินอยด์ ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุดของกล่องเสียง มีความยาวประมาณ 23 มิลลิเมตร ในผู้ชาย และประมาณ 17-18 มิลลิเมตร ในผู้หญิง จากความยาวที่ต่างกันนี้จีงทำให้เสียงของทั้งสองเพศมีความแตกต่างกัน นอกจากนั้นในวัยเด็กสายเสียงยังเจริญเติบไม่เต็มที่ก็จะมีเสียงที่แตกต่างไปจากผู้ใหญ่ที่สายเสียงเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และเมื่อเข้าสู่ผู้สูงวัยก็จะเริ่มมีการเสื่อมของสายเสียงก็มีส่วนทำให้เสียงของผู้สูงอายุแตกต่างไปจากวัยผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน สายเสียงแท้จะประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิด โดยผิวนอกจะเป็น “เยื่อเมือก” (Mucous Membranes) ด้านในจะเป็นกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ (Tendon) เนื้อเยื่อเส้นใย (Fibrous Tissue) หลอดเลือด และเส้นประสาท สายเสียงจะมีสีค่อนไปทางซีดเนื่องจากมีจำนวนของหลอดเลือดมาเลี้ยงค่อนข้างน้อยนั่นเอง
สายเสียงสามารถปิด-เปิดได้ จากการขยับของกล้ามเนื้อที่ยึดกระดูกอ่อนของกล่องเสียง ขณะที่เราเปล่งเสียงสายเสียงจะขยับเข้าหากัน ทำให้ช่องไรมา กล็อททิดิส แคบลง เมื่อมีลมมากระทบจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของสายเสียง ทำให้เกิดเป็นเสียงขึ้น การที่เกิดเสียงพูดต่างๆ ได้เกิดจากเสียงที่เกิดจากกล่องเสียงมากระทบกับอวัยวะในช่องปาก เช่น ลิ้น ฟัน ลิ้มฝีปาก ทำให้เราสามารถพูดคำพูดชนิดต่างๆ ได้นั่นเอง
นอกจากนั้นสายเสียงยังทำหน้าที่ในการหดตัวเพื่อช่วยปิดหลอดลม ขณะที่เรากำลังกลืนอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้เศษอาหารพลัดตกเข้าสู่หลอดลมของเราได้ ดังนั้นในขณะที่เรารับประทานอาหาร โดยเฉพาะขณะที่มีอาหารอยู่ในปาก เราจึงควรหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับผู้อื่น เพราะในขณะที่เราออกเสียงพูด สายเสียงจะเปิดออก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะทำให้อาหารพลัดตกเข้าไปในหลอดลมและทำให้เกิดการอุดตันของหลอดลมได้ หากชิ้นอาหารมีขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ภาพแสดง โครงสร้างภายในของกล่องเสียง ภาพจาก https://www.researchgate.net/figure/Internal-view-of-larynx_fig3_260780703
หลอดลม (Trachea)
หลอดลม เป็นท่อกลวงซึ่งเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้า-ออก เชื่อมต่อระหว่าง “ทางเดินหายใจส่วนต้น และปอด” โดยเริ่มที่ส่วนปลายสุดของกล่องเสียง ซึ่งจะตรงกับระดับของ “กระดูกสันหลังส่วนคอซี่ที่ 6” (Cervical Spine 6th: C6) ยาวลงมาจนถึงระดับ “กระดูกสันหลังส่วนอกซี่ที่ 5” (Thoracic Spine 5th: T5) ท่อของหลอดลมจะประกอบไปด้วย “กระดูกอ่อน” (Cartilage) ที่มีรูปทรงคล้ายตัว “D” จำนวนประมาณ 15-20 ชิ้น และถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกล้ามเนื้อเรียบ ผนังด้านหลังของหลอดลม คือส่วนที่ติดกับหลอดอาหารจะไม่มีกระดูกอ่อน การมีโครงสร้างที่เป็นกระดูกอ่อนดังกล่าวช่วยทำให้หลอดลมสามารถคงรูปร่างเป็นท่อโปร่งไว้ได้ตลอดเวลา ผนังภายในท่อของหลอดลมจะบุด้วยเยื่อเมือกที่มีความชื้นสูง และมีเซลล์ขน (Cilai Cell) คอยทำหน้าที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมและโบกพัดออกสู่ภายนอก

หลอดลมทอดลงมาจากส่วนล่างของกล่องเสียง (Larynx) ถึงบริเวณของกระดูกสันหลังระดับอกท่อนที่ 5 (Thoracic Spine 5th : T5) จะแยกออกเป็น “หลอดลมหลักซ้ายและขวา” (Left Primary Bronchus and Right Primary Bronchus) บางตำราเรียกว่า “แขนงหลอดลม” จากนั้นจะแทรกตัวเข้าสู่ปอด (Lung) ตรงตำแหน่ง “ขั้วปอด” (Root of Lung หรือ Hilus of Lung) ทั้งข้างซ้ายและขวา หลอดลมหลักขวาจะแยกออกจากหลอดลมทำมุม 20-30 องศา มีขนาดใหญ่และสั้นกว่าหลอดลมหลักซ้ายซึ่งทำมุมกับหลอดลม 50-70 องศา ดังนั้นเมื่อมีการสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่หลอดลม สิ่งแปลกปลอมจึงมักตกไปอุดตันที่หลอดลมขวาเสมอ
เมื่อหลอดลมหลักเข้าสู่ปอดแต่ละข้างแล้ว หลอดลมหลักจะแตกแขนงออกเป็นหลอดลมซึ่งมีขนาดเล็กลง เรียกว่า “หลอดลมรอง” (Secondary Bronchus หรือ Lobar Bronchus) หลอดลมรองปอดข้างซ้ายจะมี 2 แขนง ทอดตัวไปที่ กลีบปอดซ้ายบน (Left Upper Lobe) และกลีบปอดซ้ายล่าง (Left Upper Lobe) ปอดขวาจะมีหลอดลมรองจำนวน 3 แขนง ทอดตัวเข้าไปที่ กลีบปอดบนขวา (Right Upper Lobe) กลีบปอดกลางขวา (Right Middle Lobe) และกลีบปอดล่างขวา (Right Lower Lobe)
หลอดลมรองของแต่ละกลีบปอดจะแตกแขนงออกเป็นหลอดลมขนาดเล็กลงไปอีกเรียกว่า “หลอดลมระดับที่ 3 หรือ หลอดลมแยกส่วน” (Tertiary Bronchus or Segmental Bronchus) โดยแยกไปตามส่วนต่างๆ ของปอด แล้วจะแยกออกเป็นท่อเล็กๆ ต่อไปอีกเรียกว่า “หลอดลมฝอย” (Bronchioles) และท้ายสุดของหลอดลมเรียกว่า “หลอดลมฝอยส่วนปลาย” (Terminal Bronchiloles) และทางเดินหายใจจะสิ้นสุดที่ “ถุงลม” (ซึ่งจะอยู่ติดกับหลอดลมฝอยส่วนปลาย

ภาพแสดง หลอดลม หลอดลมหลัก หลอดลมรอง หลอดลมระดับที่ 3 หลอดลมฝอย และหลอดลมฝอยส่วนปลาย
ส่วนปลายของหลอดลมจะมีขนาดเล็กมาก และจะไปสิ้นสุดที่ถุงลมปอด ซึ่งจะเป็นตำแหน่งที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กับหลอดเลือดฝอยที่โอบล้อมอยู่รอบๆ ถุงลม จากภาพอธิบายเพิ่มเติมได้คือ
- กระเปาะถุงลม (Alveolar Sac) คือ กลุ่มถุงลมซึ่งจับตัวกันเป็นกลุ่ม ซึ่งประกอบขึ้นถุงลมย่อยๆ หลายใบ
- รูเปิดถุงลม (Alveolar Pores) เป็นส่วนปลายสุดของหลอดลมฝอยที่แลกเปลี่ยนแก๊ส (Respiratory Bronchiole) จะเป็นทางที่อากาศไหลเข้าสู่ถุงลม
- ท่อถุงลม (Alveolar Duct) เป็นส่วนที่สิ้นสุดของท่อหลอดลม เป็นจุดที่มีการเชื่อมต่อกับถุงลม
- หลอดเลือดฝอย (Capillaries) จะโอบล้อมรอบๆ ถุงลม เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบด้วย “หลอดเลือดแดงปอด” (Pulmonary Artery) ซึ่งนำเลือดดำจากหัวใจซีกซ้ายล่าง (Right Ventricle) เข้ามาในปอด และ “หลอดเลือดดำปอด” (Pulmonary Vein) ซึ่งนำเลือดแดงจากปอดกลับไปยังหัวใจซีกซ้ายบน (Left Atrium) แล้วไหลลงไปหัวใจ “ห้องล่างซ้าย” (Left Ventricle) ก่อนที่จะไหลออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายต่อไป

ภาพแสดง องค์ประกอบของหลอดลมฝอย ถุงลม และหลอดเลือดฝอย
อวัยวะที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ (Respiration Part)
อวัยวะของระบบทางเดินหายใจ ที่สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซได้ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ต่อไปนี้
- หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนก๊าซ (Respiratory Bronchiole) เป็นหลอดลมที่ต่อจาก “หลอดลมฝอยส่วนปลาย” (Terminal Bronchiole) ผนังของหลอดลมส่วนนี้จะไม่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากมี “ถุงลม” (Alveoli) มาเปิดเป็นระยะๆ จึงทำให้หลอดลมส่วนนี้สามารถแลกเปลี่ยนก๊าซได้ด้วย
- ท่อถุงลม (Alveolar Duct) เป็นส่วนที่ต่อมาจาก “หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนก๊าซ” และเป็นส่วนที่มีถุงลมมาเปิดเข้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ผนังของส่วนนี้ไม่มีการเชื่อมต่อกัน
- ถุงลม (Pulmonary Aveoli หรือ Alveoli) เป็นส่วนปลายสุดของท่อทางเดินหายใจ ซึ่งทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศหายใจ โดยเฉลี่ยนปอดแต่ละข้างจะมีถุงลมประมาณ 150 ล้านถุง มีผู้ประมาณการว่า หากเรานำเอาถุงลมทั้งหมดมาแผ่แล้วต่อกันเป็นแผ่น จะมีความกว้างเท่ากับ 1 สนามบาสเก็ตบอลเลยทีเดียว “ถุงลม” (Alveoli) แต่ละถุงรวมเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน เรียกว่า “กระเปาะถุงลม” (Alveolar Sac) ผนังของถุงลมจะประกอบด้วย “เส้นใยยืดหยุ่นสูง” (Elastic Fiber)
ระบบไหลเวียนโลหิตผ่านระบบทางเดินหายใจ (Plumonary Circulation)

ในระบบทางเดินหายใจ จะมีระบบการไหลเวียนโลหิตเข้าสู่อวัยวะของระบบทางเดินหายใจอยู่ด้วยกันอยู่ด้วยกัน 2 ระบบ คือ
1. ระบบไหลเวียนเลือดหล่อเลี้ยงหลอดลม (Bronchial Circulation) ระบบนี้การไหลเวียนเลือดจะมีลักษณะเหมือนกับการไหลเวียนของเลือดในะรบบอื่นๆ คือนำอาหารและออกซิเจนมาเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ที่เป็นโครงสร้างของท่อทางเดินหายใจ “ส่วนนำอากาศ” (Conduction Part) ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนก๊าส เช่น จมูก ช่องจมูก คอห่อย กล่องเสียง หลอดลม และหลอดลมแยก และ “ส่วนแลกเปลี่ยนอากาศ” (Respiration Part) เป็นส่วนที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างถุงลมและหลอดเลือดฝอยภายในปอด เช่น ท่อลมขนาดเล็ก (Respiratory Bronchiole) ท่อถุงลม (Alveolar Duct) กระเปาะถุงลม (Alveolar Sac) และ ถุงลม (Alveoli) เมื่อเลือดแดงส่ง O2 ให้กับเซลล์ของระบบทางเดินหายใจ และรับ Co2 กลับเข้ามาในกระแสเลือด และกลายเป็นเลือดดำ ไหลกับไปที่หัวใจห้องบนขวา จากนั้นก็จะเป็นการไหลเวียนในระบบที่สองต่อไป

2. ระบบไหลเวียนเลือดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซ (Pulmonary Cirrculation) จะเริ่มตั้งแต่เลือดดำ ซึ่งมีออกซิเจนต่ำ และคาร์บอนไดออกไซด์สูง ซึ่งไหลกลับมาจากส่วนต่างของร่างกาย เข้ามายังหัวใจ “ห้องบนขวา” (Right Atruim) จากนั้นเลือดดำไหลผ่านลิ้นหัวใจลงมายังหัวใจ “ห้องล่างขวา” (Right Ventircle) เมื่อหัวใจห้องล่างขวาบีบตัวเลือดดำจะไหลผ่านลิ้นหัวใจเข้าสู่ “หลอดเลือดแดงปอด” (Pulmanary Artery) เพื่อไหลเข้าสู่ปอด จากนั้นหลอดเลือดแดงปอดจะแตกแขนงออกเป็นหลอดเลือดฝอย (Capillary) ไปห่อหุ้มรอบๆ ถุงลมและส่วนที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ เมื่อเลือดดำส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในถุงลม และรับก๊าซออกซิเจนจากถุงลมเข้าในเม็ดเลือด จากเลือดดำจะกลายเป็นเลือดแดง และไหลกลับเข้าสู่ “หลอดเลือดดำปอด” (Pulmonary Vein) กลับไปยังหัวใจ “ห้องบนซ้าย” (Left Atrium) ลงไปหัวใจ “ห้องล่างซ้าย” (Left Ventricle) แล้วเลือดแดงจะถูกส่งออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยแบ่งเป็นส่วนบนของร่างกาย คือ ตั้งแต่ใต้ระดับรักแร้ไปจนถึงศรีษะ และส่วนล่างของร่างกายคือ ตั้งแต่ระดับใต้รักแร้ไปจนถึงปลายเท้า
ปอด (Lung)

ปอดตั้งอยู่ในทรวงอก ปอดขวาประกอบด้วย 3 กลีบ คือ
- กลีบปอดบนขวา (Right Superior Lobe)
- กลีบปอดกลางขวา (Right Middle Lobe)
- กลีบปอดล่างขวา (Right Inferior Lobe)
ปลอดซ้ายมี 2 กลีบ คือ
- กลีบปอดบนซ้าย (Left Superior Lobe)
- กลีบปอดล่างซ้าย (Left Inferior Lobe)
เนื่องจากปอดประกอบด้วยถถุงลมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เนื้อปอดมีลักษณะหยุ่นคล้ายฟองน้ำ ภายในจะมีอากาศแทรกอยู่เต็มปอดทั้งสองข้าง
การฟังเสียงปอดมีความสำคัญทางคลินิกเป็นอย่างมาก เพื่อใช้ในการช่วยวินิจฉัยโรคของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง (Lower Respiratory Tract) เราจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “สเต็ทโตสโคบ” (Stethoscope) หรือ “หูฟังสำหรับแพทย์” เสียงปอดปกติจะเป็นเสียงของลมที่ผ่านเข้าไปในหลอดลม หากมีเสียงกายใจที่ผิดปกติ เช่น เสียง “แกร็กๆ” หรือ “เสียงวี๊ด” จะเป็นเครื่อบ่งชี้ว่ามีความผิดปกติขึ้นกับปอด
เยื่อหุ้มปอด (Pleura)

เยื่อหุ้มปอด เป็นเนื้อเยื่อชนิด “ใส เหนียว ยืดหยุ่น” (Serous Membrane) มี 2 ชั้น ชั้นนอกติดกับผนังทรวงอก เรียกว่า “เยื่อหุ้มพารัยตัล” (Parietal Pleura) ชั้นในอยู่ติดกับเนื้อปอดเรียกว่า “เยื่อหุ้มวิสเซอร์รัล” (Visceral Pleura) ระหว่างเยื่อหุ้มทั้งสองชั้นนี้จะมีช่องว่างเรียกว่า “ช่องเยื่อหุ้มปอด” (Pleural Cavity) ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นเพื่อไม่ให้เยื่อหุ้มทั้งสองชั้นเกิดการเสียดสีกันระหว่างการหายใจเข้าออก
โดยปกติแล้วภายในช่องเยื่อหุ้มปอด จะมีความดันอากาศเป็นลบ เมื่อเทียบกับแรงดันบรรยากาศ ส่งผลให้การหดและขยายตัวของปอดขณะหายใจเข้าออกเป็นไปตามปกติ แต่หากมีการรั่วของเยื่อหุ้มปอด จะทำให้แรงดันของชั้นบรรยากาศแทรกเข้าไปในช่องเยื่อหุ้มปอด ทำให้แรงดันในช่องปอดเป็นบวก แรงดันนี้จะไปขัดขวางการขยายตัวของปอดขณะหายใจเข้า ผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดอากาศหายใจ และเกิดภาวะ “ปอดแฟบ” (Atelectalsis) ตามมา อย่างไรก็ตามแรงดันบวกที่เพิ่มขึ้นในช่องปอดนี้ อาจเป็นได้ทั้งอากาศ (Pneumothorax) และของเหลว (Hydrothorax)
ระบบป้องกันสิ่งสกปรกและเชื่อโรคของระบบทางเดินหายใจ
- ระบปฏิกิริยาสะท้องกลับ (Reflex) เช่น การไอ การจาม ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอม หรือฝุ่นลองเข้าไปในทางเดินหายใจและถูกดักจับไว้ด้วยเยื่อเมือกบริเวณเยื่อบุทางเดินหายใจ
- ระบบเยื่อบุของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งประกอบด้วย
- เซลล์สร้างเยื่อเมือก (Mucous Membrane) ทำหน้าที่สร้างสารน้ำให้เกิดความชุ่มชื้ตามช่องโพรงต่างๆ ของร่ากาย นอกจากนั้นยังช่วยในการดักจับเชื่อโรคและฝุ่นละอองที่มากับอากาศที่เราหายใจ
- เซลล์ขน (Ciliated Cell) ทำหน้าที่โบกพัดเชื่อโรคและฝุ่นละออกที่ติดอยู่กับเมือกของทางเดินหายใจให้ออกสู่ภายนอก
- ชั้นของเมือก (Mucous Blanket) เป็นเนื้อเยื่อชั้นบางๆ มีความชื่นสูง ทำให้สามารถดักจับฝุ่นละอองและเชื่อโรคได้
- เซลล์มาโครฟาจ (Macrophage) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย โดยคอยดักกินเชื้อแบคทีเรีย (Bacteria) ซึ่งจะพบเซลล์มาโครฟาจได้มากตรงบริเวณถุงลม (Macrophage)
กลไกการหายใจ (Breathing or Respiration) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- การหายใจภายนอก (External Respiration หรือ Breathing หรือ Ventilation) หมายถึง การที่อากาศจากภายนอกไหลเข้าสู่ทางเดินหายใจจึงไปถึงถุงลมปอด และเกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซ O2 และก๊าซ Co2 ระหว่างถุงลมปอด และหลอดเลือดฝอยรอบๆ ถุงลม (Pulmonary Capillaries)
- การหายใจภายใน (Internal Respiration หรือ Cellular Respiration หรือ Tissue Respiration) คือ การที่เซลล์ได้รับ O2 จากเลือดแดง แล้วนำมาเข้าสู่ “กระบวนการเผาผลาญ” (Metabolism Process) เพื่อสร้างเป็นพลังงานช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ตามปกติ การเผาผลาญของเซลล์จะคล้ายๆ กับเครื่องจักร คือ เมื่อผลิตพลังงานให้กับร่างกายของเราได้แล้ว ก็จะเกิดของเสียจากกระบวนการเผาผลาญด้วย ของเสียอย่างหนึ่งก็คือก๊าซ Co2 ซึ่งเซลล์จะไม่ต้องการแล้ว จะส่งกลับมายังกระแสเลือดอีกครั้ง เมื่อเลือดแดงเสีย O2 ให้เซลล์ไป และรับเอา Co2 เข้ามาในกระแสเลือด เลือดแดงจะเปลี่ยนสภาพเป็นเลือดดำ คือมี O2 ต่ำ และ Co2 สูง จากนั้นเลือดดำจะรวมตัวกันเป็นเส้นเลือดดำขนาดใหญ่ เพื่อนำเลือดไปฟอกที่ปลอด เป็นวงจรต่อไป
3 Responses