
ระบบประสาท (The Nervous System - เนิร์ฟเวอส์ ซีสเท็ม)
วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้แล้วควรมีความสามารถดังต่อไนี้
- จำแนกระบบประสาทของมนุาญ์พร้อมทั้งบอกหน้าที่องระบบประสาทได้
- อธิบายลักษณะและโครงสร้างของเซลล์ระสาทได้
- สามารถจำแนกชนิดของเซลล์ประสาทที่พบได้
- อธิบายลักษณะและความสำคัญของ Supporting Cells ได้
- อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นใยประสาทและเส้นประสาทได้
- อธิบายโครงสร้างของ Synapse ได้
- อธิบายเกี่ยวกับลักษณะของ Nerve Ending ได้
- ชี้แสดง Sulci, Gyri และ Lobe ต่างๆ ของ Cerebral Hemisphere ได้
- ชี้แสดงและบอกความสำคัญของ Brodma’s Area และ Function Area ที่สำคัญได้
- ชี้แสดงส่วนต่างๆ และบอกความสำคัญของ Deencephalon แต่ละส่วนได้
- ชี้แสดงและอธิบายหน้าที่ที่สำคัญของ Cerebellum ได้
- อธิบายและชี้แสดงระบบของช่องภายในสมอง (Ventricle) ได้
- อธิบายการสร้างและการระบายของ Crebrospinal Fludi ได้
- ชี้แสดงเยื่อหุ้มสมอง (Meninges) ชั้น DuraMater, Arachnoid Mater และ Pia Mater ได้
- อธิบัยและชีแสดงหลอดเลือดที่นำเลือดมาหลอเลี้ยงสมองได้
ระบบประสาท เป็นระบบที่สำคัญมากระบบหนึ่งของร่างกาย เพราะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทุกระบบของร่างกายมนุษย์ เพื่อจัดเตรียมให้ร่างกายมีความพร้อมในการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมภายนอกอย่างเหมาะสม นอกจากนั้นยังทำงานเกี่ยวข้องกับการรับรู้เรื่องราวต่างๆ รอบๆ ตัวเรา อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ การตอบสอนต่อสิ่งเร้ารอบๆ ตัว เช่น ความเย็น ความร้อน เป็นต้น และยังรวมถึงการใช้เหตุผล การใชสติปัญญา การตัดสินใจ อีกด้วย สมองมีโครงสร้างประกอบขึ้นด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้
เซลล์ประสาท (Neuron : นิวรอน หรือ Nerve cell: เนิร์ฟ เซลล์)
เซลล์ประสาท เป็นหน่วยโครงสร้างพื้นฐานที่เล็กที่สุด และสำคัญที่สุดของระบบประสาท เพราะทำหน้าที่สร้างและนำกระแสประสาท (Nerve impluse) ซึ่งช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ เซลล์ประสาทประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญคือ
- ตัวเซลล์ (Cell body) ภายในระกอบด้วยนิวเคลียส (Nucleus) โปรโตพลาสซึม (Protoplasm) เยื่อหุ่มเหซลล์ (Cell membrane) และออร์กาเนล (Organell) ต่างๆ เช่นเดียวกับเซลล์ชนิดอื่นๆ ส่วนนี้ทำหน้าที่สำคัญคือ สร้างข้อมูลต่างๆ และประสานงานกับเซลล์ประสาทตัวอื่นๆ
- ใยประสาท หรือ โพรเซส (Pocess) เป็นแขนงที่ยื่นออกจากตัวเซลล์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- แอ๊กซอน (Axon) เป็นส่วนที่มีลักษณยาว มีเส้นเดียว แต่ส่วนปลายอาจมีการแตกแขนงได้ ทำหน้าที่นำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ และส่งต่อให้กับเซลล์ประสาทตัวอื่นๆ ต่อไป แอ๊กซอนมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบที่มีปลอกไมอีลินหุ้ม กับไม่มีปลอกไมอิลิน ปลอกไมอิลินจะเป็นปล่องๆ ต่อกันไป ปลอกไมอิลินจะช่วยนำกระแสประสาทให้เคลื่อนที่ไปได้เร็วขึ้น
- เดนไดรต์ (Dendrite) เป็นแขนงประสาทสั้นๆ มีจำนวนหลายเส้น ทำหน้าที่นำกระแสประสาทจากเซลล์อื่นๆ เข้ามาในตัวเซลล์

ภาพแสดง องค์ประกอบของเซลล์ประสาท
เซลล์ประสาทแบ่งตามลักษณะของโปรเซสส์ หรือแขนง
เซลล์ประสาทแบ่งออกตามลักษณะของแอ็กซอน และเดนไดรต์ ที่ยื่นออกมาจากเซลล์ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด คือ
- แอนแอ๊กโซนิค นิวรอน (Anaxonic neuron) เป็นเซลล์ประสาทขนาดเล็ก แขนงเซลล์ที่ยื่นออกมาจากตัวเซลล์มีลักษณะคลายคลึงกัน ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นชนิดแอ๊กซอนหรือเดนไดรต์ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เซลล์สมอง และอวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ หน้าที่ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก
- เซลล์ประสาทแบบขั่วเดียว หรือ ยูนิโพลาร์ นิวรอน (Unipolar neuron) เป็นเซลล์ประสาทที่มีแขนงเดียวยื่นออกมาจากตัวเซลล์ แล้วแตกออกเป็น 2 แขนง ทำหน้าที่แอ๊กซอน 1 แขนง และเดนไดรต์ 1 แขนง
- เซลล์ประสาทแบบ 2 ขั้ว หรือ ไบโพลาร์ นิวรอน (Bipolar neuron) มีแขนงยื่นออกมาจากตัวเซลล์ 2 แชนง ทำหน้าที่แอ๊กซอน 1 แขนง ทำหน้าที่ เดนไดรต์ 1 แขนง
- เซลล์ประสาทแบบหลายขั้ว หรือ มัลติโพลาร์ นิวรอน (Multipolar neuron) เป็นเซลล์ประสาทที่มีแขนงหลายอันยื่นออกมาจากตัวเซลล์ โดยจะมีแอ๊กซอน 1 แขนง ส่วนที่เหลือจะทำหน้าที่เด็นไดรต์ เซลล์ประสาทลักษณะนี้จะมีอยู่ในสมองและไขสันหลัง

ภาพแสดง ลักษณะของเซลล์ประสาท แบ่งตามลักษณะของแขนงที่ยื่นออกจากตัวเซลล์ ที่มา https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Neuron_Classification.png
เซลล์ประสาทแบ่งตามหน้าทีการทำงาน

ภาพแสดง การทำงานงานของระบบประสาทรับความรู้สึก และระบบประสาทสั่งการ ภาพจาก https://www.quora.com/How-do-efferent-and-afferent-neurons-differ
เซลล์ประสาทแบ่งตามหน้าที่การทำงาน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
- เซนซอรี นิวรอน (Sensory neuron) หรือ แอฟเฟอเรนท์ นิวรอน (Afferent neuron) เป็นเซลล์ที่คอยรับการกระตุ้น แล้วเปลี่ยนการกระตุ้นนั้นให้เป็นไฟฟ้าเคมี และส่งกระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ได้รับการกระตุ้น ไปยังไขสันหลัง และสมอง ในร่างกายของเรามีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 20 ล้านเซลล์
- อินเตอร์นิวรอน (Interneuron) หรือ แอสโซซิเอชั่น นิวรอน (Association neuron) เป็นเซลล์ประสาทประสานงานระหว่างเซลล์ประสาทรับการกระตุ้น กับเซลล์ประสาทสั่งการ เป็นเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมองและไขสันหลัง มีความยาวประมาณ 4-5 ไมโครเมตร
- มอร์เตอร์นิวรอน (Motor neuron) หรือ เอฟเฟอเรนท์ นิวรอน (Efferent neuron) หรือเซลล์ประสาทสั่งการ เป็นเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่นำกระแสประสาทออกจากสมองและไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อ หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้ทำหน้าที่ตอบสนองต่อการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
กรณีตัวอย่างการทำงานของเซลล์ประสาททั้ง 3 ชนิด

เมื่อเรายืนอยู่กลางแดด หรืออาการที่ร้อน ความร้อนที่สัมผัสที่ผิวหนังซึ่งมีเซลล์ประสาทชนิด เซนซอรี นิวรอน อยู่จะเปลี่ยนความร้อนเป็นไฟฟ้าเคมี และส่งข้อมูลไปยังไขสันหลังและสมอง (Central Nervous System: CNS เซนทรัล เนิร์ฟเวอร์ส ซีสเท็ม) CNS จะวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับ เราจึงรู้สึกได้ถึงความร้อน ซึ่งเราก็จะตัดสินใจหาที่ร่ม หรือหาร่มมากางเพื่อกันแดด (การตอบสนองที่อยู่ในอำนาจของจิตใจ หรือสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเราเอง)
ในกรณีเดียวกัน ความร้อนที่เกิดจากการตากแดดนานๆ จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเราสูงขึ้นเกินปกติ เซนซอรี นิวรอน ที่อยู่ตามอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายจะส่งข้อมูลนี้ไปยัง CNS จากนั้น CNS จะส่งกระแสประสาทสั่งการออกไปยังอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น สั่งให้หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังขยายตัว เพื่อเพิ่มปริมาณการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนัง เลือดที่นำความร้อนมาจากแกนกลางของร่างกายสู่ผิวหนังก็จะสามารถระบายความร้อนออกสู่บริเวณรอบๆ ตัวเราได้ และสั่งให้ต่อมเหงื่อหลั่งเหงื่อเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยในการระบายความร้อนออกจากร่างกายนั่นเอง

กรณีที่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่หนาวเย็น ร่างกายมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย เซลล์ประสาทชนิด เซนซอรี นิวรอน จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิต่ำไปยังระบบประสาท CNS เราจึงรู้สึกได้ถึงความเย็น ในขณะเดียวกันอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายจะลดต่ำลงกว่าปกติ เซนซอรี นิวรอน ที่อยู่ตามอวัยวะต่างๆ ก็จะส่งสัญญาณข้อมูลไปยัง CNS เช่นเดียวกัน CNS จะส่งสัญญาประสาทเป็นคำสั่งไปยังหลอดเลือดบริเวณผิวหนังให้หดตัว เพื่อลดปริมาณเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณผิวหนัง เพื่อลดการสูญเสียความร้อนจากแกนกลางของร่างกาย เพราะขณะที่เลือดมาเลี้ยงที่บริเวณผิวหนังก็จะนำความร้อนจากแกนกลางของร่างกายออกมาที่บริเวณผิวหนังด้วย
ดังนั้นเราจะพบว่าเวลาที่เราอยู่ในอากาศเย็น ผิวหนังเราจะดูซีดขวา เนื่องจากเส้นเลือดบริเวณผิวหนังมีการหดตัวนั้นเอง นอกจากนั้น เมื่อเราสัมผัสอากาศเย็นๆ ขนเราจะตั้งชัน เนื่องจากว่ากล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณโคนขนมีการหดตัว เพื่อให้เกิดความร้อน รักษาความอบอุ่นให้กับเรานั่นเอง กลไกที่กล่าวมาทั้งหมดเราเรียกว่า “การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ หรือทำงานอยู่นอกอำนาจจิตใจ” ซึ่งเราจะกล่าวถึงต่อไป
สำหรับการทำงานของระบบประสาท “แบบอยู่ในอำนาจของจิตใจ” ก็คือ เวลาเราหนาวเราก็จะไปหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ ผิงไฟ เป็นต้น
จุดประสานประสาท (Synapse : ไซแน๊พส์)
จุดประสาทประสาท คือ รอยต่อระหว่างแขนงของเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ซึ่งอาจเป็นรอยต่อระหว่าง “แอ๊กซอน กับ เดนไดรท์” หรือ “แอ๊กซอน กับ ตัวเซลล์” หรือ “แอ๊กซอน กับ แอ๊กซอน” กระแสประสาทจะมีการส่งผ่านจากเซลล์ตัวหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทตัวอื่นๆ โดยผ่านทางไซแน๊พส์นี้ ตรงรอยต่อไซแน๊พส์จะมีช่องว่างเรียนกว่า “ไซแน๊พส์ติค เคลฟท์” (Synaptic cleft) ส่วนปลายของแขนงประสาทแอ๊คซอนที่ไปเชื่อมต่อกับเซลล์ประสาทตัวอื่นๆ จะมีลักษณะขยายออกเป็นปุ่ม เรียกว่า “ไซแน๊ฟติค น๊อบ” (Synaptic knobs) ภายในปุ่มมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 อย่าง คือ
- ไซแน๊พติค เวสซิเคิล (Synaptic vesicles)
- ไมโตครอนเดรีย (Mitochondia)
องค์ประกอบทั้ง 2 ส่วนนี้จะมีหน้าที่สำคัญในการสร้างสารเคมีเพื่อให้ระบบประสาทสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกสารนี้ว่า “นิวโรทรานสมิทเตอร์” (Neurotransmitter) นิวโรทรานสมิทเตอร์ จะหลั่งออกมาเมื่อมีกระแสประสาทเดินทางมาถึงตรงตำแหน่ง ไซแน๊พส์ติค น๊อบ สารเคมีที่ถูกหลั่งออกมาจากตำแหน่งนี้มีอยู่ 2 ประเภท คือ
- สารเคมีที่มีฤทธิ์กระตุ้น (Excitatory transmitter substance) ได้แก่สาร “อะเซทิลโคลิน” (Acetylcholine)
- สารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้ง (Inhibitory transmitter substance) สารที่มีความสำคัญคือ “แกมมา-อะมิโนบิวทัยริค” (Gamma aminobutyric acid: GABA)

ภาพแสดง การทำงานของกระแสประสาท
คำอธิบายการทำงานของกระแสประสาทสั่งการจาก CNS (จากภาพด้านบน)
หมายเลข 1 แสดงกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทตัวอื่นที่ส่งเข้ามาทางแขนงประสาท เดนไดรต์ และผ่านเข้าไปในตัวเซลล์
หมายเลข 2 กระแสประสาทที่ผ่านเข้าไปในตัวเซลล์ประสาท จะถูกส่งต่อออกมาทางแขนงประสาท แอ๊คซอน เพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทอื่น หรืออวัยวะอื่นๆ เพื่อให้อวัยวะนั้นทำงานตามคำสั่งของระบบประสาทส่งการ
หมายเลข 3 แสดงตำแหน่งของเยื่อไมอิลิน ซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้กระแสประสาทเดินทางได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
หมายเลข 4 จุดประสานประสาทระหว่าง “แขนงประสาทแอ๊คซอน กับอวัยวะเป้าหมาย” (ในที่นี้คือกล้ามเนื้อ)
4.1) ส่วนปลายที่เป็นกระเปาะ (Synaptic knob: SK ไนแน๊ปติค น๊อบ) ของแขนงประสาทแอ๊คซอน จะมีกระเปาะ (Synaptic vesicles: SV-ไซแนบติก เวสซิเคิล) สำหรับสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitter: NRT-นิวโรทรานสมิตเตอร์) ไปสู่กล้ามเนื้อหรืออวัยวะที่ CNS ควบคุมการทำงาน
4.2) เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนมาที่มาถึงบริเวณ SK จะทำให้มีการเปลี่ยนทางเคมีที่ SK กระเปาะสารสื่อประสาทจะเคลื่อนที่ไปตรงส่วนปลายของ SK จากนั้น SV จะแตกออกส่งให้ NRT เข้าสู่ช่องไซแนปส์ (Synaptic cleft: SC)
4.3 ตรงตำแหน่งหลังจุดประสานประสาท (Postsynaptic membrain: PM-โพสไซแนบติก แมมเบรน) หรือส่วนรับกระแสประสาท คือ อวัยวะที่รับกระแสประสาท ซึ่งจะมีตัวรับกระแสประสาทที่ส่งมา
เนื้อเยื่อประสาท (Nervose Tissue)
เนื้อเยื่อประสาทประกอบด้วยเซลล์ประสาท (Neuron) จำนวนมากมารวมกัน และเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะมีเซลล์ที่เรียกว่า “นิวโรเกลีย” (Neuroglia) หรือ “เซลล์ เกลีย” (Cell glia) หรือ “เกลีย“ (Glia) ซึ่งไม่ใช่เซลล์ประสาท แต่เป็นเซลล์ที่ครอบคลุมทุกเกือบทุกส่วนของเซลล์ประสาท “ยกเว้นตรงบริเวณไซแน๊พส์” เซลล์เกลียทำหน้าที่ค่อนข้างหลากหลายในระบบประสาท เช่น คอยเกือหนุนค้ำจุนเซลล์ประสาท เป็นแหลงอาหารให้กับเซลล์ประสาท รักษาสภาวะสมดุลในระบบประสาท (Hemostasis) สร้างเยื่อไมอิลินห่อหุ้มแอกซอน
เซลล์ค้ำจุนเซลล์ประสาท (Glial cell)

ภาพแสดง กลุ่มเซลล์ เกลีย หรือเซลล์ประสาทค้ำจุน
ชวานน์ เซลล์ (Schwann cell) ตั้งชื่อตามนักชีววิทยาชาวเยอรมัน ชื่อ เทโอดอร์ ชวานน์ เป็นเซลล์ค้ำจุนในระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervouse System: PNS) มีหน้าที่สร้างเยื่อไมอิลินเพื่อห่อหุ้มแอกซอนของใยประสาท
โอลิโกเดนโดรไซต์ (Oligodendrocyte) ทำหน้าที่สร้างเยื่อหุ้มไมอิลิน เพื่อห่อหุ่มแขนงแอกซอนของเซลล์ประสาท เช่นเดียวกับชวานน์ เซลล์ เพื่อช่วยปกป้องใยประสาท และเป็นฉนวนปกป้องการรั่วไหลของกระแสประสาท แต่จะพบเซลล์โอลิโกเดนโดรไซต์ เฉพาะในระบบประสาทส่วนกลางเท่านั้น และโอลิโกเดนโรไซต์ 1 เซลล์จะสามารถสร้างระยางค์ส่งออกไปห่อหุ้มแอกซอนของใยประสาทได้หลายแขนง ในขณะที่ ชวานน์ เซลล์ สามารถห่อหุ้มได้เพียงแขนงเดียว
แอสโตรไซต์ (Astrocyte) เป็นเซลล์ค้ำจุน หรือเซลล์เกลียชนิดหนึ่ง พบอยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง มีรูปร่างคล้ายดาว ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณและชนิดของสารต่างๆ ที่จะผ่านเข้าออกในเซลล์ประสาท เช่น การขนส่งกลูโคส จากระบบไหลเวียนโลหิตจะต้องผ่านมาที่แอสโทรไซต์ก่อน โดยกลูโคสที่ส่งเข้ามาจะถูกเปลี่ยนเป็น ไกลโคเจน (Glycogen) เก็บไว้ในเซลล์เพื่อคอยป้อนให้กับเซลล์ประสาทเพื่อสร้างพลังงาน
ไมโครเกลีย (Microglia) เป็นเซลล์ค้ำจุนที่พบในระบบประสาทส่วนกลาง โดยทำหน้าที่เหมือนระบบภูมิคุ้มกันในระบบประสาทส่วนกลาง
อีเพนไดมอล เซลล์ (Ependymal cell) เป็นเซลล์ค้ำจุนที่มีรูปร่างเป็นทรงลูกบาศก์ เรียงตัวกันเป็นแผ่นอยู่บนฐาน ส่วนยอดของเซลล์จะมีเสนเขนเล็กๆ ทำหน้าที่โบกพัดน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid: CSF) ทำให้เกิดการไหลเวียนของ CSF ซึ่งบรรจุอยู่ในโพรงของสมองและไขสันหลัง
เนื้อเยื่อเซลล์ประสาท (Neuro tissue)

เนื้อเยื่อประสาทแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- เกรย์ แมทเตอร์ (Gray matter) หรือ “เซลล์สมองสีเทา” เป็นเนื้อสมองที่อยู่ด้านนอกเนื้อสมองและส่วนแกนของไขสันหลัง ประกอบด้วยเซลล์ประสาท (Neuron) เดนไดรต์ แอกซอน เซลล์ค้ำจุนประสาท และกลอดเลือดฝอย ซึ่งจะมีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย การรับความรู้สึกชนิดต่างๆ (เช่น เจ็บ ร้อน เย็น) ความรู้สึกนึกคิด (เช่น เสียใจ ดีใจ เหงา หมดกำลังใจ) ความจำ การพูด การได้ยิน
- ไวท์ แมทเตอร์ (White matter) คือส่วนของเซลล์เนื้อเยื่อประสาทที่มีสีขาว เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านใน ซึ่งไม่มีเซลล์ประสาท แต่จะประกอบด้วยเซลล์ค้ำจุนระบบประสาทและแอกซอน ซึ่งมีปลอกไมอิลินหุ้ม ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณประสาทที่ออกจากเซลล์ประสาทในบริเวณเซลล์ประสาทสีเทา
ภาพแสดง เนื้อเยื่อเซลล์สมอง ภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/white-matter-and-grey-matter-brain-vs-spinal-cord–89157267601710964/
การจำแนกประเภทของระบบประสาท

ระบบประสาทแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ
1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS) ประกอบด้วยสมอง (Brain) และไขสันหลัง (Spiknal cord)
2. ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System: PNS) ประกอบด้วย
2.1 เส้นประสาทสมอง (Cranial nerve) มี 12 คู่
2.2 เส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal nerve) มี 31 คู่
2.3 ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System: ANS) ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
2.3.1 ระบบประสาทซิมพาเทติค (Sympathetic Nervous System)
2.3.2 ระบบประสาทพาราซิมพาเทติค (Parasympathetic Nervous System)
1. ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS)
ระบบประสาทส่วนกลางประกอบด้วย
- สมอง (Brain)
- ไขสันหลัง (Spinal cord)
1. สมอง (Brain)
สมอง หรือ เอ็นเซฟฟาลอน (Brain หรือ Encephalon) ถือว่าเป็นศูนย์กลางการทำงานของระบประสาท สมองบรรจุอยู่ในกะโหลกศีรษะ (Cranial cavity) มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ เช่น การร้องไห้ การดีใจ การยิ้ม ความรัก ความเมตตรา และการควบคุมให้ร่างกายทำงานอยู่ในภาวะที่สมดุล เช่น การหายใจในจำนวนที่ปกติ หัวใจเต้นในจำนวนครั้งที่ปกติ การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เหมาะสม ไม่เย็นหรือร้อยเกินไป โดยมีเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเรียกว่า “เมนนิงเจส” (Meninges) เยื่อหุ้มนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ชั้น คือ ดูรา มาเตอร์ (Dura mater) เป็นเยื่อหุ้มชั้นนอกสุด อะเรชนอยด์ มาเตอร์ (Arachnoid mater) เป็นเยื่อหุ้มชั้นกลาง เพีย มาเตอร์ (Pia mater) เป็นเยื่อหุ้มชั้นในสุด ติดอยู่กับเนื้อสมอง สมองมีโครงสร้างหลัก 3 ส่วนคือ
1.1 สมองส่วนหน้า (Forebrain หรือ Prosencephalon) ประกอบด้วย ซีรีบรัม (Cerebrum) ไดเอ็นเซ็ฟฟาลอน หรือ ทาลามัส (Diencephalon or Thalamus) ไฮโปธารามัส (Hypothamus)
1.2 สมองส่วนกลาง (Midbrain หรือ Mesencephalon)
1.3 สมองส่วนหลัง (Hindbrain หรือ Rhombencephalon) ประกอบด้วย ซีรีเบลลัม (Cerebellum หรือ Cerebral hemisphere) พอนส์ (Pons) เมดุลลา อ๊อบลองกาตา (Medulla oblongata)

ภาพแสดง ส่วนประกอบหลักของสมอง 3 ส่วน
1.1 สมองส่วนหน้า (Forebrain หรือ Prosencephalon)
สมองส่วนหน้าประกอบด้วย “ซีรีบรับ” (Cerebrum) ไดเอ็นเซ็ฟฟาลอน หรือ ทาลามัส (Diencephalon หรือ Thalamus) และ “ไฮโปรทารามัส) (Hypotharamus)
1.1.1 ซีรีบรัม (Cerebrum) เป็นสมองส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปกคลุมสมองส่วนอื่นๆ เกือบทั้งหมด เปลือกนอกของ ซีรีบรัม เรียกว่า “ซีรีบรัล คอเท็คซฺ (Cerebral cortex) มีลักษณะเป็นลอนๆ ส่วนที่นูนขั้นมาเรียกว่า “ไจรัส” (Girus) ส่วนที่เป็นรองตื้นๆ เรียกว่า “ซัลคัส” (Sulcus) แต่ถ้าเป็นร่องลึกๆ เรียกว่า “ฟิซเชอร์” (Fissure) จากลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้ผิวของสมองมีลักษณะเป็นคลื่น สามารถสรุปได้ว่า “คนที่มีคลื่นสมองมากแสดงว่า ซีรีบรัม มีพื้นผิวมาก นั่นคือมีเซลล์ประสาทมากด้วยเช่นกัน” ด้านในของ ซีรีบรัม จะมีเนื้อเยื่อประสาทสีขาว เรียกว่า “ไวท์ แมทเทอร์” (White matte) เป็นส่วนของใยประสาท (Nerve fiber) ส่วนด้านนอกเป็นเนื้อเยื่อประสาทสีเทา เรียกว่า “เกรย์ แมทเทอร์” (Gray matter)
ซีรีบรัมแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ “ซีกซ้ายและซีกขวา” เรียกว่า “ซีรีบรัล เฮมิสเหียร์” (Cerrebral hemisphere) ซีรีบรัม ทั้งสองซีกถูกเชื่อมเข้าด้วยกันโดยเส้นใยประสาทที่เรียกว่า คอร์พัส คัสโลซัม (Corpus callosum) สมองแต่ละซีกจะควบคุมการทำงานของร่างกายเพียงซีกเดียวและสลับข้างกัน คือ สมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกซ้าย และสมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา สมองแต่ละข้างจะแบ่งออกเป็นกลีบต่างๆ โดยร่องลึกของสมอง (Fissue) โดยมีทั้งหมดข้างละ 5 กลีบ (Lobe)

– กลีบฟรอนตัล (Frontal lobe) เป็นส่วนหน้าสุดอยู่บริเวณหน้าผาก ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของหล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของร่างกายซีกตรงกันข้าม เช่น การเดิน ยืน นั่ง วิ่ง การใช้มือและแขนทั้งสองข้าง บริเวณนี้มีชื่ออกชื่อว่า มอเตอร์ แอเรีย (Motor area) และรวมไปถึงการทำหน้าที่เกี่ยวกับการพูด ความนึกคิด และอารมณ์ต่างๆ
– กลีบพาไรตัล (Parietal lobe) อยู่บริเวณด้านหลัง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับความรู้สึกจากร่างกายด้านตรงข้าม และทำหน้าที่ผสมผสานการรับรู้ต่างๆ เช่น การเห็น การได้ยิน เป็นต้น
– กลีบเทมพอรัล (Temporal lobe) อยู่ทางด้านล่าง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินเสียง ความจำ การรับกลิ่น และการแสดงออกทางอารมณ์แบบต่างๆ
– กลีบอ๊อคซิพิตัล (Occipital lobe) เป็นกลีบหลังสุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น และการรับรู้เกี่ยวกับภาพ
– กลีบอินซูลา (Insular lobe) เป็นกลีบที่ซ่อนอยู่ภายในสมอง หน้าที่ยังไม่ค่อยชัดเจน แต่มีการคาดเดาว่าทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรับความรุ้สึกจากอวัยวะภายใน
ภาพแสดง กลีบสมองชนิดต่างๆ ภาพจาก https://courses.lumenlearning.com/waymaker-psychology/chapter/reading-parts-of-the-brain/

1.1.2 ไดเอ็นเซ็ฟฟาลอน หรือ ธารามัส (Diencephelon หรือ Thalamus) เป็นสมองส่วนที่ต่อลงมาจาก คอร์พัส คัลโบซัม ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรับความรู้สึกต่างๆ ของร่างกายไปที่ซีรีบรัล คอร์เท็คซ์ หรืออ่าจเรียกว่าเป็นจุดกระจายกระแสประสาทไปยังส่วนต่างๆ ของสมอง เพื่อกระตุ้นให้สมองส่งกระแสประสาทไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับตัวกระตุ้น นอกจากนั้นยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ความเจ็บปวด
1.1.3 ไฮโปรธารามัส (Hypothalamus) มาจากภาษากรีซ “ไฮโป : Hypo = ใต้” คือเป็นต่อมที่อยู่ใต้่ต่อมธารามัสนั้นเอง แต่อยู่เหนือก้านสมอง (Brain stem) ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่สำคัญเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ควบคุมการสร้างฮอร์โมนต่างๆ เช่น ฮอร์โมนที่กระตุันหรือยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจาก “ต่อมใต้สมอง” (Pituitary gland) การควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ควบคุมการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิของร่างกาย การควบคุมอารมณ์ชนิดต่างๆ ความหิว การตื่น การหลับ
ภาพแสดง ตำแหน่งของ ธารามัส และไฮโปธารามัส
1.2 สมองส่วนกลาง (Midbrain หรือ Messencephalon)
สมองส่วนกลางประกอบดวยก้อนที่มีลักษณะนูนๆ 2 คู่ 4 ก้อน อยู่ระหว่า “เวนทริเคิล ช่องที่ 3 และ 4 ของสมอง” (Third and Forth ventricle) หรืออยู่ด้านล่างสุดของ ซีรีบรัม (Cerebrum) และอยู่เหนือ พอนส์ (Pons) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการทำงานเกี่ยวกับ “รีเฟลคซ์” (Feflex) ของการรับภาพและการเคลื่อนไหลของดวงตา รีเฟลคซ์เกี่ยวกับการได้ยิน ตรงกลางของสมองส่วนนี้จะมีกลุ่มเซลล์ประสาทที่เรียกว่า “นิวเคลียสสีแดง” (Red nucleus) ซึ่งจะทำงานร่วมกันระหว่าง ซีรีเบลลัม (Cerebellum) กับศูนย์กลางของไขสันหลัง ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุม รีเฟลคซ์ ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวและท่าทางของร่างกาย ในคนที่กลุ่มประสาทนี้เสื่อมจะทำให้เกิดความผิดปกติที่เรียกว่า “โรคปาร์กินสัน” (Parkinsonism) ซึ่งจะมีอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ มีลักษณะการเดินแบบแข็งทื่อ การแสดงออกทางสีหน้าไม่เหมือนคนปกติ นิ้วมือจะสั่นอยู่ตลอดเวลาขณะที่อยู่นิ่งๆ
1.3 สมองส่วนหลัง (Hind brain or Rhombencephalon)
สมองส่วนหลังประกอบด้วย ซีรีเบลลัม พอนส์ และ เมดูล่า อ๊อบลองกาตา
1.3.1 ซีรีเบลลัม (Cerebellum) ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของ ซีรีบรัม แบ่งออกเป็น 2 ซีก แต่ละซีกเรียกว่า “ซีรีเบลลาร์ เฮมิสเฟียร์” (Cerebellar hemisphere) โดยจะเชื่อมต่อกันบริเวณตรงกลางของ ซีรเบลลัม เรียกว่า “เวอร์มิส (Vermis) ซีรีเบลลัม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีการทำงานประสานกันได้ดี ควบคุมท่าทางและการทรงตัวของร่างกาย ถ้าสมองส่วนนี้มีความผิดปกติจะทำให้เกิดอาการเดินเซ พูดไม่ชัด เวียนศีรษะ และมีอาการสั่นขณะหยิบจับสิ่งของ แต่ถ้าอยู่นิ่งๆ จะไม่มีอาการสั่น เรียกอาการนี้ว่า “แอคชั่น ทรีมอร์” (Action tremor)
1.3.2 พอนส์ (Pons) เป็นส่วนที่เชื่ออยู่ระหว่าง เมดูลล่า อ๊อบลองกาตา (Medulla oblongata) กับสมองส่วนกลาง มีหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสมองกับไขสันหลัง และระหว่างซีรีเบลลัมแต่ละข้างเข้าด้วยกัน และเป็นที่ตั้งต้นของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5-7
1.3.3 เมดุลลา อ๊อบลองกาตา (Medulla oblongata) เป็นส่วนล่างสุดของสมองที่ติดต่อกับไขสันหลัง ทำหน้าที่สำคัญๆ หลายอย่าง เช่น ควบคุมการหายใจ การเต้นของหัวใจ การบีบและขยายตัวของหลอดเลือด และยังควบคุมรีเฟลคซ์ต่างๆ เช่น การไอ การจาม อาเจียน เป็นต้น
** เมื่อรวม เมดุลลา อ๊อบลองกาตา พอนส์ และสมองส่วนกลางเข้าด้วยกันจะเรียกว่า “ก้านสมอง (Brain stem) **
2. ไขสันหลัง (Spinal cord)

ไขสันหลังมีลักษณเรียวยาว มีส่วนที่โป่งออก 2 ตำแหน่งคือ ส่วนคอ กับส่วนอก ส่วนปลายทอดยาวไปถึงก้นกบจะมีมีลักษณะเรียวแหลม จุดเริ่มต้นของไขสันหลังจะต่อจาก เมดุลลา อ๊อบลองกาตา เริ่มตั้งแต่ โพรราเมน เม็กนั่ม (Foramen magnum) ทอดตัวอยู่ภายในช่องของกระดูกสันหลัง (Vertegral canal) ไปสิ้นสุดที่กระดูกสันหลังส่วนเอวท่อนที่ 1 กับ 2 (Lumbar 1-2) โดยมีเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง (Meninges) หุ้มอยู่ เมื่อตัดไขสันหลังตามขวาง จะพบว่าไขสันหลังมี 2 ส่วนคือ ส่วนที่อยู่ภายนอกเป็นเนื้อเยื่อสีขาว (White matter) ซึ่งเป็นส่วนของใยประสาท กับส่วนที่อยู่ภายในเป็นเนื้อเยื่อสีเท่า (Gray matter) มีรูปร่างคล้ายตัว “H” ซึ่งเป็นส่วนของตัวเซลล์ประสาท
หน้าที่ของไขสันหลัง
1. ทำหน้าที่นำกระแสประสาทโดยการรับการรับความรู้สึกต่างๆ ของร่างกายไปยังสมอง เรียกกระแสประสาทชนิดนี้ว่า แอสเซนดิ้ง แทรคท์ (Ascending tract) และทำหน้าที่นำกระแสประสาทออกจากสมองไปยังกล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ เรียกว่า เดสเซนดิง แทรค์ (Descending tract)
2. เป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยาแบบ รีเฟลคซ์ ที่เกิดขึ้นในไขสันหลัง (Spinal reflex action) ทำงานเกี่ยวกับแขน ขา และลำตัว
โพร่งสมอง (Ventricles of brain) บริเวณตอนกลางของ ซีรีบรัล เฮมิสเฟียร์ (Cerebral hemisphere) แต่ละซีกจะมีช่องวางอยู่เรียกว่า “โพรงสมอง” หรือ “เวนทริเคิล ออฟ เบรน” ภายใน “โพรงสมอง” จะมีน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง เรียกว่า เซรีโบร สไปนัล ฟลูอิด (Cerebo-Spinal Fluid: CSF) บรรจุอยู่ทำหน้าที่ป้องกันการกระทบกระเทือนกับสมองและไขสันหลัง และยังทำหน้าที่เป็นแหล่งอาหารให้กับสมองและไขสันหลังอีกด้วย
2. ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System: PNS)
ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วย เส้นประสาทสมอง เส้นประสาทไขสันหลัง และระบบประสาทอัตโนมัติ
2.1 เส้นประสาทสมอง (Cranial nerve) เป็นเส้นประสาทที่แยกออกมาจากสมองส่วนต่างๆ จำแนกได้ 3 ชนิด
2.1.1 เส้นประสาทเซนซอรี (Sensory nerve) ทำหน้าที่รับความรู้สึก (S) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทั้งในร่างกาย และสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น ความรู้สึกเจ็บ ร้อน หนาว หิวข้าว หิวน้ำ เป็นต้น
2.1.2 เส้นประสาทมอเตอร์ (Motor nerve) ทำหน้าที่สั่งการ (M) ให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายแสดงการตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้น เช่น เหงื่อออกเมื่ออาการร้อน ขนลุกเมื่ออาการเย็น ดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย เป็นต้น
2.1.3 เส้นประสาทมิกซ์ (Mixed nerve) ทำหน้าที่ทั้งรับความรู้สึกและสั่งการ (S-M)

ภาพแสดง เส้นประสาทสมอง (Crenial nerve) จำนวน 12 คู่ ที่มาของภาพ https://www.verywellhealth.com/cranial-nerves-anatomy-4780532
เส้นประสาทสมอง มีทั้งหมดา 12 คู่ มีชื่อเรียกตามลักษณะตำแหน่งที่ตั้งและลักษณะการทำหน้าที่ คือ
คู่ที่ 1 เส้นประสาท โอลแฟคทอรี (Olfactory nerve: S) ทำหน้าที่รับกลิ่นจากโพรงจมูกไปที่สมอง (Olfactory แปลว่า การดมกลิ่น)
คู่ที่ 2 เส้นประสาท ออฟติค (Optic nerve: S) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นจากจอประสาทตา เรตินา (Retina_1) และส่งสัญญาณประสาทไปที่สมอง (Optic แปลว่า ตา)
คู่ที่ 3 เส้นประสาท โอคูโลมอเตอร์ (Oculomotor nerve : M) ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อลูกตา ทำให้สามารถกลอกตาไปมาได้ (Oculomotor แปลว่า กลอกตา)
คู่ที่ 4 เส้นประสาท ทรอเคลียร์ (Trochlear nerve: M) ทำหน้าที่กรอกตามลงข้างล่าง
คู่ที่ 5 เส้นประสาท ไตรเจมินัล (Trigeminal nerve: S-M) ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากบริเวณใบหน้า ฟัน ลิ้น เหงือก และปาก ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่แสดงความรู้สึกออกทางใบหน้า รวมถึงการเคี้ยวอาหาร และการกลืน (Tri แปลว่า 3, geminal แปลว่า แฝด หรือ คู่ คือเป็นเส้นประสาทหลัก มี 3 คู่)
คู่ที่ 6 เส้นประสาท แอบดิวเซ็นส์ (Abducens nerve: M) ทำหน้าที่กรอกตาไปทางด้านข้าง หรือการชำเลือง (Abducens หรือ Abduction หมายถึง การกางออกทางข้าง)
คู่ที่ 7 เส้นประสาท เฟเชียล (Facial nerve: S-M) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้า การแสดงสีหน้า การยิ้ม การร้องไห้ (Facial หมายถึง ใบหน้า)
คู่ที่ 8 เส้นประสาท ออดิทอรี (Auditory nerve: S) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว และการได้ยิน (Auditory แปลว่า การได้ยิน)
คู่ที่ 9 เส้นประสาท กลอสโซฟาริงเจียล (Glossopharyngeal nerve: S-M) ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากลิ้นและคอหอย และควบคุมการทำงานของคอหอย คือ เป็นทางผ่านของอากาศเข้าสู่หลอดลม และทางผ่านของอาหารสู่หลอดอาหาร ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกลืนด้วย (Glosso หมายถึงลิ้น, Pharyngeal หมายถึง คอหอย)
คู่ที่ 10 เส้นประสาท เวกัส (Vagus nerve: S-M) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ กล่องเสียง และเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติด้วย
คู่ที่ 11 เส้นประสาท แอคเซสซอรี (Accessory nerve: M) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อคอสำหรับการเอียงคอไปทางซ้าย-ขวา และการยกไหล่
คู่ที่ 12 เส้นประสาท ไฮโปกลอซซอล (Hypoglossal nerve: M) ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลิ้น ช่วยในการพูด เคี้ยว และกลืน

2.2 เส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal nerve) เป็นเส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลัง มีจำนวน 31 คู่ เรียกชื่อตามชื่อของกระดูกไขสันหลัง คือ
- เส้นประสาทไขสันหลังบริเวณคอ (Cervical spinal nerve) มีจำนวน 8 คู่ แทนสัญญาลักษณ์ด้วย C1 ถึง C8
- เส้นประสาทไขสันหลังบริเวณอก (Troacid spinal nerve) มีจำนวน 12 คู่ แทนสัญญาลักษณ์ด้วย T1 ถึง T12
- เส้นประสาทไขสันหลังบริเวณเอว (Lumbar spinal nerve) มีจำนวน 5 คู่ ใช้สัญญาลักษณ์ด้วย L1 ถึง L5
- เส้นประสาทไขสันหลังบริเวณกระเบนเหน็บ (Sacral spinal nerve) มีจำนวน 5 คู่ ใช้สัญญาลักษณ์ด้วย S1 ถึง S5
- เส้นประสาทไขสันหลังบริเวณก้นกบ (Coccygeal spinal merve) มีจำนวน 1 คู่ ใช้สัญญาลักษณ์ด้วย C1
ภาพแสดง เส้นประสาทไขสันหลังตำแหน่งต่างๆ ที่มาของภาพ https://totalcommunitycare.co.uk/spinal-nerves-what-they-are-and-what-they-do/

เส้นประสาทไขสันหลังแบบมิกซ์ (Mixed nerve: S-M) เป็นเส้นประสาทไขสันหลังที่ทำหน้าที่ทั้ง “รับข้อมูล และส่งคำสั่ง” (Sensory and Motor) แต่ละคู่มี 2 ปลายคือ
2.3.1 แอนทีเรีย รูท หรือ มอเตอร์ รูท หรือ เวนทรัล รูท (Anterior root or Motor root or Ventral root) จะนำกระแสประสาทจากไขสันหลังไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2.3.2 โพสเทีเรีย รูท หรือ เซนซอรี รูท หรือ ดอร์ซอล รูท (Posterior root or Sensory root or Dorsal root) จะนำกระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่ไขสันหลัง หรือ เมดุลลา ออบลองกาตา
คำอธิบายรูปภาพ : เส้นสีฟ้า คือ โพสเทีเรีย รูท หรือ เซนซอรี รูท หรือ ดอร์ซอล รูท เป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วส่งเป็นกระแสประสาทผ่านไปยังไขสันหลัง และสมอง (Central Nervous System: CNS) จากนั้นสมองจะวิเคราะห์ว่าสิ่งกระตุ้นนั้นคืออะไร แล้วจึงส่งกระแสประสาทสั่งการ (เส้นสีแดง) ไปยังอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น เมื่อมือเราสัมผัสกับความร้อน กล้ามเนื้อแขนจะมีการหดตัวเพื่อดึงมือออกจากความร้อนนั้น เป็นต้น หรือกรณีที่ตัวกระตุ้นเกิดจากภายในร่างกาย เช่น ถ้าร่างกายของเรามีอุณหภูมิภายในสูงผิดปกติ สมองจะส่งการให้หลอดเลือดส่วนปลายบริเวณผิวหนังขยายตัวออกเพื่อให้มีการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังมากขึ้น และช่วยระบายความร้อนออกสู่บรรยากาศรอบๆ ตัวเรา เป็นต้น
ภาพแสดง การทำงานของเส้นประสาทไขสันหลัง ภาพจาก https://www.quora.com/What-are-those-which-pass-through-the-dorsal-root-and-ventral-root-of-a-nerve-connected-with-the-spinal-cord-Are-those-two-action-or-one-action-and-one-dendron

เส้นประสาทไขสันหลังจะมีการรวมตัวกันเป็นลักษณะร่างแห เรียกว่า เพล็คซัส (Plexus) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 เซอร์วิคัล เพล็คซัส (Cervical plexus) เกิดจากกลุ่มประสาทไขสันหลังบริเวณคอ C1 ถึง C5 จะแตกแขนงไปที่บริเวณคอและหัวไหล่ ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อกะบังลมซึ่งเกี่ยวข้องกับการหายใจ
กลุ่มที่ 2 บราเคียล เพล็กคซัส (Brachial plexus) เป็นกลุ่มประสาทไขสันหลังบริเวณคอ C5 ถึง C8 และบริเวณอก T1 เส้นประสาทกระจายไปสู่แขนและมือ
กลุ่มที่ 3 ลัมบา เพล็คซัส (Lumbar plexus) เกิดจากกลุ่มประสาทไขสันหลังบริเวณอกคู่ที่ 12 (T12) และบริเวณเอวคู่ที่ 1-4 (L1 – L4) จะกระจายไปเลี้ยงส่วนล่างของหน้าท้อง ด้านหน้าและด้านในของต้นขา
กลุ่มที่ 4 ซาครัล เพล็คซัล (Sacral plexus) เกิดจากกลุ่มประสาทไขสันหลังบริเวณเอวคู่ที่ 4-5 (L4-L5) และกระเบนเหน็บคู่ที่ 1-5 (S1 – S5) จะกระจายไปเลี้ยงสะโพกและขา
ภาพแสดง ร่างแหเส้นประสาทไขสันหลังตำแหน่งต่างๆ ที่มาของภาพ https://encyclopedia.lubopitko-bg.com/The_Spinal_Cord.html
2.3 ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System: ANS) เป็นระบบประสาทที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ (Involuntary system) หมายความว่า สมองจะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาวะของร่างกาย เพื่อให้ทำหน้าที่ตามปกติ เช่น ควบคุมการเต้นของหัวใจ ควบคุมการย่อยอาหาร ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เป็นต้น เพื่อให้เราสามารถมีชีวิตได้ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ระบบประสาทอัตโนมัติแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ คือ
- ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System)
- ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System)
ทั้งสองระบบนี้จะทำงานในลักษณะตรงกันข้ามกัน แต่การทำงานจะประสานกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะระบบภายในร่างกายและสามารถดำรงคชีวิตอยู่ได้

ภาพแสดง การควบคุมอวัยวะต่างๆ ของระบบประสาทอัตโนมัติ (ซิมพาเทติก และพาราซิมพาเทติก)
1. ระบบประสาทซิมพาเทติก หรือ โธราโคลัมบาร์ เนิร์ฟเวิส ซีสเต็ม (Sympathetic or Thorocolumbar Nervous System) เป็นระบบประสาทที่ขยายออกมาจากไขสันหลังส่วนอก (Thoracic) และส่วนเอว (Lumbra) เราจึงเรียกได้อีกชื่อตามตำแหน่งของกระดูกสันหลังว่า โทราโคลัมบาร์ และจะมีปมประสาทที่เรียกว่า ซิมพาเทติก แกงเลีย (Sympathetic ganglia) อยู่ห่างจากอวัยวะที่จะไปควบคุมการทำงาน
ระบบประสาทซิมพาเทติกทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายมีความตื่นตัว เตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้อวัยวะบางอย่างทำงานมากขึ้น เช่น กรณีของเผชิญหน้ากับสุนัขที่ตัวใหญ่และดุ เราจะต้อง ในภาวะแบบนี้เราจะมีอารมณ์ตื่นเต้น กลัวอันตราย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น รูม่านตาขยาย ขนลุก กล้ามเนื้อทั่วร่างกายมีลักษณะเกร็งตัว ความดันโลหิตสูงขึ้น ทางเดินอาหารทำงานลดลง เหตุผลที่เกิดปฏิกิริยาในร่างกายของเราดังกล่าวก็เนื่องมาจากเป็นสัญชาตญาณของการดำรงชีวิตของเรานั้นเอง เราเรียกภาวะนี้ว่า “จะสู้ หรือจะหนี” (Fight or Flight) ซึ่งไม่ว่าจะสู้หรือจะหนี เราต้องใช้พลังงานของกล้ามเนื้อมาก หัวใจจึงต้องทำงานมากขึ้น ม่านตาขยายเพื่อการรับรู้ในเรื่องต่างๆ ที่อยู่แวดล้อมในสถานการณ์นั้น
2. ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก หรือ ครานิโอ – ซาครัล เนิร์ฟ (Parasympathetic or Cranio – Sacral Nerve) ระบบประสาทพาราซิมาเทติกเป็นระบบประสาทที่แยกมาจากสมอง และไขสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (Sacrum) จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ครานิโอ ซาครัล เนิร์ฟ จะอยู่ใกล้กับอวัยวะที่ควบคุมการทำงาน
ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำหน้าที่ช่วยให้ร่างกายสงบ อยู่ในสภาพพักผ่อน เช่น ระหว่างการนั่งพักผ่อน การนอนหลับ การนั่งสมาธิ ช่วงนี้จะมีการสร้างและสะสมพลังงาน เช่น หัวใจเต้นปกติ ความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ รูม่านตาปรับเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม เช่น ขยายเมื่อมีแสงน้อย หดตัวเมื่อมีแสงมาก ระบบทางเดินอาหารทำหน้าที่ในระดับปกติ มีการย่อยและดูดซึ่มอาหารตามปกติ เพื่อนำไปสู่การซ่อมแซมส่วนที่ซึกหรอ และเก็บสะสมพลังงานไว้สำหรับยามฉุกเฉิน
อวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ (Special senses)
การที่มนุษย์สามารถรับสัมผัสและความรู้สึกต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวได้นั้น เกิดขึ้นจากระบบรับความรู้สึก (Sensory system) โดยจะมีตัวรับความรู้สึก (Sensory receptor) ซึ่งอยู่ภายในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ทำหน้าที่รับการกระตุ้นและส่งต่อเป็นสัญญาณประสาท (Nerve impulse) ไปยังระบบประสาทส่วนกลาง จากนั้นสมองจะประมวลผลว่าสิ่งที่ส่งมานั้นคืออะไร จะทำให้เกิดการรับรู้ และตอบสมองอย่างเหมาะสมต่อไป เช่น คนที่เกลียดตุ๊กแก (คนเราไม่ได้เกลียดตุ๊กแกทุกคน) เมื่อมองเห็นตุ๊กแก สมองจะคิดถึงความน่าขยักแขยง (สมองทำหน้าที่กำหนดอารมณ์ ความรู้สึก) สมองก็จะส่งการให้คนนั้นเดินหนี หรือถอยออกไปห่างจากตุ๊กแก เป็นต้น
การจำแนกความรู้สึก
ระบบรับความรู้สึก (Sensory system) แบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ
1. ระบบรับความรู้สึกภายนอก แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
1.1 ระบบรับความรู้สึกทั่วไป เป็นระบบที่มี รีเซฟเตอร์ อยู่บริเวณผิวหนัง ทำหน้าที่รับรู้เกี่ยวกับการสัมผัส (Touch) ความเจ็บปวด (Pain) อุณหภูมิ ( Temperature) และแรงกด (Pressure)
1.2 ระบบรับความรู้สึกเฉพาะอย่าง เป็นระบบที่มี รีเซฟเตอร์ ที่ทำหน้าที่เฉพาะอย่าง เช่น การเห็น การได้ยิน การทรงตัว การได้กลิ่น และการรับรส
2. ระบบรับความรู้สึกภายใน เป็นระบบที่มี รีเซฟเตอร์อยู่ในอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกาย เช่น ความรู้สึกหิว กระหายน้ำ อยากอาหาร ความรู้สึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ที่เรียกว่า โปรพริโอเซฟเตอร์ (Proprioceptor)
กระบวนการรับความรู้สึก (The process of sensation)

ขั้นตอนแรกของการรับความรู้สึก เกิดเมื่อ “ตัวรับความรู้สึก” หรือ รีเซฟเตอร์ (Receptor) ถูกกระตุ้น โดยแขนงของเซลล์ประสาทนำเข้า “อัฟเฟอร์เรนท์ พาทธ์” (Afferent path) จากนั้นจะเปลี่ยนสัญญาณการกระตุ้นให้เป็น “ไฟฟ้าเคมี” เรียกว่า “กระแสประสาท” (Nerve impulse) แล้วส่งสัญญาณประสาทนี้ไปออกไปทาง “แขนงประสาทนำออก” หรือ “เอฟเฟอร์เรนท์ พาทธ์” (Efferrent path) ไปยังเซลล์ประสาทตัวอื่นๆ เข้าสู่สมอง จากนั้นสมองจะประมวลผลความรู้สึกที่ได้รับ แล้วเกิดเป็นการตอบสนองเป็นพฤติกรรมที่เหมาสะสมต่อไป
รีเซฟเตอร์ จะมีความเฉพาะต่อการกระตุ้นแต่ละชนิด เราจึงเรียกรีเซฟเตอร์เหล่านี้ว่า “อวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ” ซึ่งจะมีการรับรู้อยู่หลายชนิด เช่น แสง ความร้อน เสียง แรงกดระดับต่างๆ สารเคมี เราสามารสรุปขั้นตอนต่างๆ ของการรับความรู้สึกได้ดังนี้
- การกระตุ้นจากสิ่งเร้า (Stumulus)
- เกิดการเปลี่ยนแปลงแรงกระต้น เป็นไฟฟ้าเคมี
- เกิดการสร้างกระแสประสาท
- สัญญาณกระแสประสาทถ่ายทอดสู่ระบบประสาทส่วนกลาง
- ระบบประสาทส่วนกลางแปลผลการกระตุ้น
- ระบบประสาทส่วนกลางส่งกระแสประสาทสั่งการ ให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อไป
**อธิบายภาพ: ไฟฟ้าที่วิ่งเข้าสู่สมอง คือ ไฟฟ้าที่ถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า ส่วนไฟฟ้าที่วิ่งออกจากสมอง คือ “ไฟฟ้าสั่งการ”
จมูกและการรับกลิ่น (Olfactory Sense)
อวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับกกลิ่นคือ จมูก (Nose) บริเวณที่ทำหน้าที่นี้อยู่ที่ผิวโพรงจมูกส่วนบน ค่อนไปทางด้านหลัง (Sperior nasal concha) เรียกว่า “พื้นที่รับกลิ่น” (Olfactory region) โดยจะมีเยื่อบุผิวโพรงจูกเป็นแผ่นเล็กๆ เรียกว่า “เยื่อบุผิวรับกลิ่น” (Olfactory epithelium) ประกอบด้วยเซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory cells) ฝังตัวอยู่ในบริเวณนี้
Olfactory cells ประกอบด้วย ไบโพลา นิวรอนส์ (Bipolar neurons) และ เซลล์พยุง (Sustentacular cells) ทำหน้าที่ค้ำจุนเซลล์ประสาทรับกลิ่น นอกจานนั้นยังมีต่อมที่ผลิตน้ำหล่อหรือเมือกให้เยื่อบุผิวชุ่มชื้น และทำให้สารที่มีกลิ่นละลายลงไปสัมผัสกับเซลล์รับกลิ่นได้ เซลล์รับกลิ่นมีปลายแขนง (Peripheral processes) มาสิ้นสุดที่เยือบุโพรงจมูกเพื่อทำหน้าที่รับกลิ่น ส่วนกลางของแขนง (Central processes) จะรวมกันเป็นเส้นประสาทรับกลิ่น (Olfactory nerve หรือ 1st cranial nerve) โดย Olfactory nerve จะเข้าสู่ Anterior fossa ของโพรงกระโหลกศีรษะ โดยผ่านทาง Olfactory tract ซึ่งจะมีขนาดเรียวเล็กลงเป็นแถบยาวเข้าสู่สมองส่วนที่เป็นศูนย์ควบคุมการรับรู้กลิ่นที่อยู่บริเวณสมองส่วนหน้าของขมับ (Temporal lobe)
ส่วนที่ทำหน้าที่รับกลิ่น คือ Uncus และ amygdala ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ กลีบสมองขมับ (Temporal lobe) บริเวณของสมองที่รับกลิ่นจะอยู่รอบๆ ฐานของ เส้นประสาทรับกลิ่น (Olfactory tract) นั่นเอง จากบริเวณที่รับกลิ่นนี้จะมีวิถีเส้นประสาทไปยังสมองส่วนอื่นๆ เพื่อแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อกลิ่นที่ได้รับนั้นต่อไป
ลักษณะของสารที่มากระตุ้นต่อการรับกลิ่น ต้องเป็นสารที่ระเหยได้หรือละลายน้ำได้เท่านั้นจึงจะสามารถกระตุ้นเซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory receptors) ของการรับกลิ่นได้ เพื่อที่จะสูดเข้าไปสู่โพรงจมูก เซลล์ประสาทรับกลิ่นจะมีหลายชนิด แต่ละชนิดจะรับกลิ่นต่างๆ กันไป และเซลล์รับกลิ่นแต่ละชนิดจะมีความสามารถรับกลิ่นแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น กลิ่นของแอมโนเนีย ซึ่งเป็นสารระคายเคืองชนิดหนึ่ง เมื่อสูดไอละเหยของแอมโมเนียเข้าไปในโพรงจมูกจะทำให้เกิดอาการเจ็บแสบโพรงจมูกได้ จากการกระตุ้นปลายประสาทเส้นที่ 5 พร้อมกับกระตุ้นเซลล์รับกลิ่น (Olfactoy cells) ทำให้เกิดการรับรู้กลิ่นไปในเวลาเดียวกัน

ภาพแสดง กลไกการรับรู้กลิ่นของมนุษย์ ปรับปรุงภาพจากเว็บไซต์ https://superbloov.life/product_details/56710418.html
เซลล์ประสาทรับกลิ่น (Olfactory receptor cells) ในโพรงจมูกจะรับรู้เกี่ยวกับสารเคมีโดยฝังตัวอยู่ที่เยื่อบุผิวภายในโพรงจมูก (Olfactory epithelium) โดยจะประกอบด้วยเซลล์ 3 ชนิด คือ
- เซลล์รับกลิ่น (Olfactory rreceptor cells) ซึ่งเป็นเซลล์ประสาท 2 ขั้ว (bipolar neurons)
- เซลล์พยุง หรือเซลล์ค้ำจุน (Sustentacular cells or Supporting cells) ทำหน้าที่สร้างเมือกร่วมกับต่อมภายในโพรงจมูก (Olfactory gland) เพื่อทำให้เกิดความชุ่มชื้น และช่วยทำละลายไอละเหยของกลิ่น และยังช่วยพยุงหรือค้ำจุนโครงสร้างของระบบประสาทรับกลิ่นให้คงรูปไว้ได้
- เซลล์ชั้นฐาน (Basal cells) เป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวแล้วพัฒนาให้กลายเป็นเซลล์พยุง และเซลล์ประสาทรับกลิ่น เพื่อทดแทนเซลล์เดิมที่ตายไป
บริเวณส่วนปลายของเซลล์รับกลิ่นจะมีขนยื่นเข้าไปในชั้นเยื่อเมือกที่เคลือบอยู่ในช่องจมูก และมี แอกซอน ของเซลล์รับกลิ่นผ่านไปยัง เนื้อเยื่อชั้น เบซัล ลามินา (Basal lamina) และรวมกลุ่มกันเป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 (Olfactory nerve) ทอดผ่านไปยัง “ปล่องรับกลิ่น” (Olfactory bulb) และ “เส้นประสาทรับกลิ่น” (Olfacttory tract) เข้าสู่ “เปลือกสมองรับรู้กลิ่น” (Olfactory cortex) ตรง “กลีบสมองขมับ” (Temporal lobe)
ลิ้นและการรับรส (Taste or Gustatory sense)

ลิ้น (Tongue) เป็นมัดของกล้ามเนื้อ มีรูปร่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามนรี มีความยามประมาณ 10 เซนติเมตร ปกคลุมด้วยชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) หนาแน่น มีเยื่อเมือกสีชมพูที่เรียกว่า “มิวโคซา” (Mucosa) ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นบนผิวของลิ้น เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการรับรส และช่วยในการคุกเคล้าอาหารขณะเคี้ยวภายในช่องปาก และช่วยในการกลืน บริเวณพื้นผิวของลิ้นปกคลุมด้วย “ปุ่มรับรส” (Taste bud) ลิ้นสามารถเคลื่อนที่ได้หลายทิศทาง จึงสามารถช่วยในการออกเสียงได้ มีเส้นประสาทและหลอดเลือดจำนวนมากมาหล่อเลี้ยง โครงสร้างของลิ้นสามารถจำแนกออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ปลายและด้านข้างลิ้น เป็นส่วนของกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวได้ดี
- ด้านหลังของลิ้น พื้นผิวของส่วนนี้จะประกอบด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมาก ทำหน้าที่รับสัมผัสและรับรู้รสชาติอาหารชนิดต่างๆ
- ฐานหรือโคนลิ้น เป็นส่วนของกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถเคลื่อนไฟวได้อย่างอิสระ เป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับฐานของช่องปาก มีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่างๆ ทำหน้าที่ยึดลิ้นเข้ากับกระดูก “ไฮออยด์” (Hyoid bone) ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
พาพิลลา (Papillae) และ ตุ่มรับรส (Taste bud) บริเวณผิวของลิ้นที่มีลักษณะขรุขระนั้นเกิดจากปุ่มขนาดเล็กจำนวนมากที่เรียกว่า “พาพิลลา” กระจายอยู่ทั่วทั้งลิ้น ปุ่มขนาดเล็กเหล่านี้จะทำหน้าที่เพิ่มพื้นผิวของลิ้นให้มากขึ้น เพื่อให้มีความสามารถในการรับความรู้สึกเกี่ยวกับรสชาติของอาหารต่างๆ ผ่าน “ตุ่มรับรส” (Taste buds) ขนาดเล็ก 4 ชนิด โดยตุ่มรับรสแต่ละชนิดจะทำหน้าที่รับรสที่แตกต่างกันออกไป คือ รสหวาน รสขม รสเค็ม และรสเปรี้ยว ตุ่มรับรสจะมีลักษณะ
- ปุ่มรูปเห็ด (Fungiform papillae) จะพบอยู่ที่บริเวณด้านข้างและปลายลิ้น จะมีตุ่มรับรส (Taste bud) อยู่ที่บริเวณยอดของตุ่มรับรส สามารถแยกรสชาติหลักๆ ได้ 5 อย่าง คือ หวาน เปรี้ยว ขม เค็ม และ อูมามิ (Umami)
- ปุ่มรูปด้าย (Filiform papillae) เป็นปุ่มลิ้นเล็กๆ ละเอียดๆ เป็นรูปทรงกรวย หรือทรางกระบอก เป็นปุ่มลิ้นที่พบมากที่สุด พบบริเวณค่อนมาทางด้านหน้าของลิ้น ปุ่มนี้จะทำให้รู้สึกถึงการสัมผัสกับเนื้ออาหาร แต่จะไม่มีส่วนในการรู้รสชาติอาหาร เนื่องจากไม่มีตุ่มรับรส (Taste bud)
- ปุ่มรูปใบไม้ (Foliate papillae) มีลักษณะเป็นรอยพับสั้นๆ 4-5 รอย สีแดง อ่อนนุ่ม มีตุ่มรับรสจำนวนมาก
- ปุ่มเซอร์คัมแวลเลต หรือ ปุ่มล้อมด้วยกำแพง (Circumvallate papillae or Vallate papillae) เป็นปุ่มขนาดใหญ่เป็นรูปโดม อยู่ด้านหลังของลิ้น เรียงตัวเป็นแถวรูปตัว “V” รอบๆ ของปุ่มจะเป็นร่อง โดยมีเนื้อเยื่อล้อมรอบๆ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ

ภาพแสดง ตุ่มรับรสชนิดต่างๆ และโครงสร้างของปุ่มรับรส
กระบวนการรับรู้รสชาติ (Taste process)

ความร้สึกรับรสจะถูกส่งผ่านเส้นประสาทสมอง 3 เส้น คือ เส้นประสาทใบหน้า คู่ที่ 7 (Facial nerve VII) เส้นประสาทเส้นนี้จะถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับรสชาติ ปริมาณ 2/3 ของลิ้น และ “เส้นประสาทลิ้น-คอหอย คู่ที่ 9” (Glossopharyngeal nerve IV : กลอสโซฟาริงเจียล เนิร์ฟ) ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับการรับรสชาติ ปริมาณ 1/3 ส่วนหลังของลิ้น นอกจากนี้เส้นประสาทคู่ที่ 10 “เวกัส เนิร์ฟ” (Vagus nerve X) ยังนำความรู้สึกบางอย่างมาจากโคนลิ้นอีกด้วย แอกซอน จากเส้นประสาททั้งสามเส้นนี้จะไปเชื่อมกันที่ส่วนรับรสที่บริเวณ “นิวเคลียสก้านสมอง” (Nucleus of tractus solitarius) แล้วเชื่อมต่อไปยัง “ธารามัส” (Thalamus) และไปต่อถึง “เปลือกสมองวิเคราะห์รสชาติ” (Taste area of cortex) ในสมอง
การรับรู้รสชาติของลิ้นจะมีความแตกต่างกันไปทั้งหมด 5 ชนิด
- รสหวาน จะมีตุ่มรับรสส่วนใหญ่อยู่ตรงส่วนปลายลิ้น
- รสเปี้ยว จะมีตุ่มรับรสอยู่ที่ด้านข้างของลิ้นทั้งสองข้าง
- รสเค็ม จะมีตุ่มรับรสอยู่ที่่ขอบปลายลิ้น
- รสขม จะมีตุ่มรับรสอยู่ที่โคนลิ้น
- รสอูมามิ หรือรสกลมกล่อม จะกระจายอยู่ทั่วๆ ไปของลิ้น
ภาพแสดง การเดินทางของเส้นประสาทรับรส และตำแหน่งของสมองวิเคาระห์รสชาติ ภาพจาก https://www.brainkart.com/article/Taste_21837/

ภาพแสดง ตำแหน่งต่างๆ ของการรับรสชาติ 5 แบบ
ตาและการมองเห็นภาพ (Visual sensation or Vision)
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นคือ ตา (Eye) ซึ่งมีลักษณะกลม ประกอบด้วยลูกตา (Eyeball) บรรยจุอยู่ภายในเบ้าตา (Eye socket) มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันยึดไว้อย่างหลวมๆ ประสาทตา (Optic nerve) เป็นประสาทของการมองเห็นซึ่งศูนย์การแปลผลการมองเห็นอยู่ในสมอง อวัยวะที่ช่วยอปกป้องดวงตาและการเคลื่อนไหวของดวงตา ได้แก่ หนังตา ขนตา เยื่อบุตา และกล้ามเนื้อของลูกตา

ภาพแสดง องค์ประกอบของดวงตา ภาพปรับปรุงจากเว็บไซต์ https://seewinthrop.com/pages_tech/eye_function.html
โครงสร้างของดวงตา (Eys structure)
- กล้ามเนื้อยึดเลนซ์ตา (Ciliary body) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ในลูกตา ทำหน้าที่สำคัญคือ บังคับให้เลนซ์แก้วตา (Crystalline lens) หดหรือยืดตัวเพื่อปรับการมองเห็นภาพใกล้หรือไกลให้มีความชัดเจน หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ “สร้างสารน้ำในลูกตา” (Aqueous humour) ซึ่งเป็นสารน้ำที่มีลักษณะเหลวใส และอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเผาผลาญเพื่อให้ได้พลังงานสำหรับการทำงานของอวัยวะภายในดวงตา
- ม่านตา (Iris) ทำหน้าที่เหมือนม่านซัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูป คอยควบคุมปริมาณแสงที่เข้าสู่จอประสาทตาให้มีความพอเหมาะสำหรับการมองเห็น คือถ้าแสงน้อย ม่านตาจะขยายกว้างออกเพื่อรัแสงเพิ่มขึ้น แต่หากแสงมาก ม่านตาจะหดตัวเพื่อให้รูม่านตามีขนาดเล็กลง ลดปริมาณของแสงที่จะเข้าสู่จอประสาทตา การทำงานในลักษณะที่กล่าวมาต้องอาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อสำคัญ 2 ตัว คือ กล้ามเนื้อ “ไอริดิส สฟิงค์เตอร์” (Sphincter iridis) ทำหน้าที่หดรูม่านตา และ “ไดเลเตอร์ พูพิลลา” (Dilator pupillae) ทำหน้าที่ขยายรูม่านตา กล้ามเนื้อทั้งสองชนิดนี้ทำงานภายใต้การควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ
- ช่องด้านหน้าลูกตา (Anterior chamber) เป็นช่องระหว่างกระจกตากับม่านตา ภายในช่องนี้จะมีน้ำเลี้ยงตา (Aqueous humour) ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร ยา และออกซิเจน แก่แก้วตาและกระจกตา มีส่วนประกอบ้วย น้ำ โปรตึน กรดอะมิโน น้ำตาล และสารภูมิคุ้มกันให้กับดวงตา และยังช่วยให้ดวงตามสามารคงรูปร่างอยู่ได้
- รูม่านตา (Pupil) เป็นช่องที่อยู่ตรงกลางของม่านตา (Iris) มีหน้าที่ในการควบคุมปริมาณแสงให้เข้าสู่จอประสาทตาอย่างพอเหมาะ ขนาดรูของม่านตาปกติจะมีขนาด 3-5 มิลลิเมตร ทั้งสองข้างจะมีขนาดที่เท่ากัน เมื่อเราส่องไฟเข้าไปที่ตาข้างหนึ่งรูม่านตาจะหดตัวพร้อมกันทั้งสองข้าง เราสามารถนำลักษณะดังกล่าวไปตรวจสอบการทำงานของระบบประสาท
- กระจกตา (Cornea) มีลักษณะโปร่งใส อยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา กระจกตามทำหน้าที่หักเหแสงร่วมกับเลนซ์ตา ทำให้สามารถโฟกัสภาพได้ชัดเจนขึ้น กระจกตาจะมีเส้นใยประสาทแบบไม่มีเยื่อ ไมอิลิน ด้วยกระจกตาต้องการความใส จึงไม่มีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยง แต่จะได้รับสารอาหารผ่านทางการแพร่จากน้ำหล่อตา
- กล้ามเนื้อเบ้าตา (Rectus medialis) เป็นกล้ามเนื้อสำหรับเคลื่อนตาหรือกรอกตาไปมาได้
- หลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง (Vein and artery) หลอดเลือดแดงมีหน้าที่นำสารอาหารมาหล่อเลี้ยงโครงสร้างของดวงตา ส่วนหลอดเลือดดำจะมีหน้าที่นำของเสียงที่เกิดจากการผลิตพลังงานของเซลล์ต่างๆ ในดวงตา เพื่อไปกำจัดทิ้งออกจากร่างกาย
- เส้นประสาทตา (Optic nerve) เป็นเส้นประสาทคู่ที่ 2 ทำหน้าที่หลักคือ การนำสัญญาณภาพจากจอประสาทตาผ่านไปยังสมอง เพื่อแปลผลในสิ่งที่เรามองเห็น และยังมีหน้าที่รับความรู้สึกที่ดวงตา รวมถึงการเคลื่อนไหวลูกตา
- วุ้นลูกตา (Vitreous humour) เป็นสารน้ำที่มีลัษณะคล้ายวุ้น อยู่ด้านหลังแก้วตา มีหน้าที่ช่วยให้ดวงตาสามารถคงรูปอยู่ได้ และมีส่วนช่วยในการหักเหของแสงเข้าสู่จอตา วุ้นตาจะค่อยๆ เสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น พบว่าหลังอายุ 80 ปี ร้อยละ 50 พบว่าวุ้นตาจะเป็นเป็นน้ำใสๆ ส่งผลให้เกิดภาวะจอตาหลุดลอกได้
- จุดศูนย์กลางจอประสาทตา (Macular) หรือ “จุดภาพชัด” เป็นจุดรับภาพที่มีความคมชัด และส่งภาพผ่านไปยังสมอง ทำให้เกิดการมองเห็นได้
- จอประสาทตา (Retina) เป็นส่วนที่อยู่บริเวณผนังด้านในสุดของดวงตา ประกอบด้วยเซลล์รับภาพจำนวนมาก มีลัษณะเป็นชั้นบางๆ ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแสงที่มองเห็นให้กลายเป็นสัญญาณประสาทเพื่อส่งไปยังสมอง ช่วยให้มีการมองเห็นที่ชัดเจน หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับจอประสาทตาจะทำให้การมองเป็นไม่ชัดเจน
- ตาขาว (Sclera) คือพื้นที่สีขาวรอบตาดำ ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่ภายในดวงตา ตาขาวครอบคลุมดวงตาเป็นพื้นที่ 5 ใน 6 ส่วน ของดวงตา เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ช่วยคงรูปร่างของดวงตาไว้
อวัยวะที่ช่วยป้องกันลูกตา

ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญ และอาจได้รับอันตรายได้ง่าย จึงจำเป็นต้องมีกลไกในการ้องกันอันตราย โดยมี “หนังตา” (Eyelids) คอยปิดหรือเปิด เรียกว่า “กระพริบตา” ซึ่งเป็นการกระทำโดยปฏิกิริยาที่เรียกว่า “รีเฟล็กซ์” (Reflex) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับดวงตา เช่น แสงสว่างจ้า หรือมีวัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้กับดวงตา การกระพริบตายังเกิดขึ้นได้เองตลอดเวลา เพื่อเป็นการทำความสะอาดด้านหน้าของดวงตา โดยมีน้ำตาจาก “ต่อมน้ำตา” (Lacrimal gland) มาช่วยชะล้างความสะอาดของดวงตา ช่วยป้องกันดวงตาแห้ง และน้ำตายังมีสาร “ไลโสโซม” (Lysozyme) ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียนได้อีกด้วย “คิ้ว” จะเป็นส่วนที่ป้องกันเหงื่อไหลเข้าตาซึ่งจะทำให้เกิดอาการแสบตาได้ “ขนตา” จะทำหน้าที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตา เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาใกล้ขนตา จะเกิด “รีเฟล็คซ์” ที่เรียกว่า “กระพริบตา” ทันที
อวัยวะที่ช่วยการเคลื่อนไหวของลูกตา
ลูกตามีกล้ามเนื้อ เพื่อทำให้ลูกตาสามารถเคลื่อนไหวได้รอบทิศทาง โดยมีกล้ามเนื้ออยู่ข้างละ 6 มัด แต่ละมัดจะทำหน้าที่ดึงลูกตาให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ กล้ามเนื้อทั้ง 6 มัดนี้จะต้องทำงานประสานกันเป็นอย่างดี ลูกตาจึงจะสามารถเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างเหมาะสม กล้ามเนื้อทั้ง 6 มัด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่เคลื่อนลูกตาตามแนวตรง และอีกพวกหนึ่งเคลื่อนลูกตาตามแนวทะแยงมุม ซึ่งประกอบด้วย
- ซุปพีเรีย เรคตัส (Superior rectus) กลอกตามองขึ้นบน และมองไปทางหัวตา
- แอนทีเรีย เรคตัส (Anterior rectus) กลอกตามองไปทางหัวตา
- โพสทีเรีย เรคตัส (Posterior rectus) กลอกตามองไปทางหางตา
- อินฟีเรีย เรคตัส (Inferior rectus) กลอกตามองลงล่าง
- ซุปพีเรีย ออฟหลีก (Superior oblique) กลอกตามองลงล่างและมองไปทางหางตา
- อินฟีเรีย ออฟหลีก (Inferior oblique) กลอกตามองขึ้นด้านบน และมองไปทางหางตา

ภาพแสดง กล้ามเนื้อที่ช่วยในการเคลื่อนไหวลูกตาไปในทิศทางต่างๆ ทึ่มาของภาพ https://www.labmedico.com/?m=eye-and-extraocular-muscles-illustrations-image-gg-X7zb6ETr
อวัยวะที่ช่วยในการหักเหของแสง
การหักเหของแสง (Refraction) เกิดจากการที่แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน เป็นผลทำให้ทิศทงของแสงเปลี่ยนแปลงไป ในดวงตาของมนุษย์เราก็เช่นเดียวกัน ซึ่งมีกลไกการหักเหของแสงเพี่อช่วยให้เราสามารถมองภาพต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งประกอบด้วย
- สารน้ำในลูกตา (Aqueous humour/humor) มีลักษณะเป็นน้ำใสๆ บรรจุอยู่ใน “ช่องตาหน้า” (Anterior chamber) หรือเป็นช่องที่อย่ระหว่าง “กระจกตา” (Cornea) กับ “เลนส์” (Lens) ช่องนี้ถูกแบ่งโดย “ม่านตา” (Iris) เป็น “ช่องตาหน้า และช่องตาหลัง” (Anterior and Posterior chamber)
- เลนส์ และแก้วตา (Lens and Cornea) เลนส์ มีลักษณะเป็นก้อนใส ผนังโค้งนูนทั้งสองด้าน อยู่ด้านหลังของรูม่านตา (Pupil) ช่วยให้แสงหักเหและรวมเป็นจุดเดียวกันทำให้เห็นภาพชัดบน “จอประสาทตา” (Retina)
- น้ำวุ้นตา (Vitreous body) เป็นน้ำเมือกใสคล้ายไข่ขาว อยู่ภายในช่องส่วนหลังของลูกตา ด้านหลังเลนส์ มีหน้าที่ช่วยทำให้ลูกตาเป็นรูปทรากลมอยู่ได้
กระบวนการมองเห็น

ภาพแสดง ขั้นตอนการมองเห็นภาพ
การมองเห็นภาพ มีกระบวนการดังต่อไปนี้
- แสงผ่านเข้าสู่ลูกตา ตามลำดับคือ
- ผ่านกระจกตา (Cornea)
- เข้าสู่ วุ้นตาห้องหน้า (Aqueous humo)
- ผ่าน รูม่านตา (Pupil)
- ผ่าน วุ้นตาห้องหลัง (Vitreous body)
- แสงตกตรง โฟเวีย (Fovea) ซึ่งอยู่บนเรตินา มีเซลล์ประสาทรับแสดงอยู่เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะบริเวณส่วนกลางของจอตา ที่เรียนกว่า “มาคูลา” (Macula) จึงเป็นจุดที่เห็นภาพชัดที่สุด ที่ผนังของเรตินาจะมี “เซลล์รับแสง” (Photoreceptoe) ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ
- เซลล์รูปกรวย (Cone cell) ตาแต่ละข้างจะมีเซลล์รูปกรวยอยู่ประมาณ 6-7 ล้านเซลล์ สามารถทำงานได้ดีในที่สว่าง เนื่องจากมีความไวต่อแสงน้อยกว่าเซลล์รูปแท่ง เซลล์รูปกรวยสามารถรับรู้รายละเอียดในการเห็นภาพได้ดี และรับรู้การเปลี่ยนแปลของภาพได้เร็วกว่าเซลล์รูปแท่ง และทำให้เรามองเห็นสี หากมีวามผิดปกติตรง มาคูลา จะทำให้เกิดอาการตามั่ว และเห็นสีผิดปกติ เรียกว่า “ตาบอดสี” เซลล์รูปกรวยในจอตาของคนเรามีอยู่ 3 ชนิด 1) เซลล์รูปกรวยสีแดง มีอยู่ในตาข้างละ 3 ล้านเซลล์ ดูดคลื่นแสงในช่วง 400-700 นานอมิเตอร์ แต่ที่คลื่น 570 นานอมิเตอร์ 2) เซลล์รูปกรวยสีเขียว มีอยู่ในตาข้างละ 3 ล้านเซลล์ ดูดคลื่นแสงในช่วง 400-650 นานอมิเตอร์ แต่ที่ดูดซับได้ดีที่สุดคือคลื่นแสงช่าง 540 นานอมิเตอร์ ซึ่งอยู่ในช่วงใกล้เคียงกับสีแดง 3) เซลล์รูปกรวยสีน้ำเงิน มี 1 ล้านเซลล์ของตาแต่ละข้าง ดูดซับคลื่นแสงในช่วง 380-500 นานอมิเตอร์ แต่สามารถดูซับได้ดีที่สุดคือช่วง 400 นานอมิเตอร์ โดยสรุป คลื่นแสงสีต่างๆ ที่มากระทบกับจอตาส่วนกลาง (Macula) เซลล์รูปกรวย (Cone cell) จะทำงานให้เราเห็นภาพชัดและมีสีต่างๆ ตามขนาดความยาวคลื่น และชนิดของเซลล์รูปกรวยที่ถูกกระทบ
- เซลล์รูปแท่ง (Rod cell) มีอยู่ประสาท 125 ล้านเซลล์ ในตาแต่ละข้าง เซลล์รูปแท่งจะกระจายอยู่บริเวณขอบของจอตา ทำหน้าที่ในการมองเห็นภาพในที่สลัวหรือที่มืด โดยภาพที่เห็นจะเป็นภาพขาวดำตามระดับความสว่าง คนที่มีการสูญเสียของเซลล์รูปแท่ง หรือในผู้ที่ขาดวิตามินเอ จะทำให้เกิดภาวะ “ตาฟางตอนกลางคืน” (Night blindness)
- ตรงเซลล์รับแสดงนี้จะมีการปรับเปลี่ยนให้คลื่นแสงกลายเป็นไฟฟาเคมี
- เซลล์ประสาท 2 ขั่ว จะรับกระแสประสาทจากเซลล์รับแสง แล้วส่งต่อไปยังเซลล์แกงเกลียน จากนั้นจะส่งต่อไปยัง เส้นประสาทตา
- เส้นประสาทตา (Optic nerve) จะส่งกระแสประสาทไปยังศูนย์ควบคุมการมองเห็น
- ศูนย์ควบคุมการมองเห็น (Visual center) จะตั้งอยู่ที่ “สมองกลีบท้ายทอย” (Occipital lobe) จะทำการแปลผลว่าภาพที่ได้รับนั้นคืออะไร จากนั้นสมองจะมี “กระแสประสาทสั่งการ” ไปยังอวัยวะที่เกี่ยวข้องให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อไป เช่น เมื่อเราเห็นไฟจราจรรีเขียว เราจะเกิดพฤติกรรมเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถ เป็นต้น
การได้ยิน และการทรงตัว (Sense of hearing and equilibrium)
อวัยวะเกี่ยวกับการได้ยิน และการทรงตัว ประกอบด้วยหูและประสาทรับความรู้สึก โดยครงสร้างของหู ปรกอบด้วย 3 ส่วนคือ หูชั้นนอก (External ear) หูชั้นกลาง (Middle ear) และหู้ชั้นใน (Inner ear)
องค์ประกอบของหู (Ear anatomy)
1. หูชั้นนอก ประกอบด้วย
1.1 ใบหู (Pinna or auricle) มีโครงสร้างเป็นกระดูกอ่อนยืดหยุ่นได้ดี ส่วนล่างมีติ่งหู ซึ่งประกอบ้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและไขมัน เรียกว่า “โลบลู” (Lobule) ใบหูมีประโยชน์สำหรับรับและรวบรวมกระแสคลื่นเสียงให้ผ่านเข้าสู่รูหู
1.2 ช่องหูหรือรูหู (Auditory canal) มีลักษณะเป็นช่องเข้าไปในกระดูกขมับ (Tempoal bone) ยามประมาณ 1 นิ้ว ช่องนี้มีลักษณะคล้ายตัว “S” มีขนและ่อมขึ้หู (Ceruminous glands) ซึ่งเป็ฯต่อมที่เปลี่ยนแปลงมาจากต่อมเหงื่อ ทำหน้าที่ขับขี้หู (Cerumen or Ear wax) มีลัษณะคล้ายขึ้ผึ้ง เป็ฯเครื่องป้องกันแมลงที่จะผ่านเข้าไปในรูหู
1.3 เยื่อแก้วหู (Ear drum or Tympanic membrane) เป็นส่วนที่แบ่งเขตระหว่าง “หูชั้นนอก และหูชั้นกลาง”
2. หูชั้นกลาง (Middle ear) เป็นช่องเล็กๆ อยู่ระหว่างเยื่อแก้วหูกับหูชั้นใน ภายในหูชั้นกลางบุด้วย “เยื่อเมือก” (Mucous membrane) ด้านล่างจะมีทอเล็กๆ เป็นส่วนที่ติดต่อกับโพรงจมูกและลำคอ บริเวณคอหอยส่วนบน (Nasopharynx) เรียกว่า “ยูสเทเชียน ทูบ” (Eustachian tube) เป็นท่าที่ช่วยปรับความดันภายในช่องหูชั้นกลางให้เท่านกับความดันบรรยากาศภายนอก ปกติช่องนี้จะปิดอยู่เสมอ ยกเว้นเวลาหาว จาม หรือกลืนช่องนี้จะเปิดออกเพื่อปรับความดันในหูให้มีความปกติ ดังนั้นหากมีการอักเสบติดเชื่อที่บริเวณคอหรือจมูก ก็จะทำให้ลุกลามไปถึงหูชั้นกลางได้
ภายในหูชั้นกลางจะมีกระดูกเล็กๆ 3 ชิ้น เรียกว่า “ออสสิเคิลส์” (Ossicles) ทำหน้าที่ช่วยในการขยายคลื่นเสียงเพื่อส่งต่อไปยังหูชั้นกลาง ประกอบด้วย กระดูกค้อน (Malleus or hummer) กระดูกทั่ง (Incus or anvil) และ กระดูกโกลน (Stapes or stirrup) โดยส่วนต้นของ กระดูกค้อน จะเชื่อมติดกับเยื่อแก้วหู ส่วนปลายจะเชื่อมกับกระดูกทั่ง ซึ่งจะอยู่ตรงกลาง และต่อด้วยกระดูกโกลน ส่วนท้ายของกระดูกโกลนจะเชื่อมกับ “หน้าต่างรูปไข่” (Oval window หรือ Fenestra vestibuli) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับหูชั้นใน
3. หูชั้นใน (Inner ear) ประกอบด้วย เซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินและการทรงตัว รวมเรียนกว่า “ลาไบรินทร์” (Labyrinth) ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนคือ “ระบบประสาทรับความรู้สึก” (Auditory apparatus) คือ “ท่อรูปหอยโข่ง” (Cochea) และส่วนที่ 2 คือ “ระบบควบคุมการทรงตัว” (Vestibula apparatus) ประกอบด้วย “ท่อครึ่งวงกลม” (Semicircular canals), “กระเปราะยูตริเคิล” (Utricle) และ “กระเปราะแซ็กคูล” (Saccule) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย ให้สามารถยืน เดิน วิ่ง นั่ง นอน ได้ตามปกติ
คอเคลีย (Cochlea) มีลักษณะเป็นท่อขดรูปก้นห่อย ประกอบด้วย 3 ท่อ ที่แยกออกจากกัน โดยว่างเรียงขนานกัน มีลักษณะเป็นท่อเรียกว่า “ท่อสเคลา หรือท่อคอเคลีย” (Scala media) ท่อนี้จะแบ่งออกคอเคลียออกเป็น 2 ช่อง คือ ช่องบนเรียกว่า “สเคลา เวสทิบูลิ” (Scala vestibuli) และช่องล่างเรียกว่า “สเคลา ทิมพานิ” (Scala tympani) ทั้ง 3 ท่อนี้จะมีของเหลว (Endolymph) บรรจุอยู่ภายใน

กลไกการได้ยิน (Hearing process)
เมื่อคลื่นเสียงผ่านเข้ามาทางรูหู แล้วไปกระทบกับเยื่อแก้วหู จะทำเยื่อแก้วหูเกิดการสั่นสะเทือน และส่งแรงสั่นต่อไปยังกระดูกหู 3 ชิ้น ที่อยู่ในหูชั้นกลาง และไป คอเคลีย หรือท่อรูปหอยโข่ง ซึ่งภายในคอเคลียจะมีของเหลว และเซลล์ขน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวไปมาตามแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียง แล้วเกิดเป็นกระแสประสาทส่งไปทาง “เส้นประสาทคอเคลีย” (Cochlear nerve) และส่งต่อไปยังเส้นประสาทคู่ที่ 8 (Auditory nerve or Acoustic nerve) เข้าสู่สมองส่วน “การได้ยิน” (Auditory area)
การทรงตัว (Equilibrium)
การทรงตัว คือ ความสามารถของร่างกายในการควบคุมจุดศูนย์กลางของร่างกาย (Center of Mass) ให้อยู่บนฐานรองรับน้ำหนัก (Base of Suppot) ทั้งขณะที่ร่างร่างกายอยู่นิ่งๆ เช่น ระหว่างการยืน การนั่ง และขณะที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหว เช่น การเดิน การวิ่ง รวมไปถึงในขณะที่มีแรงจากภายนอกมากระทำต่อร่างกายของเรา เช่น การปะทะกันในระหว่างเล่นกีฬา การทรงตัวที่ดีจะไม่ทำให้นักกีฬาล้มลงกับพื้น เป็นต้น
จุดศูนย์กลางร่างกาย (Center of Mass: COM) คือ จุดกึ่งกลางหรือจดสมมาตรของร่างกาย ระหว่างขนาดของร่างกายส่วนบน-ส่วนล่าง และ ร่างกายซีกขวา-ซีกซ้าย คนทั่วไปโดยปกติจะพบว่าตำแหน่งของจุดศูนย์กลางร่างกายจะที่บริเวณสะดือ ในขณะที่ยืนตัวตรงตำแหน่งของจุดศูนย์กลางของร่างกายจะอยู่บนฐานรองรับน้ำหนักในแนวระนาบเดียวกัน ส่งผลให้ร่างกายมีความมั่นคงสูง แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงจดศูนย์กลางให้ออกไปอยู่นอกเหนือขอบเขตของฐานรองรับน้ำหนัก จะทำให้เกิดจุดศูนย์กลางร่างกาย กับฐานรองรับน้ำหนักมีระนาบที่แตกต่างกัน ดังนั้นร่างกายจะใช้ความสามารถในการควบคุมท่าทางการทรงตัวที่มากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายสามารถทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ทำให้เกิดการหกล้าม ในการควบคุมการทรงตัวของร่างกาย จะมีการดึงจุดศูนย์กลางร่างกายกลับมาให้อยู่ในแนวเดียวกันกับฐานรองรับน้ำหนักโดยอัตโนมัติเช่นภาวะปกติ
ฐานรองรับน้ำหนัก (Base of Support) คือ บริเวณพื้นผิวหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีการแต่เหรือสัมผัสกับพื้น เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถตั้งตรงอยู่ได้ ประโยชน์ของฐานรองรับน้ำหนักคือ ช่วยเพื่มความมั่นคงและรักษาสมดุลของร่างกายในการควบคุมการทรงตัว เช่น หากฐานรองรับน้ำหนับมีความกว้างจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการรองรับน้ำหนักร่างกาย เพื่อใช้ในการควบคุมท่าทางได้ดีมากขึ้น หรือ การทำให้จุดศูนย์กลางร่างกายอยู่ในระดับต่ำ จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในการทรงตัวให้มากขึ้น ร่างกายจะสามารถทรงตัวได้มากขึ้น หรือ หากขนาดของฐานรองรับน้ำหนักมีความกว้างที่ลดลง หรือส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวน้อยลง ร่างกายต้องเพิ่มความสามารถในการควบคุมการทรงตัวที่มากขึ้น ทำให้จุดศูนซืกลางของร่างกายอยู่สูง ความมั่นคงในการทรงตัวจะน้อยลง จากฐานรองรับน้ำหนักที่มีขนาดลดลง ร่างกายจะต้องรับน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความมั่นคงในการทรงตัวลดลง
ประเภทของการทรงตัว
การทรงตัวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. การทรงตัวขณะร่างกายอยู่นิ่ง (Static Balance) คือความสามารถของร่างกายในการควบคุม และรักษาสมดุลขณะที่ร่างกายอยู่นิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของระบบอวัยวะรับความรู้สึก ได้แก่ ระบบการมองเห็น ระบบรับรู้การทรงตัวในหูชั้นใน และระบบการรับรู้การเคลื่อนไหวของข้อต่อ เอ็น และกล้ามเนื้อ เช่น ระหว่างที่เรากำลังยืน หรือนั่ง เป็นต้น
2. การทรงตัวขณะเคลื่อนไหวร่างกาย (Cynamic Balance) คือ ความสามารถของร่างกายในการควบคุมและรักษาสมดุล จากการเคลื่อนไหวร่งกายโดยการเปลียนแปลงตำแหน่งเดิมไยังตำแหน่งใหม่ เช่น การเดิน การวิ่ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงท่าทางการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ เช่น การลุก-นั่ง การย่อเข่า-ลุกยืน หรือ การทำท่าบริหารร่างกาย เป็นต้น โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของระบบอวัยวะรับความรู้สึกได้แก่ ระบบการมองเห็น ระบบการรับรู้การทรงตัวในหูชั้นใน ระบบการรับรู้การเคลื่อนไหวของข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ ซึ่งการทรงตัวขณะเคลื่อนไหวร่างกายจะมีขั้นตอน และการทำงานที่ซับซ้อนมากกว่าการทรงตัวในขณะที่ร่างกายอยู่นิ่งๆ ร่างกายจะต้องอาศัยการควบคุมการทำงานจากหลายๆ ส่วน รวมถึงระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
กลไกการทรงตัว
กลไกที่สำคัญของการทรงตัวเกิดจากความสัมพันธ์ของระบบที่เกี่ยวข้องกับการทรงตัว ได้แก่
- ระบบประสาทรับความรู้สึก (Sensory Nervous System) ระบบนี้จะเป็นตัวรับการกระตุ้นจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม แล้วแปลงแรงกระตุ้นให้เป็นกระแสประสาท ส่งผ่านไปตามเส้นประสาทเข้าไขสันหลัง ไปยังธารามัสและเปลือกสมองบริเวณที่รับความรู้สึก แล้วส่งต่อไปยังเปลือกสมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล และส่งคำสั่งเป็นกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป็นรูปแบบที่จำเป็นของการทรงตัว เช่น การเดินบนพื้นที่เรียบ และพื้นที่โขดหิน การกระตุ้นจากการฝ่าเท้า รวมไปถึงการมองเห็น จะส่งข้อมูลไปยังระบบประสาทส่วนกลางตามที่กล่าวมาแล้ว การวิเคราะห์และการออกคำสั่งการทรงตัวหรือการเคลื่อนไหวในสองสถานการณ์จะมีผลต่อการทรงตัวที่แตกต่างกัน เป็นต้น
- ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ระบบนี้จะรับข้อมูลการกระตุ้นจากระบบประสาทรับความรู้สึก แล้วทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับมา เพื่อออกคำส่งให้เกิดเป็นพฤติกรรมให้มีความเหมาะสมกับข้อมูลที่ได้รับมา
- ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskelatal system) ระบบนี้จะทำหน้าที่ทั้งรับการกระตุ้น และแสดงออกของพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงของท่าทางในการเคลื่อนไหว จะมีการส่งข้อมูลไปยังระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อระบบประสาทส่วนกลางวิเคราะห์และออกคำส่งให้กล้ามเนื้อทำงาน คือ มีการหดตัว และคลายตัวของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการทรงตัวอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
โดยทั่วไปเมื่อตัวรับความรู้สึกชนิดต่างๆ ถูกกระตุ้น จะทำให้เกิดกระแสประสาทขึ้น และส่งไปตามเส้นประสาทรับความรู้สึก ไปสู่เซลล์ประสาทในไขสันหลัง ผ่านทางรากประสาทส่วนหลัง (Dorsal root) จากนั้นกระแสประสาทจะถูกส่งต่อไปยังไขสันหลัง เข้าสู่ ธาลามัส และเปลือกสมองบริเวณที่รับความรู้สึกก่อนส่งไปยังส่วนของเปลือกสมองที่มีหน้าที่ในการประสานข้อมูลที่ได้รับจากส่วนต่างๆ และส่งต่อไปยังเปลือกสมองบริเวณที่ควบคุมการเคลื่อนไหวเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล และกำหนดออกมาเป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวของร่างกายที่จำเป็นในการทรงตัว
ระบบการมองเห็นจะนำข้อมูลเกี่ยวกับการรับรู้สภาวะแวดล้อมจากตา ซึ่งจะทำให้เกิดการรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้ ซึ่งจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการทรงตัวด้วย นอกจากนั้นหูชั้นกลาง ก็ยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวที่สำคัญ โดยจะรับรู้การเคลื่อนไหวของศีรษะที่มีการเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งต่างๆ
2 Responses