อดีตสภาพของสังคมไทยเป็นครอบครัวขยาย มีคนหลายวัยอาศัยอยู่รวมกัน ค่านิยมของสังคมส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเคารพนับถือผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก เพราะคิดว่าผู้สูงอายุมีศักดิ์ศรี มีคุณค่า มีศักยภาพ และเป็นผู้มีประสบการณ์ชีวิตที่สามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาที่สั่งสมประสบการณ์ต่างๆ มาอย่างยาวนานให้แก่คนรุ่นหลัง คนส่วนใหญ่จึงมีเจตคติที่ดีต่อผู้สูงอายุ และถือเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลหรือตอบแทนบุญคุณเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีตามค่านิยมของสังคมไทย แต่การเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจและสังคมที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและรุดหน้าจนเป็นสังคมดิจิทัล ในปัจจุบันทำให้ระบบครอบครัวแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวที่มีขนาดเล็กลง คือ ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกเท่านั้น ซึ่งเท่ากับแยกผู้สูงอายุออกจากครอบครัวโดยสิ้นเชิง สมาชิกในครอบครัวมีโอกาสอยู่ด้วยกันน้อยลง มีการละเลยคุณค่าของผู้สูงอายุและปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังมากขึ้น ทั้งๆ ที่ผลงานวิจัยส่วนมากต่างแสดงผลว่า ปัจจัยด้านการสนับสนุนจากครอบครัว โดยเฉพาะความสัมพันธ์และการปฏิบัติของคนในครอบครัว ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อความรู้สึกอบอุ่น และความสุขของผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลสะท้อนต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ (Mitra & Dasgupta, 2010; Peungposop & Junprasert, 2014 อ้างใน กิ่งแก้ว ทรัพย์พระวงศ์)
ปัจจุบัน ค่านิยมจากทางด้านตะวันตกมีการแพร่เข้ามาในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความทันสมัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสาร อิทธิพลของสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนต์ วีดีโอ ซึ่งมีส่วนประกอบของสี เสียง การเคลื่อนไหวของตัวละครจะมีอิทธิพลต่อความเชื่อของผู้รับชมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่ยังขาดประสบการณ์ ก็จะถูกปลูกฝังภาพต่างๆ ที่มาจากค่านิยมของตะวันตกอย่างง่ายได้ ปัจจุบันเราจึงเห็นได้ว่า ความเคารพที่มีต่อผู้อวุโสหรือปู่ยา ตายายลดน้อยถอยลง เนื่องจากความเชื่อเรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ทำอะไรก็ได้ด้วยความคิดของเขาเอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายที่เราต้องร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค
เจตคติ (Attitude:แอ๊ททิจูด) หมายถึง ความรู้สึกความเชื่อ และความคิดเห็นของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และแสดงออกเป็นพฤติกรรมว่ายอมรับหรือปฏิเสธ โดยมีผลมาจากความคิด การวิเคราะห์ การเรียนรู้ และประสบการณ์ของบุคคลนั้นเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ

องค์ประกอบที่มีผลต่อเจตคติของบุคคล ประกอบด้วยความรู้ อารมณ์ความรู้สึก และพฤติกรรม
ความรู้ (Knowledge:นอลเลดจ์) คือ ความรู้ความเข้าใจของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้รับมาจากการเรียนรู้ การพูดคุย การอ่าน หรือการรับรู้จากสื่อต่างๆ ซึ่งมีผลต่อเจตคติของคนนั้นๆ ต่อสิ่งใดหรือบุคคลใด ในทางลบหรือบวกก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีในความทรงจำของบุคคลนั้นๆ โดยจะมีสมองเป็นตัวคิดวิเคราะห์ อารมณ์ความรู้สึก (Emotion:อิโมเชิน) คือ ผลที่เกิดตามมาภายหลังจากการได้ข้อมูล (ความรู้) ผู้รับข้อมูลจะทำการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับมาจากที่ต่างๆ แล้วตัดสินจากประสบการณ์ของตนเองที่สะสมมาในอดีต เช่น สมศักดิ์ เคยถูกตำรวจเรียกให้หยุดรถเนื่องจากขับด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด สัมศักดิ์ พยายามชี้แจ้งเหตุผลว่าต้องรีบไปประชุม แต่ตำรวจก็ยังยืนยันว่ามีความผิดต้องเสียค่าปรับ สมศักดิ์ รู้สึกอารมเสียกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก พอมาถึงที่ประชุมก็ล่าช้ากว่าเวลาที่การประชุมเริ่ม และถูกผู้ร่วมประชุมมองด้วยสายตาที่ตำหนิ เวลาผ่านไป 5 นาที ก็มี นที ซึ่งเป็นพนักงานที่ต้องเข้าร่วมประชุมด้วยเช่นกันเพิ่งมาถึง เวลาผ่านไปการประชุมให้เบรค 15 นาที ทั้งคู่เลยมาคุยปรับทุกข์กัน ซึ่งทั้งคู่ก็โดนปรับเรื่องของการขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด และก็รู้สึกโกรธที่ตำรวจไม่ยอมเข้าใจเขาทั้งสอง จากกรณีตัวอย่างที่ยกมาจะเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความสอดคล้องกันพอดี จึงเหมือนเป็นการตอกย้ำให้ทั้งสองคนเชื่อว่าเขาควรได้รับการผ่อนปรนจากตำรวจ และรู้สึกแย่กับการปฏิบัติหน้าที่ของคำรวจ อารมณ์ความรู้สึกนี้จะยังคงอยู่ในจิตสำนึกของทั้งสองคน และหากไปรับรู้เหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกัน เขาจะเหมารวมว่า "ตำรวจเป็นคนไม่ดี" เขาทั้งสองจะเกลียด ไม่ชอบตำรวจ พฤติกรรม (Behavior:บีฮาฟวิเออะ) เป็นสิ่งที่แสดงออกมาให้เราสามารถเห็นได้ด้วยท่าทางการแสดงออก ซึ่งเป็นมาจาก "ความรู้" => "อารมณ์ความรู้สึก" => "พฤติกรรม" จากตัวอย่างข้างต้น ทั้งสองคนจะเจตคติแสดงพฤติกรรม "เชิงลบ" กับอาชีพตำรวจแน่นอน เขาจะพูดให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เขาคิด เพื่อที่จะได้เป็นข้อยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นเป็นความจริง และจะนำไปสู่พฤติกรรม "เชิงลบ" อื่นๆ ตามมา