https://genetics404mps.wordpress.com/contact/
วัตถุประสงค์ของการแบ่งเซลล์
- เพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
- เพื่อทดแทนเซลล์ที่หมดอายุ
- เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธ์ุในสิ่งมีชีวิต
คำศัพท์ที่ควรทราบเกียวกับ โครโมโซม (Chromosomes)
     1. เซนโทรเมียร (Centromere) หมายถึง บริเวณรอยคอดของโครโมโซม
     2. เมธาเซนทริค โครโมโซม (Metacentric chromosome) หมายถึง โครโมโซมที่มีตำแหน่งของ เซนโทรเมียร อยู่ตรงกลาง แขนทั้งสองข้างของโครโมโซมจะเท่ากัน
     3. ซับเมธาเซนทริค โครโมโซม (Submetacentric chromosome) หมายถึง โครโมโซมทีตำแหน่งของ เซนโทรเมียร อยู่ค่อนไปทางส่วนปลายด้านใดด้านหนึ่งของ โครโมโซม ทำให้แขนของโครโมโซมยาไม่เท่ากัน คือด้านหนึ่งสั้นกว่าอีกข้างหนึ่ง
     4. อะครอเซนทริค (Acrocentric chromosome) หมายถึงโครโมโซมที่มีตำแหน่งของ เซนโทรเมียรอยู่ใกล้กับส่วนปลายของโครโมโซม
     5. เทเลเซนทริคโครโมโซม (Telecentric chromosome) หมายถึงโครโมโซมที่มีตำแหน่งของเซนโทรเมียอยู่ตรงส่วนปลายของโครโมโซม
     6. พี อาร์ม หรือ ชอร์ท อาร์ม (p arm or short arm) คือแขนของโครโมโซมที่มีขนาดสั้น
     7. คิว อาร์ม หรือ ลอง อาร์ม (q arm or long arm) คือ แขนของโครโมโซมที่มีขนาดยาว (ยาวกว่า พี อาร์ม)
     8. ดีพลอย นับเบอร์ (Diploid number:2n) หมายถึงเซลล์ที่มีโครโมโซมเหมือนกัน 2 โครโมโซม ในแต่ละชุดของโครโมโซม เช่น ในมนุษย์จะมีโครโมโซมจำนวน 46 โครโมโซม หรือจำนวน 23 คู่
     9. ฮาพลอย นับเบอร์ (Haploid number) หมายถึงเซลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมเพียง 1 โครโมโซม ในแต่ละชุดของโครโมโซมนั้น เช่น เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย (Sperm: สเปอร์ม) เซลล์สืบพันธ์ุเพศหญิง (Ovum:โอวัม) คือ จะมีโครโมโซมจำนวน 23 โครโมโซม
     10. โฮโมโลกัส โครโมโซม (Homologous chromosome) คือโครโมโซม 1 คู่ที่มีตำแหน่งของยีนควบคุมพันธุกรรม (Alleles:แอลลีล) ที่เหมือนกันแต่เป็นโครโมโซมที่มีจากแม่และพ่อ อย่างละ 1 โครโมโซม
     11. แคริโยไทพ์ (Karyotype) การจัดลำดับโครโมโซมตามขนาดและรูปร่างโดยอาศัยตำแหน่งต่างๆบนโครโมโซมเพื่อช่วยศึกษารายละเอียดของโครโมโซมแต่ละแท่ง 
     12. โลคัส (Locus) บริเวณที่อยู่บนยีน (Gene) หรือลำดับของดีเอ็นเอ ซึ่งอยู่บนโครโมโซม ในแต่ละ Locus จะนำยีนได้เพียง 2 แอลลีล เช่น AA, Aa, หรือ aa เป็นต้น
     13. แอลลีล (Alleles) หมายถึง "ยีน" ที่อยู่บนตำแหน่งเดียวกัน บนโครโมโซมคู่เหมือนกัน
      14. ซีสเตอร์ โครมาทิด (Sister chromatid) หมายถึง โครโมโซมที่ขดตัวเข้าด้วยกันจนเห็นเป็นแท่ง และมาเชื่อต่อเข้าด้วยกันตรงตำแหน่งเซนโทรเมียร์ เป็นโครโมโซม 1 คู่
     15. เซ็กส์ โครโมโซม (Sex chromosome) โครโมโซมเพศจะมี 1 คู่ เพศหญิง คือ XX สำหรับเพศชาย คือ XY
     16. ออโธโซม (Autosome) คือ โครโมโซมที่ควบคุมลักษณะทา่งพันธุกรรม ยกเว้นโครโมโซมเพศ 

วัฏจักรชีวิตของเซลล์ (The Cell Cycle)

วัฏจักชีวิตของเซลล์ หมายถึง ช่วงระยะเวลาของเซลล์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการแบ่งเซลล์ จนกระทั่วกระบวนการแบ่งเซลล์สิ้นสุดลง เซลล์ลูกที่ได้จะมีการเพิ่มขนาดจนกระทั่วมีขนาดเท่าเซลล์แม่ และเซลล์เหล่านั้นก็จะเริ่มมีการแบ่งเซลล์รอบใหม่ต่อไปอีก ทำให้เกิดเป็นลักษณะของวงจรชีวิตของเซลล์ หรือวัฏจักรของเซลล์

การแบ่งเซลล์นั้นจะมีอยู่ 2 ขั้นตอน คือ

   1) การแบ่งนิวเคลียส (Karyokinesis) สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
      1.1 การแบ่งตัวแบบไมโทซีส (Mitosis) เป็นการแบ่งตัวแบบเพิ่มเซลล์เพื่อการเจริญเติมโต เพื่อซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่ชำรุด หรือเพื่อทดแทนเซลล์ที่ตายลง เซลล์ที่แบ่งจะมีลักษณะเหมือพ่อแม่ทุกประการ และจำนวนโครโมโซมก็จะเท่ากันด้วย
      1.2 การแบ่งตัวแบบไมโอซีส (Meiosis) เป็นการแบ่ง "เซลล์สืบพันธุ์" (Sex chromosome) จะมีโครโมโซมลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของพ่อและแม่
   2) การแบ่งไซโทพลาสซึ่ม (Cytokinesis) การแบ่งระยะนี้จะเกิดขึ้นทันทีหลังระยะเทโลเฟส และจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ

1. การแบ่งนิวเคลียส (Karyokinesis)

1.1 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส

     ความสำคัญของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีส คือ
     - เพื่อเพิ่มขนาดและจำนวน เพื่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต
     - เพื่อทดแทนเซลล์ที่ตายไป
     - เพื่อซ่อมแซมส่วนที่มีการบาดเจ็บ
     - เซลล์ที่เกิดขึ้นมาใหม่ (Daughter cell) จะมีลักษณะเหมือนเซลล์แม่ (Mother cell) ทุกประการ
     - เมื่อจบกระบวนการแบ่งเซลล์จะได้เซลล์ลูกจำนวน 2 เซลล์
     การแบ่งตัวของเซลล์จะมีลักษณะแบบวัฏจักรเซลล์ (Cell cycle) ประกอบด้วยระยะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

     1.1.1 ระยะอินเทอร์เฟส (Interphase) ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 23 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
        1.1.1.1 เติบโตระยะแรก (First growth phase: G1) เป็นช่วงเวลาที่เซลล์มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าปกติ และมีการสังเคราะห์สารที่ชื่อว่า เมสเซ็นเจอ อาร์เอ็นเอ (Messenger RNA:mRNA) และ ฮีสโทน โปรตีน (Histones protein) ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง เพื่อเตรียมการแบ่งเซลล์ ในระยะนี้ยังมีโครโมโซมเท่าเดิมคือ 23 คู่ หรือ 46 โครโมโซม
        1.1.1.2 ระยะสังเคราะห์ (Synthesis phage: S) ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง เป็นระยะที่มีกระบวนการจำลอง ดีเอ็นเอ (DNA replication) จาก "DNA แม่" จนได้เป็น DNA สายใหม่ หรือเรียกว่า "DNA ลูก" คือมีการเพิ่ม DNA เป็น 2 เท่านั้นเอง
        1.1.1.3 เติบโตระยะสอง (Second growth phase: G2) ระยะนี้จะมีการเพิ่มส่วนประกอบที่จำเป็นของเซลล์ (Cytoplasm:ไซโธพลาสซึ่ม) เป็น 2 เท่าจากของเดิม เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ระยะ M phase

     1.1.2 ระยะไมโทติก เฟส (Mitotic phase: M) ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แบ่งออกเป็นอีก 4 ระยะ
        1.1.2.1 ระยะโปรเฟส (Prophase)
        1.1.2.2 ระยะเมธาเฟส (Metaphase)
        1.1.2.3 ระยะแอนาเฟส (Anaphase)
        1.1.2.4 เทโลเฟสฟ (Telophase) 

2. การแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส (Meiosis)

ภาพแสดง สรุปการแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส
     ความสำคัญของการแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส คือ
     - การแบ่งตัวแบบนี้จะเป็นการแบ่งเพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ (Sex cell) 
     - มีการแบ่งเซลล์ 2 รอบ คือ ไมโอซีส 1 และ ไมโอซีส 2
     - เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์จะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์
     - เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่จะมีโครโมโซมลดลงเหลือ 1/2 ของเซลล์พ่อและเซลล์แม่ และเมื่อเซลล์พ่อและเซลล์แม่มารวมเข้าด้วยกัน ก็จะได้เป็น 46 โครโมโซม เหมือนกับเซลล์พ่อและเซลล์แม่

       ระยะต่างๆ สามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
     1. ไมโอซีส 1 (Meiosis 1) ประกอบด้วยระยะต่อไปนี้
        1.1 ระยะอินเทอร์เฟส (Interphase)
        1.2 ระยะโปรเฟส 1 (Prophase1)
        1.3 ระยะเมทาเฟส 1 (Metaphase1)
        1.4 ระยะแอนาเฟส 1 (Anaphase1)
        1.5 ระยะเทโลเฟส 1 (Telophase1)
     2. ไมโอซีส 2 (Meiosis 2) ระยะนี้จะไม่มีระยะอินเทอร์เฟส ซึ่งประกอบด้วย
        2.1 ระยะโปรเฟส 2 (Prophase2)
        2.2 ระยะเมทาเฟส 2 (Metaphase2)
        2.3 ระยะแอนาเฟส 2 (Anaphase2)
        2.4 ระยะเทโลเฟส 2 (Telophase2)  

เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซีส จะได้เซลล์ลูกจำนวน 1 เซลล์ ซึ่งจะมีโครโมโซมเพื่อครึ่งเดียวของเซลล์แม่ นอกจากนั้นยังมีโครโมโซมที่มีลักษณะแตกต่างไปจากโครโม่โซมของเซลล์แม่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม่พี่น้องท้องเดียวกัน จึงมีลักษณะหรือหน้าตาที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง

หน้า: 1 2