
วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้แล้วผู้เรียนสามารถเข้าใจและปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ได้
- จำแนกชนิดของกล้ามเนื้อที่พบในร่างกายได้
- อธิบายลักษณะทางจุลกายวิภาพศาสตร์ของ Skelatal, Smooth และ Cardiac Muscle ได้
- อธิบายโครงสร้างที่ใช้ในกลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อลายได้
- ชี้แสดงส่วนต่างๆ ทางมหกายวิภาคศาสตคร์ของมัดกล้ามเนื้อลายได้
- บอกหลัการ เรียกชื่อกล้ามเนื้อลายของร่างกายได้
- บอกตำแหน่ง และหน้าที่ของกล้ามเนื้อลายที่สำคัญในร่างกายได้
ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System)
กล้ามเนื้อ เป็นเนื้อเยื่อที่พบในอวัยวะเกือบทุกชนิดของร่างกาย และนับว่าเป็นเนื้อเยื่อที่มีปริมาณมากที่สุด คือ ประมาณร้อยละ 40-50 ของน้ำหนักตัว การทำงานของกล้ามเนื้อ คือ การหดตัว (Contraction) และคลายตัว (Rdlaxation) สลับกัน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบกระดูก ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจจ ระบบย่อยอาหาร เป็นต้น
ชนิดของกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อที่พบในร่างกายมนุษย์ แบ่งตามโครงสร้างทางกายวิภาคศาสตร์ (Anatomical Structure) และหน้าที่การทำงานทางสรีรวิทยา (Physiological Function) ออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1. กล้ามเนื้อลาย (Stiated or Skeletal Muscle) ประกอบขึ้นเป็นกล้ามเนื้อส่วนใหญ่ของร่างกาย และเกาะอยู่กับกระดูก เป็นกล้ามเนื้อโครงร่าง (Somatic Muculature) เช่น กล้ามเนื้อใบหน้า กล้ามเนื้อแขน ขา ลำตัว และที่เป็นโครงสร้างของส่วนนอกของร่างกายทั้งหมด
2. กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth or Visceral Muscle) ประกอบขึ้นเป็นผนังของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ มดลูก และผนังหลอดเลือด เป็นต้น
3. กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) พบได้เฉพาะที่ผนังของหัวใจเท่านั้น
คุณสมบัติโดยทั่วไปของกล้ามเนื้อ
คุณสมบัติโดยทั่วไปของกล้ามเนื้อ จะมีดังต่อไปนี้
1. การตอบสนอต่อสิ่งเร้า (Irritability or Excitability) คือ สามารถที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้น หรือสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งเป็นคำสั่งจากสมองที่ส่งมาตามเส้นประสาท และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นนั้น เช่น เมื่อกล้ามเนื้อถูกทุบหรือกระแทกจะทำให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว
2. การหดตัว (Contractility) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของกล้ามเนื้อที่ช่วยทำให้เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น การเดิน การวิ่ง การนั่ง ล้วนต้องอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
3. การยืดตัวหรือหย่อนตัว (Extensibility) คือ การขยายตัวของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของร่างกายจะต้องทำงานให้มีการประสานกัน ในแต่ละการเคลื่อนไหว เช่น ขณะที่เราเดิน กล้ามเนื้อบางส่วนจะมีการหดตัว และในขณะเดียวกันจะมีกล้ามเนื้อบางส่วนคลายตัวออก สลับกันไปมาแบบนี้ตลอดเวลาที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
4. มีคุณสมบัติคล้ายยางยืด (Elasticity) คือ เมื่อมีการคลายตัวของกล้ามเนื้อในบางอริยบท แต่ก็สามารถหดกลับเข้าไปสู่สภาพเดิมได้
อย่างไรก็ตาม การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น การออกกำลังกายของนักกีฬา ที่ต้องใช้แรงในการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างมาก ผลที่ตามมาก็คือ การคลายตัวของกล้ามเนื้อจะเกิดขึ้นไม่เท่ากับการคลายตัวของกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกาย คือมีการหดรั้งของกล้ามเนื้อมากกว่าเดิม ส่งผลให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมากกว่าปกติ ดังนั้นเพื่อให้กล้ามเนื้อสามารถหดและคลายตัวได้อย่างเต็มที่่ อันจะส่งผลให้เราสามารถใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงควรมีการยืดกล้ามเนื้อ ภายหลังจากการออกกำลังกายทุกครั้ง
โครงสร้างระดับจุลกายวิภาพศาสตร์ของกล้ามเนื้อ
เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle)
เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ เป็นกล้ามเนื้อชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีลาย และเป็นลักษณะที่แตกต่างจากกล้ามเนื้อลาย หรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก (Skeletal Muscle) หรือกล้ามเนื้อลาย (Striated Muscle) และกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle)
เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ จะมีรูปร่างคล้ายกระสวย (Fusiform Shape) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาร 3-8 ไมครอน ยาวประมาณ 15-200 ไมครอน (1 ไมครอน = 0.001 มม. หรือ 1/1000 ของ มม.) นิวเคลียสจะอยู่ตรงกลางเซลล์ ไซโทพลาซึม (Cytoplasm) หรือ สารเหลว และส่วนประกอบพวกสารอินทรีย์จำพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ซึ่งอยู่รอบๆ นิวเครียส มีโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์กล้ามเนื้อ (Myofibril) กระจายอยู่ทั่วไปอย่างไม่เป็นระเบียบ
จะพบว่ากล้ามเนื้อเรียบจะเป็นส่วนประกอบของผนังอวัยวะกลวง (Hollow Organs) เช่น กระเพาะปัสสาวะ ช่องท้อง มดลูก ท่อต่างๆ ในระบบสืบพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ผนังหลอดเลือด เป็นต้น โดยอวัยวะต่างๆ ที่ประกอบขึ้นจากกล้ามเนื้อเรียบ จะควบคุมการทำงานโดยระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) หรือเรียกอีกอย่างว่า “ทำงานอยู่นอกอำนาจของจิตใจ” (Involuntary Nervous System) คือ เราไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะใดๆ ให้เป็นไปตามต้องการของเรา แต่การทำงานของอวัยวะนั้นๆ จะถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ เพื่อให้อวัยวะนั้นๆ ทำหน้าที่ให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายของเราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจได้ แต่การเต้นของหัวใจจะเกิดขึ้นตามบริบทของร่างกายของเราในเวลานั้นๆ หากเราออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกาย ที่ต้องทำงานมากขึ้น เป็นต้น
่หน้าที่ของกล้ามเนื้อเรียบ
กล้ามเนื้อเรียบมีคุณสมบัติพิเศษ 2 ชนิด คือ สามารถปรับตัวได้ตามแรงยืด (Plasticity) และการหดตัวได้เอง (Automaticity) นอกจากนั้นเซลล์กล้ามเนื้อลายบางชนิดจังสามารถสร้างกระแสๆฟฟ้ามากระตุ้น (Pace Maker) มากระตุ้นให้กล้ามเนื้อเรียบที่อยู่บริเวณใกล้เคียงหดตัวเป็นจังหวะแบบอัตโนมัติ กล้ามเนื้อเรียบจะเป็นองค์ประกอบของอวัยวะภายในร่างกายเกือบทุกชนิด ซึ่งส่งผลให้มีหน้าที่ๆ แตกต่างกันออกไป ดังตัวอย่างหน้าที่ของกล้ามเนื้อเรียบที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้
- ควบคุมการทำงานของหลอดอาหาร ทำให้เราสามารถกลืนอาหารได้เป็นปกติ
- ปรับขนาดของท่อทางเดินหายใจ เพื่อการไหลเวียนอากาศให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสถารการณ์ต่างๆ
- ปรับขนาดของหลอดเลือด เพื่อควบคุมการไหลเวียนของเลือดให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของร่างกาย
- ช่วยในการรบีบตัวของลำไส้เพื่อการย่อยอาหาร
- ช่วยในการปรับขนาดของรูม่านตา (Pupil)
- เป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยในการปรับขนาดของเลนส์ตา

ภาพแสดง ลักณะและโครงสร้างของกล้ามเนื้อเรียบ
เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle)
เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ จะมีรูปร่างของเซลล์เป็นทรกระบอก คล้ายกับเซลล์ของกล้ามเนื้อลาย ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9-22 ไมครอน แต่ละเซลล์จะถูกห่อหุ้มด้วย “เยื่อหุ้มเส้นใยกล้ามเนื้อ” (Sarcolemma) เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อลาย แต่นิวเคลียสจะมีเพียงอันเดียวอยู่ตรงกลางเซลล์ “โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์” (Myofibril) ประกอบด้วย “เส้นใยไมโอซิน และแอคติน” (Myosin and Actin Filament) เรียงตัวกันเป็นชั้นๆ ของโปรตีน (Sarcomere) ซึ่งมีหน้าหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับของกล้ามเนื้อลาย
เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจจะแตกต่างจากเซลล์กล้ามเนื้อลาย คือ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจจะมีหลายแขนง แต่ละแขนงจะเชื่อมต่อกับแขนงของเซลล์ข้างเคียง ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า “อินเตอร์คาเลทเต็ด ดิสก์” (Intercalated Discs)
กล้ามเนื้อหัวใจ เป็นกล้ามเนื้อชนิดพิเศษที่พบได้เฉพาะบริเวณหัวใจเท่านั้น แม้ว่าจะมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับกล้ามเนื้อรายและกล้ามเนื้อเรียบ แต่กล้ามเนื้อหัวใจจะมีหน้าที่แตกต่างไปจากกล้ามเนื้อทั้งสองชนิดอย่างชัดเจน ในทางการแพทย์เรียกกล้ามเนื้อหัวใจว่า “ไมโอคาร์เดียม” (Myocardium) เป็นกล้ามเนื้อชนิดพิเศษที่ทำงานตลอดเวลา จึงทำให้ต้องการสารอาหารและพลังงานจำนวนมาก

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของกล้ามเนื้อหัวใจ ที่มาของภาพ https://byjus.com/biology/cardiac-muscle-diagram/
เซลล์กล้ามเนื้อลาย (Striated or Skeletal Muscle)
เซลล์กล้ามเนื้อลาย เรียกว่า “เส้นใยกล้ามเนื้อ หรือ มัสเซิล ไฟเบอร์” (Muscle Fiber) ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับคำว่า “เส้นใยกล้ามเนื้อนอกกระสวย” (Extrafusa Muscle Fiber) เซลล์กล้ามเนื้อลายมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก (Cyllindrical Shape) มีความยาวตั้งแต่ 2-3 มม. ไปจนถึง 10 ซม. เซลล์กล้ามเนื้อลาย (Myocyte) แต่ละเซลล์ประกอบด้วยโครงสร้างที่เรียกว่า “ไมโอไฟบริล หรือ ซาร์โคสไทล์” (Myofibril or Sarcostyle) เป็นออร์แกเนลล์ (Organelles) พื้นฐานมีลักษณะเป็นเส้นของเซลล์กล้ามเนื้อ โดยที่ ไมโอไฟบริล จะเรียงตัวขนาดกันอยู่ตามยาวของเซลล์กล้ามเนื้อ ไมโอไฟบริล แต่ละอันจะประกอบโดยโครงสร้างขนาดเล็กลงไปอีก เรียกว่า “ไมโอฟิลาเมนท์” (Myofilament) มีโครงสร้างสำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ “ไมโอฟิลาเมนท์ชนิดบาง” (Thin Myofilament) มีเส้นผ่าศูนย์กลาว 5 ไมโครเมตร (เท่ากับ 0.005 มิลลิเมตร) เรียกว่า “แอคติน” (Actin) และ “ไมโอฟิลาเมนท์ชนิดหนา” (Thick Myofilament) มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ไมโครเมตร
ความสำคัญทางคลินิก เซลล์กล้ามเนื้อลาย เป็นเซลล์ที่ไม่สามารถแบ่งตัวได้ หากมีการทำงายเซลล์กล้ามเนื้อ และเกิดการตายของเซลล์แล้วจะมีการแทนที่เซลล์ที่ตายไปด้วยพังผืด (Fascia or Connective Tissue or Membrane) ซึ่งพังผืดนี้จะไม่มีความยืดหยุ่นได้เหมือนเซลล์กล้ามเนื้อ ดังนั้นฟังฝืดจะมีต่อการทำงานของกล้ามเนื้อมัดนั้นลดลงด้วย
กล้ามเนื้อลายสามารถทำให้มีขนาดใหญ่ได้ด้วยการบริหารและการออกกำลังกาย การที่กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องจากเซลล์กล้ามเนื้อมีขนาดที่เพิ่มขึ้น (Myscle Hypertrophy) แต่ไม่ได้มีการเพิ่มจำนวนของเซลล์กล้ามเนื้อ

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของเซลล์กล้ามเนื้อลาย หรือกล้ามเนื้อโครงสร้าง
ที่มาของภาพ https://www.scientistcindy.com/muscle-physiology.html
เซลล์กล้ามเนื้อลาย มีองค์ประกอบต่างๆ ภายในเซลล์เช่นเดียวกับเซลล์ทั่วๆ ไป แต่ชื่อที่ใช้เรียกองค์ประกอบต่างๆ จะมีความแตกต่างกันออกไป เช่น ผนังห่อหุ้มเซลล์ เรียกว่า “ซาร์โคเลมมา” (Sarcolemma) ส่วน “ของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ หรือ ไซโทพลาสซึม” (Cytoplasm) เรียกว่า “ซาร์โคพลสซึม) (Sarcoplasm) ซึงมี ไมโอไฟบริล เรียงตัวกันอยู่ ระหว่าง ไมโอไฟบริล จะเป็นช่องว่างจะมี “ไมโทคอนเดรีย” (Mitochondrion) และ “เอ็นโดพลาสมิค เรทิคูลัม” (Endoplasmic Reticulum: ER) ซึ่งในเซลล์กล้ามเนื้อ เรียกว่า “ซาร์โคพลาสมิค เรทิคูลัม” (Sarcoplasmic Reticulum) เซลล์กล้ามเนื้อลายเป็นเซลล์ชนิด “มัลตินิวเคลีย เซลล์” (Multinucleated Cell) คือ 1 เซลล์จะมีหลายนิวเคลียส และจะพบนิวเคลียสเรียงตัวอยู่ชิดกับ ซาร์โคเลมม่า

ภาพแสดง โครงสร้างทางกายวิภาคของเซลล์กล้ามเนื้อลาย
ที่มาของภาพ https://courses.lumenlearning.com/suny-ap1/chapter/skeletal-muscle/
ลายตามขวางของกล้ามเนื้อลาย เกิดจาก โครงสร้างของเซลล์กล้ามเนื้อชนิดหนาและชนิดบาง (Tick and Thin Filament) เรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบในเซลล์กล้ามเนื้อลาย (Myofibril) จึงทำให้เกิดลายสีเข้มสลับกับสีจาง แถบสีเข้ม เรียกว่า “เอ-แบน” (A-Band) ซึ่งมีทั้ง Tick และ Thin Filament ซ้อนกันอยู่ ส่วนแถบสีจาง เรียกว่า “ไอ-แบน” (I-Band) จะเป็นส่วนที่มีเฉพาะ Thin Filament นอกจากนี้ช่วงกลางของ เอ-แบน ยังพบแถบจาง เรียกว่า “เอช-แบน หรือ เอช-โซน” (H-Band or H-Zone) มีเส้นทึบ เรียกว่า “เอ็ม-ไลน์” (M-line) และตรงกึ่งกลางของ I-Band จะพบเส้นทึบเรียกว่าเส้น “ซี-ไลน์” (Z-line) ระยะระหว่างเส้น ซี-ไลน์ 2 เส้น เรียกว่า “วัน ซาร์โคเมียร์” (1- Sarcomere)

ภาพแสดง จุลกายวิภาคของเซลล์กล้ามเนื้อลาย
ที่มาของภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/T-tubule
เซลล์กล้ามเนื้อลาย เมื่อทำการศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน จะพบว่าบริเวณรอยต่อระหว่าง เอ-แบน และ ไอ-แบน จะมีลักษณะของ ซาร์โคเลมมา ที่ยื่นเข้ามาหุ้มรอบ ไมโอไพบริล มีลักษณะเป็นท่อตามขวาง เรียกว่า “ทรานสเวิร์ส ทูบ หรือ ที-ทูบ” (Transverse Tube : T-Tube) ระหว่าง ที-ทูบ จะพบโครงสร้างของ ซาร์โคพลาสมิค เรทิคูลัม เชื่อต่อกันเป็นร่างแห และบริเวณปลายของ ซาร์โคพลาสมิค เรทิคูลัม ใกล้กลับ ที-ทูบ จะมีลักษณะเป็นท่อขนาดใหญ่ เรียกว่า “เทอร์มินัล คิสเทิร์น” (Terminal Cistern) ทอดขนานไปกับ ที-ทูบ ทั้งสองข้าง และเรียกโครงสร้างทั้งสามที่ประกอบด้วย เทอร์มินัล คิสเทิร์น 2 อ้น และ ที-ทูบ 1 อัน นี้ว่า “ไทรแอด หรือ แก๊งสามท่อ” (Triad) เราจะพบ ไทรแอด จำนวน 2 ชุด ใน 1 ซาร์โคเมียร์
การกระตุ้นให้เกินการหดตัวของกล้ามเนื้อโดยระบบประสาท เกิดขึ้นโดยปลายประสาทจะมีการปล่อยสารสื่อประสาทมายัง “ช่องไซแนปส์” (Synaptic Cleft) แล้วจับกับ “ตัวรับสัญญาณประสาท” (Neurotransmitter Receptor) ที่อยู่บน “เยื่อหุ้มเซลล์กล้ามเนื้อ” (Sarcolemma) เกิดการกระจายสัญญาณประสาทไปตามส่วนต่างๆ แล้วมีการหลั่ง “แคลเซียม ไอออน” (Calcium Ion) ส่งผลให้มีการเคลื่อนตัวเข้าหากันของ “เส้นใยโปรตีนของเซลล์กล้ามเนื้อแบบหนาและบาง” (Thick and Thin Filament) ทำให้เกิดกลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อ (Sliding Myofilament Mechanism) ดังนั้มเมื่อศึกษาดูโครงส้างของ ไมโอไฟบริน ขณะที่กล้ามเนื้อมีการหดตัวจะพบว่า Thin Filament จะมีการเคลื่อนเข้าใกล้กันโดยซ้อนอยู่กับ Thick Filament ส่งผลให้ H-Band และ I-Band แคบลง ความกว้างของ Sarcomere ก็จะลดลงด้วย แต่ A-Band ยังคงที่

ภาพแสดง กลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย
แหล่งที่มาของภาพ (เขียนเพิ่มเติม) https://www.teachpe.com/anatomy-physiology/sliding-filament-theory
กล้ามเนื้อลาย
ลักษณะทั่วไปของมัดกล้ามเนื้อลาย
กล้ามเนื้อลาน เป็นกล้ามเนื้อที่ประกอบเป็นโครงสร้างส่วนใหญ่ของร่างกาย พบได้ทั่วไป เช่น กล้ามเนื้อลายที่ใบหน้า คอ แขน และมือ เป็นต้น เซลล์ของกล้ามเนื้อชนิดนี้จะเรียงตัวขนานกัน และอยู่รวมกันเป็นมัด โดยปลายทั้งสองของมัดกล้ามเนื้อ จะถูกยึดติดด้วยเอ็นกล้ามเนื้อ (Tendon) หรือ “โครงสร้างคลายเอ็นยึดกล้ามเนื้อ” (Aponeurosis) ที่จะยึดติดกับกระดูก “กล้ามเนื้อแต่ละมัด” (Muscle Belly) ยะมีเยื่อหุ้มที่เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียกว่า “เอพิมัยเซียม” (Epimysium) ในแต่ละมัดของกล้ามเนื้อจะประกอบไปด้วยกลุ่มของเซลล์กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่เรียกว่า “กลุ่มเส้นใยกล้ามเนื้อ” (Muscle Fasicle) ซึ่งมีเยื่อหุ้มซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เรียกว่า “เพอริมัยเซียม” (Perimysium) “กลุ่มใยกล้ามเนื้อ” แต่ละกลุ่ม จะประกอบไปด้วยเซลล์กล้ามเนื้อ เรียกว่า “เส้นใยกล้ามเนื้อ หรือ มัสเซิล ไฟเบอร์” (Muscle Fiber) เรียงขนานกันเป็นจำนวนมาก เยื่อหุ้มเซลล์กล้ามเนื้อนี้เรียกว่า “เอ็นโดมัยเซียม” (Endomysium)

ภาพแสดง โครงสร้าง และส่วนประกอบของกล้ามเนื้อลาย
แหล่งที่มาของภาพ https://ohiostate.pressbooks.pub/vethisto/chapter/4-skeletal-muscle/
การเรียกชื่อกล้ามเนื้อลาย
การเรียกชื่อมักใช้คำที่มาจากภาษาละติน หรือบางทีก็มีทั้งละตินและอังกฤษ การเรียกชื่อกล้ามเนื้อลายโดยทั่วไปใช้หลักดังนี้
1. เรียกตามตำแหน่งที่กล้ามเนื้อตั้งอยู่ เช่น
- กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครง (Intercostal)
- กล้ามเนื้อที่ต้นแขน (Brachialis)
- กล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของกระดูกหน้าแข้ง (tibialis Anterior)
- กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abdominis)
2. เรียกตามลักษณะของแนวใยกล้ามเนื้อ เช่น
- เส้นใยกล้ามเนื้อเรียงตัวในแนวตรง เรียกว่า “เรคตัส มัสเซิล” (Rectus Muscle)
- เส้นใยกล้ามเนื้อเรียงตัวในแนวขวาง เรียกว่า “ทรานสเวอร์ซัส มัสเซิล” (Transversus Muscle)
- เส้นใยกล้ามเนื้อเรียงตัวในแนวเฉียง เรียกว่า “อับลิก มัสเซิล” (Oblique Muscle)
3. เรียกตามหน้าที่การทำงาน เช่น
- กล้ามเนื้อทำหน้าที่งอข้อต่อ เรียกว่า “เฟล็กเซอร์ มัสเซิล” (Flexor Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เหยียดข้อต่อ เรียกว่า “เอ็กเทนเซอร์ มัสเซิล” (Extensor Muxcle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่กางอวัยวะออก เรียกว่า “แอ็บดักเตอร์ มัสเซิล” (Abductor Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หุบอวัยวะเข้า เรียกว่า “แอ็ดดักเตอร์ มัสเซิล” (Adductor Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หมุนอวัยวะ เรียกว่า “โลเทเตอร์ มัสเซิล” (Rotator Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกอวัยวะขึ้น เรียกว่า “ลีเวเตอร์ มัสเซิล” (Rotator Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่กดอวัยวะให้ต่ำลง เรียกว่า “ดีเพรสเซอร์ มัสเซิน” (Depressor Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยื่นอวัยวะออกไป เรียกว่า “โปร์เทร็กเตอร์ มัสเซิล” (Protractor Muscle)
- กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ดึงอวัยวะกลับ เรียกว่า “รีเทร็กเตอร์ มัสเซิล” (Retractor Muscle)
4. เรียกชื่อตามรูปร่างของขนาด เช่น
- กล้ามเนื้อรูปทรงสามเหลี่ยม เรียกว่า “เดลตอยด์ มัสเซิล” (Deltoid Muscle)
- กล้ามเนื้อรูปสี่เหลี่ยม เรียกว่า “แรมดอยด์ หรือ ควอดราลัส มัสเซิล” (Rhamboid or Quadralus Muscle)
- กล้ามเนื้อรูปร่างคล้ายฟันเลื่อย เรียกว่า “เซอร์ราตัส มัสเซิล” (Serratus Muscle)
- กล้ามเนื้อรูปร่างขนาดใหญ่ เรียกว่า ” แม็คซิมัส หรือ เมเจอร์ หรือ แม็คนัส มัสเซิล” (Maximus, Major, Magnus Muscle)
- กล้ามเนื้อที่มีขนาดสั้น เรียกว่า “บราวิส มัสเซิล” (Bravis Muscle)
5. เรียกชื่อตามจำนวนจุดเกาะต้น (Nuber of Origin) เช่น
- การมีจุดเกาะต้น 2 แห่ง เรียกว่า “ไบเซ็พส์” (Biceps)
- การมีจุดเกาะต้น 3 แห่ง เรียกว่า “ไตรเซ็พส์” (Triceps)
- การมีจะดเกาะต้น 4 แห่ง เรียกว่า “ควอไดรเซ็พส์” (Quadiceps)
6. เรียกตามตำแหน่งจุดเกาะต้น และตำแหน่งจุดเกาะปลาย (Origin and Insertion) เช่น
- กล้ามเนื้อที่เกาะระหว่าง “กระดูกอก กระดูกไหปลาร้า และกระดูกขมับส่วนมาสตอยด์” (Sternum-Clavicle – Mastoid) เรียกว่า “สเตอร์โนไคลโดมาสตอยด์” (Sternocleidomastoid)
- กล้ามเนื้อที่เกาะระหวาง “กระดูกกระเบนเหน็บ และกระดูกสันหลัง” (Sacrum and Spinal) เรียกว่า “ซาโครสไปนาลิส” (Sacrospinalis)
จุดยึดเกาะของกล้ามเนื้อ
เนื่องจากกล้ามเนื้อลายมีปลายสำหรับยัดเกาะกับกระดูก รวมทั้งกระดูกอ่อนและผิวหนัง ดังนั้นตำแนห่งที่เกาะของกล้ามเนื้อจึงมี 2 จุด คือ
1. จุดเกาะต้น (Origin) คือ ปลายที่เกาะของกล้ามเนื้อที่อยู่ใกล้ลำตัว (Proximal) ปลายนี้จะมีการเคลื่อนไหวน้อย เมื่อกล้ามเนื้อหดตัว
2. จุดเกาะปลาย (Insertion) เป็นปลายกล้ามเนื้อด้านที่อยู่ห่างจากลำตัว (Distal) มากว่าจุดเกาะต้น และจะมีการเคลื่อนไหวมากว่า เมื่อมีกล้ามเนื้อหดตัว

ภาพแสดง ลักษณะและตำแหน่งของจุดเกาะต้นและจุดเกาะปลายของกล้ามเนื้อลาย
แหล่งที่มาของภาพ https://www.visiblebody.com/learn/muscular/muscle-movements
กล้ามเนื้อลายที่สำคัญของร่างกาย
กล้ามเนื้อใบหน้า (Muscle of The Face)
1. กล้ามเนื้อกระดูกท้ายทอย หรือ กล้ามเนื้อออกซิปิตาลิส (Occipitalis Muscle) เป็นกล้ามเนื้อรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรง “กระดูกท้ายทอย” (Occipital) ของศีรษะ
จุดเกาะต้น มีอยู่ 2 จุด คือที่บริเวณ “แนวเส้นหลังคอบนสุด” (Superior Nuchal line) ของกระดูกท้ายทอย และ “ส่วนกกหูของกระดูกขมับ” (Mastoid Part)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “เอ็นกล้ามเนื้อกาเลีย อโพนิวโรติกา” (Galea Aponeurotica)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (Cranial Nerve Vll)
หน้าที่ ทำย่นคิ้ว ดึงหนังศีรษะไปด้านหลัง
2. กล้ามเนื้อหน้าผาก หรือ กล้ามเนื้อฟอร์นทัลลิส (Frontalis Muscle) เป็นกล้ามเนื้อบางๆ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของศีรษะ ที่เรียกว่า “กระดูกหน้าผาก” (Frontal Bone) มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า กล้ามเนื้อนี้จะไม่มีจุดเกาะกับกระดูก
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “เอ็นกล้ามเนื้อกาเลีย อโพนิวโรติกา” (Galea Aponeurotica)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ผิวหนังบริเวณโหนกคิ้ว” (Supraciliary Crest)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 (Cranial Nerve Vll)
หน้าที่ คือ การยกหรือเลิกคิ้ว เพื่อช่วยในการมองมุมสูง
3. กล้ามเนื้อยกเปลือกตาบน หรือกล้ามเนื้อลืมตา (Levator Palpebrae Suerioris Muscle) ความผิดปกติของกล้ามเนื้อนี้จะทำให้หนังตาตกลงมามากว่าปกติทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น และเสียบุคลิก มีสาเหตุได้คือ เป็นมาตั้งแต่เกิด จากการผ่าตัดกล้ามเนื้อนี้ หรืออายุที่มากขึ้น
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกรูปผีเสื้อ หรือกระดูกสฟีนอยด์” (Sphenoid Bone)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แผ่นเปลือกตา หรือ ทาร์ซัล เพลท” (Tarsal Plate) ในเปลือกตาบน
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทกล้ามเนื้อตา” (Oculomotor Nerve) เป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 (Cranial Nerve lll)
หน้าที่ ช่วยลืมตา ช่วยให้เปลือกตามีความมั่นคง ไม่หย่อนยาน
4. กล้ามเนื้อหลับตา หรือกล้ามเนื้อออร์บิคูลารีส ออกคูไล (Orbicularis Oculi Muscle) เป็นกล้ามเนื้อรูปวงกลมวนอยู่รอบๆ ดวงตา เมื่อกล้ามเนื้อนี้หดตัวจะทำให้เราสามารถหลับตาได้
จุดเกาะต้น มีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือที่ “กระดูกหน้าผาก” (Frontal) “เอ็นพัลพิบรัล” (Medial Palpebral ligament) และ “กระดูกแอ่งถุงน้ำตา” (Lacrimal Bone)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “เอ็นแลทเทอรัล แพลพีบรัล ราฟี” (Lateral Palpebral Raphe)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงเส้นประสาทไซโกมาติก” (Zygomatic Branch) เป็น “เส้นประสาทใบหน้าคู่ที่ 7” (Facial Nerve Vll)
ทำหน้าที่ การหลับตาปี๋
5. กล้ามเนื้อวงแหวนรอบปาก หรือ ออร์บิคูลารีส โอรีส (Orbicularis Oris Muscle) มีเส้นใยกล้ามเนื้อเชื่อมโยงไปมาหลายทิศทาง ทั้งริมฝีปากบนและล่าง แก้ม จมูก
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกขากรรไกรบน” (Maxilla) และ “กระดูกขากรรไกล่าง” (Mandible)
จุดเกาะปลาย จะเกาะอยู่กับผิวหนังรอบๆ ริมฝีปาก (Lips)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงประสาทแก้ม หรือแขนงบัคคัล” (Buccal Branch) เป็นแขนงของเส้นประสาทใบหน้าคู่ที่ 7 (Facial Nerve 7)
หน้าที่ ช่วยในการหุบปาก ทำปากจู๋
6. กล้ามเนื้อกระพุ้งแก้ม หรือ กล้ามเนื้อบัคซิเนเตอร์ (Buccinator Muscle) เป็นกล้ามเนื้อชิ้นสี่เหลี่ยมบางๆ ที่อยู่ระหว่างกระดูกขากรรไกรบนและกระดูกขากรรไกรล่าง
มีจุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกเบ้าฟัน” (Alveolar Process) ของกระดูกขากรรไกรบน (Maxilla) และกระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) “ข้อต่อขากรรไกรล่าง กับกระดููกขมับ” (Temporomandibular joint)
จุดเกาะปลาย จับกับ “เส้นใยกล้ามเนื้อวงแหวนรอบปาก” (Orbicularis Oirs)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงประสาทแก้ม” (Buccal Branch) เป็นแขนงของ “เส้นประสาทเฟเชียลคู่ที่ 7” (Facial Nerve: CN Vll)
หน้าที่ การดูด เคี้ยว ผิวปาก เป่าหีบเพลง
7. กล้ามเนื้อหัวคิ้ว หรือ กล้ามเนื้อคอร์รูเกเตอร์ ซูเปอร์ซิลิไอ (Corrugator Supercilii Muscle) เป็นกล้ามเนื้อขนาดเล็ก แคบ ยาว ตั้งอยู่บริเวณหัวคิ้ว
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “โหนกคิ้ว” (Superciliary Arches)
จุดเกาะปลาย ติดอยู่กับผิวหนังบริเวณหัวคิ้ว
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทเฟเชียลคู่ที่ 7” (Facial Nerve : CN Vll)
หน้าที่ ดึงหัวคิ้วลงและเข้าแนวกึ่งกลางของใบหน้า ทำให้เกิดรอยย่อนเป็นแนวตั้งของหน้าผาก เป็นกล้ามเนื้อหลักที่ทำหน้าบึ้งเมื่อเกิดความรู้สึกไม่พอใจ
8. กล้ามเนื้อไซโกมาติคัส ไมเนอร์ (Zygomaticus Minor Muscle) เป็นกล้ามเนื้อสำหรับแสดงสีหน้าของคนเรา หรือดึงมุมปากขึ้นขณะยิ้ม
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกโหนกแก้ม” (Zygomatic Bone)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ผิวหนังบริเวณมุมปาก
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทเฟเชียลคู่ที่ 7” (Facial Nerve : CN Vll)
หน้าที่ การแสดงออกทางสีหน้า ความรู้สึก แสดงอารมณ์
9. กล้ามเนื้อไซโกมาติคัส เมเจอร์ (Zygomaticus Major Muscle)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ด้านหน้าของกระดูก “โหนกแก้ม” (Zygomatic Bone)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ผิวหนังบริเวณมุมริมฝีกปากบน
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทไซโกมาติก และแขนงเส้นประสาทแก้ม” (Zygomatic and Buccal Branch) ซึ่งเป็นแขนงของ “เส้นประสาทเฟเชียลคู่ที่ 7” (Facial Nerve: CN Vll)
หน้าที่ การแสดงออกทางสีหน้า ดึงมุมปากขึ้นด้านบน และออกไปทางข้าง
10. กล้ามเนื้อลีเวเตอร์ แองกูไล ออริส (Levator Anguli Oris Muscle) เป็นกล้ามเนื้อใบหน้าที่อยู่บริเวณปาก เริ่มจาก “แอ่งฟันเขี้ยว” (Canine Fossa) ซึ่งอยู่ใต้ต่อ “รูใต้เบ้าตา” (Infraorbital Foramen)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกขากรรไกรบน” (Maxilla Bone)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ผิวหนังบริเวณมุมปาก
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงเส้นประสาทแก้ม” (Buccal Branch) เป็นแขนงของ “เส้นประสาทเฟเชียลคู่ที่ 7” (Facial Nerve: CN Vll)
หน้าที่ แสดงออกทางสีหน้า ยกมุมปากขึ้นสูง
11. กล้ามเนื้อแสยะยิ้ม หรือ กล้ามเนื้อไรซอเรียส (Risorius Muscle) เป็นกล้ามเนื้อยกขากรรไกรล่างไปยังบริเวณมุมปาก ทำหน้าที่ขยับมุมปาก ยิ้ม
จุดเกาะต้น อยู่ที่บริเวณ “ฟังผืดที่คลุมต่อมน้ำลายพาโรติด” และทอดไปตามแนวขวางมาด้านหน้า
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ผิวหนังบริเวณมุมปาก
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ เส้นประสาทเฟเชียลคู่ที่ 7 (Facial Nerve 7: CN Vll)
หน้าที่ ดึงมุมปากไปทางข้าง การแสยะยิ้ม หรือการยิ้มแบบไม่เต็มใจ
กล้ามเนื้อคอ (Muscle of The Neck)
1. กล้ามเนื้อเพลทิสมา (Platysma Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณลำคอ มีขนาดบางแต่ใหญ่ แผ่ปกคลุมตั้งแต่บริเวณไหปลาร้าไปยังบริเวณขากรรไกรล่าง และเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อมุมปาก กล้ามเนื้อนี้จะทำงานเมื่อเราเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอ
จุดเกาะต้น อยู่ที่บริเวณ “เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังของกระดูกไหปลาร้า” (Subcutaneous Tissue of Clavicles)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “กระดูกขากรรไกรล่าง” (Mandible) ผิวหนังของแก้ม ริมฝีปากล่าง มุมปาก และกล้ามเนื้อรอบปาก
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงคอเส้นประสาทเฟเชียล” (Facial Nerve : CN Vll)
หน้าที่ คือ กดขากรรไกล่าง ดึงริมฝีกปากล่างและมุมปากลงด้านล่าง
2. กล้ามเนื้อสเตอร์โนไคลโดมาสตอยด์ (Sternocleidomastoid Muscle) ชื่อของกล้ามเนื้อมาจากจุดเกาะทั้งสามจุดของกล้ามเนื้อ คือ กระดูกหน้าอก (Sternum – Sterno-) กระดูกไหปลาร้า (Clavicle – Cleido-) และ มาสตอยด์ โพรเซส (Mastoid Process)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “ส่วนต้นของกระดูกหน้าอก” (Manubrium) และ “ส่วนปลายด้านในของกระดูกไหปลาร้า”
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ปุ่มกกหูของกระดูกขมับ” (Mastoid Process of Temporal Bone)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทแอคเซลเซอรี” (Accessory Nerve: CN Xl)
หน้าที่ กล้ามเนื้อมีหน้าที่ การก้มศีรษะกล้ามเนื้อจะทำงานำร้อมกันทั้งสองมัด แต่ถ้าถ้าเอียงศีรษะกล้ามเนื้อจะทำงานมัดเดียว กล้ามเนื้อที่หดตัวจะเป็นข้างเดียวกับที่ศีรษะหันหรือเอียงไป
กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร (Muscle of Mastication)
1. กล้ามเนื้อแมสซีเตอร์ (Masseter Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณกระดูกโหนกแก้มและขากรรไกรล่าง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกโหนกแก้ม” (Zygomatic Arch)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “โคโลนอยด์ โพรเซส และ เรมัส ของกระดูกขากรรไกรล่าง” (Coronoid Process and Ramus of Mandible)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทแมกซิลลารี” (Maxillary Branch) ซึ่งเป็น “เส้นประสาทใบหน้า คู่ที่ 5” (Trigeminal Nerve: CN V)
หน้าที่ กล้ามเนื้อมีหน้าที่ยกขากรรไกรล่างเพื่อปิดปาก ดันขากรรไกรล่างไปข้างหน้า ช่วยในการเคี้ยวอาหาร
2. กล้ามเนื้อขมับ หรือ กล้ามเนื้อเทมโพราลีส (Temporalis Muscle) เป็นกล้ามเนื้อรูปพัดที่มีความกว้างมาก แต่ค่อนข้างบาง กล้ามเนื้อมัดนี้มีความแข็งแรง เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ตรงบริเวณขมับและขากรรไกรล่าง (Temporal and Mandible)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “เส้นขมับ” (Temporal Line) ซึ่งเป็นรอยต่อของ “กระดูกขม่อมและกระดูกผีเสื้อ” (Parietal and Sphenoid Bone)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แง่งโคโรนอยด์ของกระดูกขากรรไกรล่าง” (Coronoid Process of Mandible)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงประสาทขากรรไกรล่าง” (Mandubular Branch) ของ “เส้นประสาทใบหน้าคู่ที่ 5 หรือ เส้นประสาทไตรเจมินัล” (Trigeminal Nerve: CN V)
หน้าที่ เกี่ยววกับการเคี้ยว ยกขากรรไกรล่างเพื่อปิดปาก ดึงขากรรไกรล่างไปด้านหลัง
3. กล้ามเนื้อเทอริกอยด์มัดใน (Medial Pterygoid Muscle) อยู่ตรงบริเวณด้านในของกระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “แผ่นกระดูกเทอริกอยด์ด้านข้าง” (Lateral Pterygoid Plate) ของ “กระดูกรูปฝีเสื้อ” (Shenoid) “กระดูกเพดานปาก” (Palatine Bone) และกระดูกขากรรไกรบน (Maxillar)
จุดเกาะปลาย อยู่มุมด้านในของกระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงประสาทขากรรไกรล่าง” (Mandibular Branch) ของ “เส้นประสาทไตรเจมินัล” (Trigeminal Nerve: CN V)
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่ ยกขากรรไกรล่าง และช่วย “กล้ามเนื้อมัดนอก” (Lateral Pterygoid Muscle) ในการเคลื่อนไหวขากรรไกรไปมาทางด้านข้าง
4. กล้ามเนื้อเทอริกอยด์มัดนอก (Lateral Pterygoid Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณด้านในของกระดูกขากรรไกรล่าง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “เกรทเทอร์ วิง และแผ่นเทอริกอยด์” (Greater Wing and Pterygoid Polate)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แง่งคอนไดล่า” ของกระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “แขนงประสาทขากรรไกรล่าง” (Mandibular Branch) ของ “เส้นประสาทไตรเจมินัล” (Trigeminal Nerve: CN V)
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้ทำหน้าที่ กดขากรรไกรล่างลงข้างล่าง หรือการอ้าปาก ดันขากรรไกรไปข้างหน้า และช่วยเคลื่อนไหวขากรรไกรมาทางด้านข้าง
ความสำคัญทางคลินิก กลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยว ถูกควบคุมโดยแขนงประสาทสั่งการของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 (Trigeminal Nerve) หากเกิดพยาธิสภาพต่อเส้นประสาทนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคี้ยวอาหารเกิดการฟ่อลีบ (Muscle Atrophy) เมื่อทดสอบโดยให้ผู้ป่วยอ้าปาก คางจะโย้ไปด้านเดียวกันกับกล้ามเนื้อที่ฝ่อลีบ
กล้ามเนื้อหลัง (Muscle of the Back)
กล้ามเนื้อหลังนั้นมีความสำคัญมากสำหรับการดำเนินชีวิตของเรา เนื่องจากกล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง การก้มหรือหมุนตัวเพื่อหยิบของ การยกข้อง การหันหลังไปมองวัตถุที่อยู่ด้านหลัง การยืน การเดิน การนั่ง ทำให้มีความมั่นคง ไม่เซ หรือหกล้ม กล้ามเนื้อที่สำคัญๆ ประกอบด้วย
1. กล้ามเนื้อทาร์พิเซียส (Trapezius Muscle) เป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ รูปสี่เหลี่ยมคางหมูคลุมแผ่นหลังทางด้านบนและคอทางด้านหลัง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “แง่งของกระดูกสันหลัง” (Spinous Process) ของ “กระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 1 ถึง กระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 12” (Cervical Spine1: C1 to Thoracic Spine12: T12)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ปุ่มกระดูกด้านนอกของกระดูกท้ายทอย” (External Protuberance of Occipital) “เอ็นยึดกระดูกสันหลังส่วนคอ” (Nucha Ligament) “ส่วนในของเส้นหลังคอ” (Superior Nuchal Line) “ปุ่มของกระดูกหัวไหล่” (Acromion Process of Clavicle) และ “แนวสันของกระดูกสันหลัง” (Spine of Scapula)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทคู่ที่ 11 หรือ เส้นประสาทแอคเซทเซอรี” (Accessory Nerve: CN Xl)
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่ รั้งสะบักมาข้างหลัง ยกไหล่ขึ้นข้างบน รั้งศีรษะไปข้างหลัง
2. กล้ามเนื้อแผ่นหลัง หรือ กล้ามเนื้อลาติสสิมัส ดอร์ไซ (Latissimus Dorsi Muscle) เป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่ปกคลุมอยู่บริเวณด้านล่างของแผ่นหลังทั้งหมด
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “แง่งกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 7-12” (Spinal Process of Thoacic Spine Vll-Xll) “พังผืดแผ่นหลัง” (Thoracolumbar Fascia) “ขอบกระดูกเชิงกราน” (Iliac Crest) “กระดูกซี่โครงชิ้นที่ 3-4 ชิ้นล่าง” และ “มุมล่างของกระดูกสะบัก” (Scapula)
จุุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ล่องลึกของกระดูกต้นแขน หรือ อินเทอร์ทูบูล่า กรูฟ์ว” (Intertubular Groove of Humerus)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทโธราโคอร์ซัล เส้นที่ 6-7-8” (Thorocodorsal Nerve Vl – Vll – Vll)
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่ ดึงแขนลงข้างล่าง ไปข้างหลัง และเข้าด้านใน
3. กลุ่มกล้ามเนื้อแผ่นหลัง หรือ กล้ามเนื้ออิเลคเตอร์ สไปเน่ (Erector Spinae Muscle) เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อหลายมัดที่อยู่บริเวณลำตัวทางด้านหลังและเกาะสัมพันธ์อยู่กับแนวกระดูกสันหลัง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “แง่งกระดูกสันหลังระดับอก ชิ้นที่ 9-12” (Spinous Process of Thoracic 9-12) กระดูกสันหลังส่วนออก และ “ขอบกระดูกเชิงกราน” (Iliac Crest)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แง่งกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 1-2” (Spinous Process of Thoracic 1-2) กระดูกสันหลังส่วนอกและกระดูกสันหลังส่วนคอ
เส้นประสาที่มาควบคุม คือ แขนงด้านหลังเส้นประสาทไขสันหลังที่สัมพันธ์กับกล้ามเนื้อ
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้ทำหน้าที่ เหยียดหลัง โดยการเคลื่อนไหวที่แนวของกระดูกสันหลัง
ความสำคัญทางด้านคลินิก (Clinical Correlation) การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อส่วนนี้พบได้บ่อยโดยเกิดจากการเล่นกีฬา หรือการทำงานโดยใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสม การยกของที่มีนำหนักมากเกินกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการ “หลังเคล็ด” (Back Stain) คือ มีการบาดเจ็บหรือฉีกขาดต่อเซลล์กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นยึดกระดูก (Ligament) ที่ยึดที่กระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อที่พบว่ามีการบาดเจ็บได้บ่อยๆ คือ กล้ามเนื้อที่ใช้เคลื่อนไหวแนวกระดูก เช่น กล้ามเนื้อ Ereto Spinae
กล้ามเนื้อทรวงอก (Muscle of Chest)
กล้ามเนื้อทรวงอก เป็นกล้ามเนื้อที่มีความสำคัญของร่างกาย และทำงานอยู่ตลอดเวลา หน้าที่หลักของกล้ามเนื้อทรวงอกคือ ช่วยให้เราดึงแขนเข้ามาใกล้ตัวเรา และช่วยในการทำงานของแขน ไหล่ และยังช่วยให้มีการทรงตัวอยู่ในท่าทางที่เหมาะสมอีกด้วย กล้ามเนื้อทรวงอกประกอบด้วยกล้ามมัดต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. กล้ามเนื้อทรวงอกมัดใหญ่ หรือ กล้ามเนื้อเพคทอราลีส (Pectoralis Major Muscle) อยู่บริเวณหน้าอกทอดตัวยาวไปยังกระดูกต้นแขน
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กึ่งกลางของกระดูกไหปลาร้า” (Clavicle) “กระดูกหน้าอก” (Sternum) “กระดูกอ่อนของกระดูกซี่โครง 6 ชิ้นบน” (Costal Cartilage) และ “เอ็นแผ่นของกล้ามเนื้อท้องด้านข้างส่วนนอก” (Aponeurosis of External Abdominal Oblique)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ร่องระหว่างปุ่มกระดูกต้นแขน” (Bicipital Groove of Humerus)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาททรวงอกข้างหน้าด้านข้าง” (Lateral Pectoral Nerve: C5-6-7) และ “เส้นประสาทอกด้านใน” (Medial Pectoral Nerve: C8 และ T1)
หน้าที่ กล้ามเนื้อมัดนี้มีหน้าที่ งอข้อไหล่ หุบ และหมุนต้นแขนเข้าข้างในและหมุนมาข้างหน้า
2. กล้ามเนื้อทรวงอกมัดเล็ก หรือ กล้ามเนื้อเพคทอราลีส ไมเนอร์ (Pectoralis minor Muscle) กล้ามเนื้อมัดนี้อยู่บริเวณหน้าอกทอดตัวไปยังกระดูกสะบัก
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “กระดูกอ่อนซี่โครงคู่ที่ 3-5” (Costal Cartilage 3-5)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แง่งบ่า” (Coracoid Process of Scapula)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทอกด้านใน” (Medial Pectoral Nerve: C8 and T1)
หน้าที่ กล้ามเนื้อมัดนี้มีหน้าที่ดึงไหล่ลง หมุดสะบักลงข้างล่าง
3. กล้ามเนื้อเซอร์ราตัสด้านหน้า (Serratus Anterior Muscle) อยู่บริเวณด้านข้างของลำตัวทอดตัวไปถึงกระดูกสะบัก
จุดเกาะต้น อยู่ที่ ผิวด้านข้างของกระดูกซี่โครงชิ้นที่ 8 ถึง 9 คู่บน
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ขอบด้านในของกระดูกสะบัก
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทลองโธราสิค” (Long Thoracic Nerve)
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่หมุนกระดูกสะบักไปด้านข้าง และยึดกระดูกสะบักให้แนบกับทรวงอก
กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ (Muscle of Respiration)
การหายใจของคนเราต้องใช้กล้ามเนื้อสำหรับการช่วยหายใจ คือ กล้ามเนื้อกระบังลม และกล้ามเนื้อทรวงอกส่วนล่าง ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อดังต่อไปนี้
1. กล้ามเนื้อซี่โครงด้านนอก (External Intercostal Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะอยู่ระหว่างกระดูกซี่โครง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “ขอบด้านล่างของกระดูกซี่โครงแต่ละชิ้น
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ขอบด้านบนของกระดูกซี่โครงงที่อยู่ล่างกว่าของจุดเกาะต้น
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทระหว่างซี่โครง” (Intercostal Nerve) ซึ่งจะอยู่ชิดขอบล่างของกระดูกซี่โครงแต่ละซี่
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้มีหน้าที่ ยกซี่โครงขึ้น ทำให้ช่องอกกว้างขึ้น ทำให้เกิดการหายใจเข้า
2. กล้ามเนื้อซึ่โครงด้านใน (Internal Intercostal Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะระหว่างกระดูกซี่โครง อยู่สูงกว่ากล้ามเนื้อซี่โครงด้านนอก
จุดเกาะต้น อยู่ที่ขอบด้านบนของกระดูกซี่โครงแต่ละชิ้น
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ขอบด้านล่างของกระดูกซี่โครงชิ้นที่อยู่เหนือขึ้นไปของจุดเกาะต้น
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทระหว่างกระดูกซี่โครง หรือ เส้นประสาทอินเตอร์คอสตัล” (Intercostal Nerve) ซึ่งอยู่ชิดกับขอบล่างของกระดูกซี่โครงแต่ละซี่
หน้าที่ กล้ามเนื้อนี้เมื่อหดตัวจะทำให้ช่องอกมีขนาดเล็กลง ช่วยในการหายใจออก
3. กล้ามเนื้อกระบังลม (Diaphragm) เป็นกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายร่มชูชีพ ซึ่งกั้นระหว่างช่องอกและช่องท้อง
จุดเกาะ แบ่งออกเป็น
- ด้านหน้า เกาะกับ “กระดูกลิ้นปี่” (Xiphoid Process) และขอบของกระดูกอ่อนซี่โครง
- ด้านข้าง เกาะกับกระดูกซี่โครงคู่ที่ 6-12 (Rib Vl – Xll)
- ด้านหลัง เกาะกับกระดูกสันหลังส่วนออกท่อนที่ 12 (Thoracic Spine Xll)
- ตรงกลาง ใยกล้ามเนื้อของกระบังลมจะเกาะอยู่กับ “ส่วนโค้งของกระบังลม” (Central tendon)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทเฟรนิก” (Phrenic Nerve) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเส้นประสาทบริเวณคอที่อยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนคอที่ 3-5 (C3-4-5)
หน้าที่ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจเป็นหลัก สามารถทำงานแบบ “ใน และนอกอำนาจของจิตใจ” (Voluntary and Involuntary)
ความสำคัญทางด้านคลินิก กระบังลม เป็นกล้ามเนื้อหลักที่ใช้ในการหายใจ การหดตัวของกระบังลมทำให้ขนาดของช่องอกมีขนาดเพิ่มขึ้นในแนวตั้ง (Vertical) แรงดันในช่องอกจะมีสภาพวะเป็นลบ (Negative Pressure) อากาศจากภายนอกจะไหลเข้าสู่ปอด ทำให้เกิดการหายใจเข้า (Instpiration)
กระบังลม ถูกควบคุมการทำงานของ “เส้นประสาทเฟรนิค” หากมีการบาดเจ็บ หรือพยาธิสภาพของไขสันหลังระดับ C3-4-5 ขึ้นไป จะทำให้เกิดภาวะ “อัมพาตของกล้ามเนื้อกระบังลม” (Diaphragm Paralysis) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการหายใจ จนอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจไว้ตลอดเวลา
กล้ามเนื้อท้อง (Abdomenal Muscles)
1. กล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้างส่วนนอก หรือ กล้ามเนื้อ เอ็ซเทอร์นัล แอบโดมินัล ออบลีค (External Abdominal Oblique Muscle) เป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่อยู่ชั้นนอก ด้านข้างของผนังหน้าท้อง แนวใยกล้ามเนื้อจะทอดเฉียงลงไปทางด้านข้าง และเข้าด้านในของแนวกึ่งกลางลำตัวทั้งสองข้าง
จุดเกาะต้น อยู่ที่กระดูกซี่โครงคู่ที่ 5-12 (Rib 5-12)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “สันกระดูกเชิงกรานส่วนบน – หัวเหน่า – แนวเส้นขาวกึ่งกลางหน้าท้อง” (Iliac Crest – Pubic Tubercle – Linea Alba)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาททรวงอกและช่องท้อง” (Thorocoabdominal Nerve) อยู่ที่ระดับกระดูกสันหลังส่วนอกที่ 7-11 (Thoracic Spine : T7-11) และ “เส้นประสาทใต้ชายโครง” (Subcostal Nerve) อยู่ที่ระดับกระดูกสันหลังส่วนอกที่ 12 (Thoracic Spine : T12)
หน้าที่ ช่วยในการหมุนลำตัวไปทางด้านตรงข้าม ช่วยกดอวัยวะในช่องท้องช่วยในการหายใจออก ช่วยปกป้องอวัยวะภายในช่องท้องไม่ให้เกิดอันตราย
2. กล้ามเนื้อท้องด้านข้างส่วนใน หรือ กล้ามเนื้อ อินเทอร์นัล แอบโดมินัล ออบลีค (Internal Abdominal Oblique Muscle) เป็นกล้ามเนื้อหน้าทองที่อยู่ชั้นกลาง อยู่ด้านข้างของผนังหน้าท้อง ใยกล้ามเนื้อทอดเฉียงขึ้นด้านบนทั้งสองข้าง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “เอ็นขาหนีบ – สันกระดูกเชิงกรานส่วนบน – พังผืดส่วนเอว” (Inguinal Ligament – Iliac Crest – Lumbosacral Fascia)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แนวเส้นขาวกึ่งกลางหน้าท้อง” (Linea Alba) และกระดูกซี่โครงคู่ที่ 10-12
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาททรวงอกและช่องท้อง” (Thorocoabdominal Nerve) อยู่ที่ระดับกระดูกสันหลังส่วนอกที่ 6-11 (Thoracic Spine : T7-11), “เส้นประสาทใต้ชายโครง” (Subcostal Nerve) อยู่ที่ระดับกระดูกสันหลังส่วนอกที่ 12 (Thoracic Spine : T12) และ “กลุ่มเส้นประสาทสะโพก” (Lumbar Nerve) จำนวน 2 แขนงคือ “เส้นประสาทไอลิโอไฮโปแกสตริค (Ilioypogastric Nerve: L1) และ “เส้นประสาทไอลิโกอินกัวนัล (Ilioinguinal: L1)
หน้าที่ ทำงานข้างเดียวโดยช่วยหมุนแนวกระดูกสันหลังไปทางด้านเดียวกันกับที่กล้ามหดตัว ช่วยกดอวัยวะในช่องท้อง ช่วยในการหายใจออก ช่วยป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้เป็นอันตราย
3. กล้ามเนื้อหน้าท้องแนวขวางส่วนลึก หรือ กล้ามเนื้อ ทรานสเวอร์ซัส แอบโดมินิส (Transversus Abdominis Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ชั้นใน ด้านข้างของผนังหน้าท้อง และใยกล้ามเนื้อทอดขวางเข้าข้างในทั้งสองข้าง
จุดเกาะต้น เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ต่อไปนี้ คือ “สันกระดูกเชิงกรานส่วนบน – เอ็นขาหนีบ – พังผืดส่วนอกและเอว – กระดูกอ่อนซี่โครง คูที่ 7-10” (Iliac Crest – Inguinal Ligament – Thorocolumbar Fascia – Costal Cartilage 7-10)
จุดเกาะปลาย เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ “กระดูกลิ้นปี่ – แนวเส้นขาวกึ่งกลางหน้าท้อง – สันกระดูกหัวเหน่า” (Xiphoid Process – Linea Alba – Pubic Crest)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทหน้าอกและช่องท้อง T6-11” (Thoracoabdominal Nerver: T6-11)
หน้าที่ ช่วยกดอวัยวะในช่องท้อง ช่วยในการหายใจออก ช่วยป้องกันอวัยวะไม่ให้เป็นอันตราย
4. กล้ามเนื้อท้องหลัก หรือ กล้ามเนื้อ เร็คตัส แอบโดมินิส (Rectus Abdominis muscle) ถือเป็นกล้ามเนื้อหลักของกล้ามเนื้อหน้าท้อง อยู่ชิดแนวกลางของหน้าท้อง ใยกล้ามเนื้อทอดลงล่าง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “สันกระดูกหัวเหน่า” (Pubic Crest)
จุดเกาะปลาย “กระดูกอ่อนซีโครงคู่ที่ 5-7 – กระดูกลิ้นปี่ – กระดูกหน้าอก” (Costal Cartilage 5-7 – Xiphoid Process – Sternum)
เส้นประสาทที่มาควบคุม “เส้นประสาทหน้าอกและหน้าท้อง T7-11” (Thoacoabdominal Nerve: T7-11)
หน้าที่ งอแนวกระดูกสันหลังเพื่อก้มตัว ช่วยกดอวัยวะในช่องท้อง ช่วยในการหายใจออก ช่วยป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้เป็นอันตราย
กล้ามเนื้อที่ประกอบเป็นผนังด้านหลังของช่องท้อง (Posterior Group)
กล้ามเนื้อที่ประกอบกันเป็นผนังด้านหลังของช่องท้อง ประกอบด้วยกล้ามเนื้อดังต่อไปนี้
1. กล้ามเนื้อด้านหลังผนังช่องท้องมัดใหญ่ หรือ กล้ามเนื้อโซแอส มัดใหญ่ (Psoas Major Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านหลังของช่องท้อง อยู่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนสะโพก ชิ้นที่ 1-5 (Lumbar Spine 1-5 : L1-5) ช่วยในการงอสะโพก ช่วยในการออกกำลังกายในท่า “ลุกนั่ง” (Sit – Up) และช่วยในการบิดขาออกด้านนอก (External Lotation of Hip Joint)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “แง่งกระดูกสันหลังทรานสเวิร์ส” (Transverse Process) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 12 (Thoracic Spine 12 : T12) ถึงกระดูกสันหลังส่วนเอวชิ้นที่ 5 (Lumbar Spine 5: L5) และผิวด้านข้างของหมอนรองกระดูกสันหลังที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังกระดูกสันหลังระดับอกและเอว ชิ้นที่ T12– L5
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ปุ่มกระดูกต้นขาปลายบนอันเล็ก” (Lesser Trochanter) ของกระดูกต้นขา (Femur)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ แขนงทางด้านหน้าของ “กลุ่มประสาทส่วนเอว” (Lumbar Plexus: L1-L3)
หน้าที่ งอต้นขา (Thigh) และหุบขาเข้าด้านใน
2. กล้ามเนื้อด้านหลังผนังช่องท้องมัดเล็ก หรือ กล้ามเนื้อโซแอส มัดเล็ก อยู่ที่ด้านหลังของผนังช่องท้อง
จุดเกาะต้น อยู่ที่ ผิวด้านข้างของกระดูกสันหลัง (Body) และหมอนรองกระดูกสันหลัง ระดับอกชิ้นที่ 12 และ กระดูกสันหลังส่วนเอว ชิ้นที่ 1(T12-L1)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แนวเส้นเพคทิเนียล” ของกระดูกต้นขา (Femur)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ แขนงด้านหน้าของ “กระดูสันหลังส่วนเอวชิ้นที่ 1” (Lumbar Spine: L1)
หน้าที่ งอต้นขา
3. กล้ามเนื้อสะโพก (Iliacus) เกาะอยู่ที่ด้านในของกระดูกสะโพก
จุดเกาะต้น อยู่ที่ ส่วนบน 2/3 ของ “แอ่งกระดูกอุ้งเชิงกราน” (Iliac Fossa)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ปุ่มกระดูกต้นขาปลายบนอันเล็ก” (Lesser Trochanter) ของกระดูกต้นขา (Femur)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทโคนขา” (Femoral Nerve: L2-3-4)
หน้าที่ งอต้นขา หุบและหมุนขาเข้าด้านใน
กล้ามเนื้อรยางค์บน (Upper Extremities)
รยางค์ (Limb or Extremity) คือ ส่วนที่ยื่นออกจากส่วนหลักหรือลำตัวของสิ่งมีชีวิต เช่น ครีบปลา แขน ขา หนวด รวมถึงขาของสัตว์ที่มีขาเป็นปล้อง สำหรับในมนุษย์ รยางค์ หมายถึง แขน หรือขา กล้ามเนื้อรยางค์บน จึงหมายถึง กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นแขน คือ
1. กล้ามเนื้อหัวไหล่ หรือ กล้ามเนื้อเดลทอยด์ (Deltoid Muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่คลุมอยู่ตรงบริเวณข้อหัวไหล่และกระดูกต้นแขน (Humerus)
จุดเกาะต้น อยู่ที่ ผิว 1/3 ทางด้านนอกของกระดูกไหปลาร้า (Clavicle), ปุ่มกระดูกหัวไหล่ (Acromion Process) และแนวสันของกระดูกสะบัก (Spine of Scapula)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แนวเดลทอยด์” (Deltoid Tuberosity) ของกระดูกต้นแขน (Humerus)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทรักแร้ คู่ที่ 5-6” (Axillary Nerve: C5-6)
หน้าที่ คือ ทำหน้าที่กางแขน โดยยกแขนขึ้นมาข้างบนให้ได้รับดับไหล่เป็นมุมฉาก 90 องศา
2. กล้ามเนื้อลูกหนู หรือกล้ามเนื้อสองหัวของแขน หรือ กล้ามเนื้อไบเซิบส์ เบรคิไอ (Biceps Brachii Muscle) อยู่ตรงบริเวณด้านหน้าของต้นแขนทอดตัวไปยังแขนท่องล่าง
จุดเกาะต้นด้านสั้น (Short Head) อยู่ที่ “จะงอยบ่า หรือ แง่งของกระดูกสะบัก หรือ แง่งโคราคอยด์” (Coracoid Process of Scapula)
จุดเกาะต้นด้านยาว (Long Head) อยู่ที่ “ปุ่มเหนือแอ่งกลีนอยด์” (Supraglenoid Tubercle) ของกระดูกสะบัก (Scapula)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “ปุ่มนูนเรเดียส” (Radial Tuberosity) ซึ่งเป็นตำแหน่งใกล้กับส่วนลำตัว (Body) ของกระดูกเรเดียส นอกจากนี้ยังมีบางส่วนขยายออกไปเป็นเอ็นแผ่ไปเกาะกับพังผืดของบริเวณส่วนต้นของปลายแขน ซึ่งเรียกว่า “เอ็นแผ่ไบซิพิตัล” (Bicipital Aponeurosis)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทกล้ามเนื้อและผิวหนัง หรือ มัสคิวโลคิวตาเนียส ที่ 5-6” (Musculocutaneous Nerve: C5-6)
หน้าที่ คือ งอข้อศอก งอและกลางข้อไหล่ และหงายมือ
3. กล้ามเนื้อคอราโคเบรเคียลิส (Coracobrachialis Muscle) กล้ามเนื้อนี้อยู่บริเวณส่วนกลางตอนบนของต้นแขน
จุดเกาะต้น อยู่ที่ “แง่งโคราคอยด์” (Coraciod Process) ของกระดูกสะบัก (Scapula)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ ผิวด้านในของกระดูกต้นแขน (Humerus)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทมัสคูโลคิวทาเนียส” (Musculocutaneous Nerve: C5, 6, 7)
หน้าที่ ช่วยในการงอ และหุบแขน ช่วยให้ส่วนหัวของกระดูกต้นแขนอยู่ใน “แอ่งกลีนอยด์” (Glenoid Cavity) ของกระดูกสะบัก
4. กล้ามเนื้อเบรเคลียลิส (Brachialis Muscle) เป็นกล้ามเนื้อแขนที่มีความสำคัญที่สุดในการงอแขน โดยกล้ามเนื้อนี้จะเริ่มจากกระดูกต้นแขนและแทรกเข้าไปที่กระดูกแขนแขนส่วนปลายด้านใน (Ulna)
จุดเกาะต้น ผิวด้านหน้า 1/2 ของส่วนปลายกระดูกต้นแขน (Humerus)
จุดเกาะปลาย อยู่ที่ “แง่งโคโลนอย์ด” (Coronoid Process) และ “แง่งกระดูกปลายแขนด้านใน” (Tuberosity of Ulna)
เส้นประสาทที่มาควบคุม คือ “เส้นประสาทมัสคิวโลคิวทาเนียส เส้นที่ 5-6” (Musculocutaneous Nerve : C5, 6)
หน้าที่ คือ งอแขนส่วนปลาย (Forarm)
One Response