
ที่มาของภาพ https://www.bbc.co.uk/bitesize/guides/z2gyrdm/revision/1
วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้แล้วผู้เรียนควรมีทักษะดังต่อไปนี้
- อธิบายลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของกระดูกอ่อนแต่ละชนิดที่พบในร่างกายได้
- ระบุตำแหน่งที่พบกระดูกอ่อนแต่ละชนิดในร่างกายได้พร้อมทั้งบอกน้าที่ที่สำคัญได้
- อธิบายลัษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของกระดูก (Bone) ได้
- บอกส่วนต่างๆ ของกระดูกยาว (Typical Long Bone) ได้อย่างถูกต้อง
- ระบบชนิดของกระดูกที่พบตามลักษณะของรูปร่างกระดูกได้
- สามารถระบุหรือบอกชื่อของกระดูกแต่ละชิ้นที่ประกอบเป็นโครงสร้างของร่างกายได้ถูกต้อง
- ระบุชนิดของข้อต่อต่างๆ ที่พบในร่างกายได้อย่างถูกต้อง
- อธฺิบายโครงสร้างของข้อต่อชนิด ซินโนเวียล (Synovial Joint) ได้
- ระบุข้อต่อชนิดซินโนเวียล ที่พบในร่างกายได้
- อธิบายการเคลื่อนไหวของข้อชนิดซินโนเวียลที่พบในร่างกายได้
หน้าที่ของระบบกระดูก
ระบบกระดูก มีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นโครงสร้างของร่างกายให้คงรูปอยู่ได้ (Body Support) เช่น เราสามารถยืนอยู่ได้ด้วยกระขาหลายชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกัน หรือเราสามารถทรงให้หลังของเราตรงได้ด้วยโครงสร้างของกระดูกสันหลัง เป็นต้น
ระบบกระดูกช่วยป้องกันอวัยวะภายใน (Organ Protection) ของเราจากการกระทบกระเทือนจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น กะโหลกศีรษะช่วยปกป้องสมองของเรา ไขสันหลังจะได้รับการปกป้องจากกระดูกสันหลัง ปอดและหัวใจมีกระดูกซีโครงและกระดูกหน้าอกช่วยปกป้องอันตราย
ระบบกระดูกจะทำหน้าที่ร่วมกับกล้ามเนื้อ (Muscle) และข้อต่อต่อ (Joint) เพื่อให้เราสามารถเคลื่อนไหว (Movement) หรือช่วยหยิบจับสิ่งของต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
นอกจากนั้นระบบกระดูกยังเป็แหล่งผลิตเม็ดเลือดชนิดต่างๆ (Hemopoiesis) เป็นแหล่งสะสมแร่ธาตุชนิดต่างๆ ที่จะเป็นในการดำรงชีวิตของเรา เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น
โครงสร้างของระบบกระดูกประกอบด้วย
- กระดูกอ่อน (Cartilages)
- กระดูกแข็ง (Bone)
- ข้อต่อ (Joints)
กระดูกอ่อน (Cartilages)

แหล่งที่มาของภาพ https://www.lybrate.com/topic/cartilage-image
กระดูกอ่อนเป็น “เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน” (Connective Tissue) ชนิดพิเศษที่ทำหน้าที่ค้ำจุน และช่วยในการเคลื่อนไหวของข้อต่อ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ “เซลล์กระดูกอ่อน” (Chondrocyte) เนื้อเยื่อเส้นใย (Fibers) และสารพื้น (Ground Substance) พวกเส้นใยกับสารพื้นที่อยู่รอบๆ เซลล์กระดูกอ่อนรวมเรียกว่า “แม็ททริซ” (Matrix) ที่มีเยื่อหุ้มกระดูกอ่อน เรียกว่า “เยื่อหุ้มกระดูกอ่อน” (Perichondium) หุ้มอยู่ภายนอก กระดูกอ่อนไม่มีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยง และไม่มีเส้นประสาทมาควบคุมการทำงาน แต่ได้รับสารอาหารและกำจัดของเสียด้วย “การแพร่” ผ่านทางแม็ททริซ จากหลอดเลือดที่อยู่ในเยื่อหุ้มกระดูกอ่อน กระดูกอ่อน มี 3 ชนิด ได้แก่

ภาพแสดงองค์ประกอบของกระดูกอ่อนไฮอะลิน ที่มาของภาพ https://www.meritnation.com/ask-answer/question/describe-hyaline-cartilage-with-the-help-of-a-diagram/tissues/7672847
1. กระดูกอ่อนไฮอะลิน (Hyaline Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนที่บได้มากที่สุดในร่างกาย โครงสร้างของ Hyaline Cartilage จะประกอบด้วยเซลล์กระดูกอ่อน หรือ “คอนโดรไซท์” (Chondrocyte) อยู่ในช่องรูปไข่ซึ่งเรียกว่า “ลาคูน่า” (Lacuna) ภายนอก ลาคูน่า จะเป็น “แม็ททริซ” (Matrix) บริเวณขอบๆ ของกระดูกอ่อนจะมี “เยื่อหุ้มกระดูกอ่อน” (Perichondrium) ซึ่งมีโครงสร้างเป็น “เนื้อเยื่อเกี่ยวพันคอลลาเจนเนื้อแน่น” (Dense Collagenous Connective Tissue)
Hyaline Cartilage มีโครงสร้างประกอบด้วย “เส้นใยคอลลาเจน” (Collagenous Fibers) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบของส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น เป็นต้น คอลาเจนที่เป็นส่วนประกอบของอวัยวะที่กล่าวมาข้างต้นจะมีโครงสร้างที่มีความหนาแน่นของแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบว่าเป็นแบบแข็งหรือแบบยืดหยุ่น สำหรับ Hyaline Cartilage จะเป็นแบบอ่อน จึงทำให้มีคุณสมบัติในการบิดงอและสามารถกลับคืนสู่รูปร่างเดิมได้ดี พบว่า Hyaline Cartilage เป็นส่วนประกอบแกนกลางลำตัวของ “ตัวอ่อนในครรภ์” (Fetus) เมื่อทารกมีการเจริญเติบโต Hyaline Cartilage จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปเป็น “กระดูกแข็ง” (Bone) ยกเว้นอวัยวะ 2 ส่วนที่ยังคงเป็นกระดูกอ่อน แม้ว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม คือ “กระดูกอ่อนที่เป็นโครงสร้างของหลอดลม” (Trachea) และ “กล่องเสียง” (Larynx)

ภาพแสดง โครงสร้างของกระดูกอ่อนชนิดยืดหยุ่นสูง (Elastic Cartilage) ที่มาของภาพ http://bodterms.weebly.com/elastic-cartilage.html
2. กระดูกอ่อนอิลาสติก (Elastic Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนชนิดที่พบได้ไม่มากนักในร่างกาย ในส่วนของแม็ททริกจะพบ “เส้นใยยืดหยุ่นสูง” (Elastic Fibers: Elastic = มีความยืดหยุ่น) ประกอบเป็นโครงสร้างแบบ “ตาข่าย” (Network) สลับไขว่กันไปมาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้กระดูกอ่อนชนิดเป็นกระดูกอ่อนที่มีความยืดหยุ่นดีที่สุด พบได้ที่ใบหู (Pinna) ฝาปิดกล่องเสียง (Epiglottis) กระดูกอ่อนรอบๆ ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหลอดคอกับหูชั้นกลาง (Eustachian Tube) รวมทั้งกระดูกอ่อนชิ้นเล็กๆ ของกล่องเสียง เป็นต้น

ภาพแสดงกระดูกอ่อนเส้นใจ หรือ ไฟโบร์คาร์ทีเลจ

ภาพแสดงหมอนรองกระดูกหัวเข่า (Menicus) ภาพจาก https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases–conditions/meniscus-tears/
3. กระดูกอ่อนเส้นใย หรือ ไฟโบรคาร์ทีเลจ (Fibrocartilage) กระดูกอ่อนชนิดนี้ประกอบด้วยเส้นใจคอลลาเจน (Collagenouse Fibers) จำนวนมาก และมีการเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้มีคุณสมบัติแข็งแรงและทนทานต่อแรงกด พบกระดูกอ่อนประเภทนี้ได้ที่ หมอนรองกระดูกสันหลัง (Tntervertebral Disc) หมอนรองข้อเข้า (Meniscus) และ ข้อต่อกระดูกหัวหน่าว (Symphysis Pubis) เป็นต้น

ภาพแสดง หมอนรองกระดูกสันหลัง (Intervertebral Disc) ภาพจาก https://sellugsk.live/product_details/13365331.html

ภาพแสดง ข้อต่อกระดูกหัวหน่าว (Pubic Symphysis) ภาพจาก https://sellugsk.live/product_details/13365331.html
คำศัพท์ที่ใช้ในการเรียกชื่อส่วนต่างๆ ของกระดูก (Descriptive Terms for Bone Parts)
- Process คือ แง่งที่ยื่นออกมาจากกระดูก ตัวอย่าง แง่งของกระดูกสันหลัง เช่น สไปนัส โปร์เซสส์ (Spinous Process) เป็นส่วนที่ยื่นออกมาทางด้านหลัง ชี้ลงทางด้านล่างของกระดูกสันหลัง และเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ มากมาย
- Spine คือ แง่งที่แหลมหรือเรียวแหลม เช่น แนวสันกระดูกสะบัก (Spine of Scapula)
- Tubercle คือ ปุ่มกระดูกเล็กๆ ของกระดูก เช่น ปุ่มกระดูกเล็กกระดูกต้นแขน (Tubercle of Humerus)
- Tuberosity คือ ปุ่มกระดูกใหญ่ของกระดูก เช่น ปุ่มกระดูกใหญ่หน้าแข้ง (Tibia Tuberosity)
- Trochanter คือ ปุ่มแง่งขนาดใหญ่ เช่น ปุ่มแง่งของกระดูกต้นขา (Trochanter of Femer)
- Condyle คือ ปุ่มกลมที่อยู่กับปุ่มกลมต่างๆ เช่น ปุ่มข้อของกระดูกต้นขา (Condyle of Femur)
- Crest คือ สันของกระดูกที่นูนขึ้นมา เช่น สันของกระดูกสะโพกส่วนหน้า (Iliac crest)
- Head คือ หัวของกระดูกซึ่งจะมีลักษณะกลมใหญ่ และติดต่อกับส่วนคอของกระดูกซึ่งจะมีลักษณะเล็กคอด เช่น หัวกระดูกต้นขา (Head of Femur)
- Holes or Depression คือ บ่อหรือรอยหวำลง ของกระดูก เช่น รอยหวำของกระดูกเหนือเบ้าตา (Supraorbital Foramen)
- Meatus หรือ Canal คือ มีลักษณะเป็นหลอด หรือท่อยาว เช่น ท่อระบายอากาศระหว่างหูชั้นกลางและโพรงอากาศด้านหลังของจมูก (Eustachian Tube)
- Fossa คือ แอ่ง หรือบ่อตื้นๆ เช่น แอ่งภายในกะโหลกศีรษะ (Cranial of Skull)
- Fissure คือ ร่อง หรือช่องแคบๆ ของกระดูก เช่น ช่องด้านหลังกระดูกเบ้าตา (Orbital Bone) เพื่อใช้เป็นทางผ่านของเส้นประสาทเพื่อควบคุมการทำงานกล้ามเนื้อและดวงตา หรือทางผ่านของหลอดเลือดเพื่อนำเลือดมาหล่อเลี้ยงดวงตา มีอยู่ด้วยกัน 2 ตำแหน่งคือ “ร่องกระดูกเบ้าด้านบน” (Superior Orbital Fissure) และ “ร่องกระดูกเบ้าตาด้านล่าง (Inferior Orbital Fissure)
- Groove หรือ Sulcus คือ ร่องตื้นๆ แต่เป็นแนวยาว ของกระดูก เช่น แนวร่องขวางของกระดูกท้ายทอยด้านใน (Internal Occipital Protuberance) เป็นร่องที่เป็นที่ตั้งของหลอดเลือดดำแนวขว้างซิกมอยด์ ไซนัส
- Foramen คือ ช่องของกระดูกที่ให้หลอดเลือด หรือเส้นประสาททอดทะลุผ่านไปได้ เช่น ช่องฐานกะโหลก (Foramen Magnum)
- Sunus หรือ Antrum หมายถึง โพรงของกระดูก เช่น โพรงอากาศด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ (Frontal Sinus)
- Acetabulum หมายถึง รอยเว้าเป็นเบ้ากลมของกระดูก เช่น เบ้ารับหัวกระดูกต้นขา (Femoral Head)
- Epicondyle คือ ปุ่มกระดูกเล็ก พบได้ในกระดูกยาว เช่น กระดูกต้นแขนส่วนปลาย จะพบได้ 2 ตำแหน่ง เรียกว่า “ปุ่มกระดูกด้านข้าง” (Lateral Epicondyle) และ “ปุ่มกระดูกตรงกลาง” (Meial epicondyle)
- Facet คือ พื้นที่แบบราบเกลี้ยงขนาดเล็ก สำหรับให้กระดูกมาประกอบกันเป็นข้อต่อ เช่น ข้อต่อของกระดูกสันหลัง (Facet Joint)
- Malleolus คือ ตาตุ่ม เป็นปุ่มกระดูกที่อยู่ส่วนล่างของขาส่วนปลาย
- Notch คือ รอยเว้าเข้าไปในกระดูก หรือสันกระดูก ทำหน้าที่รองรับกระดูกที่จะมาเชื่อมต่อกันเป็นข้อต่อ เช่น พื้นผิวข้อต่อของกระดูกอัลน่าที่เชื่อมต่อกับกระดูกเรเดียส (Radius Notch of Ulna)

ปุ่มกระดูกต่างๆ ที่สัมผัสกับผิวหนัง มีความสำคัญกับผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงนานๆ เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหากปล่อยให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในท่าเดิมนานๆ จะส่งผลให้เกิดแผลกดทับ (Pressure Sore) ได้ เนื่องจากปุ่มกระดูกจะกดลงบนที่นอน จนทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกกดทับขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง และทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อหรือเซลล์บริเวณนั้น แผลกดทับเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะรักษาหายยากมาก เกิดต้นทุนสูงในการรักษา นอกจากนั้นแผลกดทับขนาดใหญ่ จะเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ การป้องกันไม่ให้เกิดแผลกดทับนั้น ผู้ดูแลต้องพลิกตัวผู้ป่วยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และนวดผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูกที่จะกดกับที่นอน ตำแหน่งที่เกิดแผลกดทับได้ง่ายขึ้นอยู่กับท่าผู้ป่วยที่นอนบนเตียง เช่น กรณีนอนหงายจะพบแผลกดทับได้ง่ายที่บริเวณ ศีรษะด้านหลัง หัวไหล่ด้านหลัง ข้อศอกด้านข้าง ก้นกบ ส้นเท้า กรณีนอนตะแคง จะพบแผลกดทับได้บ่อยที่บริเวณ ใบหู หัวไหล่ด้านข้าง สะโพก หัวเข่าด้านข้าง ตาตุ่มด้านนอกและด้านใน (ขึ้นอยู่ว่าตะแคงด้านซ้ายหรือขวา)
การแบ่งชนิดของกระดูกตามลักษณะรูปร่าง
กระดูกในร่างกายของเราทั้งหมดจะมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันไป ตามลักษณะของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น เป็นทรงยาวบ้าง กลมๆ บ้าง หรือแบนๆ ก็มี เราจึงสามารถนำเอาความแตกต่างอันนี้มาแบ่งประเภทของกระดูกทั้งหมดในร่างกาย เพื่อความสะดวกในการศึกษานั่นเอง ซึ่งกระดูกแบ่งออกตามลักษณะสามารถแบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
- กระดูกยาว (Long Bone) เป็นกระดูกที่มีความยาวมากว่าความกว้าง ส่วนตรงกลางจะเรียวคอดลงเล็กต้อย และมีปลายของกระดูกทั้งสองข้างโตออกเล็กน้อย เช่น กระดูกต้นแขน (Humerus) กระดูกต้นขา (Femur) กระดูกหน้าแข้ง (Tibia)
- กระดูกสั้น (Short Bone) จะมีขนาดที่แตกต่างกันไป โครงสร้างภายในจะมีลักษณะคล้ายฟองน้ำเป็นส่วนใหญ่ คือ มีรูพรุน บาง และโปร่ง ภายนอกห่อหุ้มด้วยเนื้อเยื่อกระดูกแข็ง (Compact Bone Cell) เป็นชั้นบางๆ ตัวอย่างกระดูกกลุ่มนี้ คือ กระดูกข้อมือ (Corpal Bone) กระดูกข้อเท้า (Tarsal Bone)
- กระดูกแบน (Flat Bone) มีลักษณะแบนและบาง ด้านนอกห่อหุ้มด้วยเนื้อเยื่อกระดูกแข็ง (Compact Bone Tissue) ส่วนภายในจะเป็นกระดูกโปรงเป็นส่วนใหญ่ (Spongy Bone) เช่น กระดูกซี่โครง (Rib)
- กระดูกรูปแปลก (Irregular Bone) คือ กระดูกที่มีรูปร่างที่แตกต่างๆ ไปจากที่กล่าวมาแล้วข้องต้น เช่น กะโหลกศีรษะ (Skull Bone) กระดูกสันหลัง (Verterae)
- กระดูกในเอ็นกล้ามเนื้อ (Sesamoid Bone) เป็นกระดูกที่มีขนาดเล็ก ฝังอยู่ในเส้นเอ็นของกล้ามเนื้อ เช่น กระดูกสะบ้า (Patella) กระดูดเม็ดกลม (Pisiform Bone) ของกระดุกข้อมือ
ลักษณะทางมหกายวิภาคศาสตร์ของกระดูก (Gross Anatomy of Bone)

ส่วนต่างๆ ของกระดูกยาว สามารถแบ่งออกได้เป็นส่วนๆ คือ
- ไดอะไฟซีส (Diaphysis) คือ ส่วนก้าน (Shaft) หรือ ลำตัว (Body) ของกระดูกยาว
- อิพิไฟซีส (Epiphysis) คือ ส่วนปลายทั้งสองข้างของกระดูกยาย ซึ่งจะขยายบานออก
- เมตาไฟซีส (Metaphysis) คือ ส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง Diaphysis และ Epiphysis
- กระดูกเนื้อแน่น (Compact Bone) จะเป็นเนื้อกระดูกที่มีลักษณะแน่นทึบ พบได้เป็นชั้นหน้าๆ ที่ส่วนของ “ก้านกระดูก” (Diaphysis) และเป็นชั้นบางๆ ตรงส่วน “ปลายกระดูกทั้งสองข้าง” (Epiphysis)
- กระดูกเนื้อโปร่งพรุน (Spongy Bone or Cancellous Bone) เป็นเนื้อกระดูกที่มีลักษณะเป็นรูพรุน พบได้ที่ “ส่วนปลายของกระดูกทั้งสองข้าง” (Epiphysis) และพบเป็นชั้นบางๆ อยู่ทางด้านในของ “กระดูกเนื้อแข็ง” (Compact Bone) ที่ส่วนของ “ก้านกระดูก” (Diaphysis) ได้บ้าง
- โพรงกระดูกยาว (Marrow Cavity or Medullary Cavity) เป็นช่องว่างภายในกระดูกในส่วนของ “ก้านกระดูกยาว” (Diaphysis) และเป็นช่องที่อยู่ของ “ไขกระดูก” (Bone Marrow)
- อิพิไฟซีล ไลน์ (Epiphyseal Line) เป็นแนวบรรจบกันของกระดูกส่วน “ก้านกระดูกและปลายกระดูก” (Diaphysis and Epiphysis) สามารถเรียกส่วนนี้อีกชื่อว่า “แผ่นสร้างกระดูก หรือ คาร์ทิเลจ เพลท” (Epiphyseal Plate or Cartilage Plate) ซึ่งมีโครงสร้างเป็น “กระดูกอ่อนไฮอะลีน” (Hyaline Caitlage) ซึ่งมีเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวได้ ทำให้ความยาวของกระดูกเพิ่มขึ้นในขณะที่มีการเจริญเติบโตของร่างกาย เมื่อผู้หญิงอายุ 20 ปี และผู้ชายอายุ 25 ปี อิพิไฟซีล ไลน์ จะถูกแทนที่ด้วย “กระดูกแข็ง” (Compact Bone) ทั้งหมด แต่จะคงมองเห็นเป็น อิพิไฟซีล ไลน์ เท่านั้น
- หลอดเลือดแดงกระดูก (Nutrient Artery) เป็นหลอดเลือดแดงที่นำ O2 และสารอาหารเข้ามาหล่อเลี้ยงอวัยวะภายในโพรงกระดูก
- เยื่อหุ้มกระดูก (Periosteum) เป็นเยื่อหุ้มผิววด้านนอกของกระดูก ยกเว้น บริเวณปลายกระดูกที่หุ้มด้วยกระดูกอ่อน (Articular Cartilage)
- เยื่อบุโพรงกระดูก (Endosteum) เป็นเยื่อหุ้มผิวด้านในของโพรงกระดูก (Marro Cavity) ทำหน้าาที่ช่วยซ่อมแซมกรณีที่มีกระดูกหัก
- ไขกระดูกแดง (Red Bone Marrow) พบได้ในช่องว่างของ “กระดูกโปร่ง” (Spongy Bone) ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือด
- ไขกระดูกเหลือง (Yello Bone Marrow) พบได้ใน “โพรงก้านกระดูก” (Marrow Carvity) ในผู้ใหญ่ เนื่องจากไขกระดูกแดงถูกแทนที่ด้วยเซลล์ไขมันจึงทำหให้มองเห็นเป็นสีเหลือง
ลักษณะทางจุลกายวิภาคศาสตร์ของกระดูก (Histology of Bone)

ภาพแสดง จุลกายวิภาคศาสตร์ของกระดูก ที่มาของภาพ https://www.researchgate.net/figure/Bone-histology-note-the-distribution-of-strong-cortical-bone-and-the-internal-spongy_fig1_311211433
“กระดูก” (Bone) แตกต่างจาก “กระดูกอ่อน” (Cartilage) คือ กระดูกจะมีการจัดเรียงตัวของเซลล์กระดูก (Osteocyte) เป็นโครงสร้างที่เป็นระเบียบกว่ากระดูกอ่อน เรียกว่า “ฮาเวอร์เซียน ซีสเติม หรือ ออสเตียน” (Haversion System or Osteon) มีลักษณะสำคัญประกอบด้วยโครงสร้างต่อไปนี้
- ท่อฮาเวอร์เชียน (Haversian Canal) เป็นท่อทอดตัวตามความยาวของแท่งกระดูก ภายในจะมีหลอดเลือดและเส้นประสาทเข้ามาหล่อเลี้ยงภายในกระดูกท่อนี้จะแตกแขนงในแนวเฉียงหรือตั้งฉากเพื่อเชื่อมกับท่ออื่นๆ
- วงแหวนลาเมลลา (Lamella) เป็นเนื้อกระดูกที่เรียงตัวกันแบบวงแหวนซ้อนกันเป็นชั้นๆ รอบๆ ท่อฮาเวอร์เชียน โดยแต่ละวงแหวนลาเมลลา เกิดจากเซลล์กระดูกที่เจริญเติมโตเต็มที่แล้ว (Osteocyte) และ แม็ททริกซ์ มาเรียงตัวกันเป็นชั้นๆ
- ท่อคานัลลิคูไล (Canalliculi) มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆ แผ่ออกรอบๆ ลาคูนา (Lacuna) เพื่อเชื่อมติดต่อกับ ท่อฮาเวอร์เชียน และ ลาคูนา ด้วยกันเองที่อยู่บริเวณรอบๆ หน้าที่ของ ท่อคานัลลิคูไล คือ เป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนสารอาหารและของเสียระหว่างเซลล์ใน ลาคูนา (Lacuna) และหลอดเลือดใน ท่อฮาเวอร์เชียน
- ท่อโฟล์คแมนน์ (Volkmann’s Canal) เป็นท่อแคบๆ ที่นำหลอดเลือดจาก เยื่อหุ้มกระดูก (Periosteum) และ เยื่อบุโพรงกระดูก (Endosteum) ผ่านในแนวเฉียงหรือแนวขวางกับความยาวของกระดูก มาเชื่อติดต่อกันกับหลอดเลือดภภายใน ท่อฮาเวอร์เชียน (Haversian Canal))
การเกิดแรงกระแทรกต่อกระดูก อาจทำให้เกิดการแตกหักของกระดูก (Fracture) ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กและผู้สูงอายุ เมื่อเกิดกระดูกหักในเด็ก แพทย์จะทำการจัดส่วนปลายของกระดูกที่หักมาเชื่อมต่อกันในแนวปกติ เรียกวิธีนี้ว่า “ปรับแนวกระดูกโดยไม่ผ่าตัด” (Close Reduction) การติดกันของกระดูกที่หักเกิดจากมีการงอกใหม่ของหลอดเลือดบริเวณที่มีการหักของกระดูก และมี “เซลล์สร้างเส้นใย” (Fibroblast) เกิดขึ้น และสร้าง “คอลลาเจน” (Collagen) เข้ามาเกาะตัวสร้างเป็นกระดูกใหม่ขึ้นมา

ภาดแสดง กระบวนการซ่อมแซมกระดูกที่มีการแตกหัก ภาพจาก https://www.orthobullets.com/basic-science/9009/fracture-healing
กระบวนการซ่อมแซมกระดูกที่หัก ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
- ระยะเกิดลิ่มเลือด และการอักเสบ (Hematoma and Inflamation Formation) เมื่อเกิดการแตกหักของกระดูกจะส่งผลให้มีการฉีกขาดของหลอดเลือดที่อยู่ภายในและรอบๆ กระดูก ทำให้มีการตกเลือดในบริเวณรอบๆ กระดูกที่หัก ร่างกายจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการแข็งตัวของเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการสูญเสียเลือดออกจากระบบไหลเวียนโลหิตจนเป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา รวมถึงการอักเสบ (Inflamation) ในบริเวณที่มีกระดููกหัก โดยมีอาการปวด บวม ร้อน เนื่องจากมีการขยายตัวของหลอดเลือด (Vasodilatation) ทำให้มีการรั่วซึมของน้ำเหลืองออกมาจากระบบไหลเวียนเข้าสู่เนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ จะมีเม็ดเลือดขาวชนิด “นิวโทรฟิล” (Neutrophil) และ “แมคโครฟาจ” (Macrophage) เดินทางเข้ามาสู่ในบริเวณนี้ เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อแบคทีเรีย และเซลล์ที่ตายแล้วจากการบาดเจ็บ ระยะนี้จะดำเนินอยู่ระหว่าง 0-48 ชั่วโมง
- ระยะสร้างกระดูกอ่อน (Fibrocatilaginous Callus Formation) ในระยะนี้จะเริ่มมีการสร้างหลอดเลือดใหม่ (New Blood Vessels) ภายในก้อนลิ่มเลือดเพื่อสร้างเนื้อกระดูกขึ้นมาใหม่ แต่ในระยะนี้จะเป็นการสร้างใยคอลลาเจน และกระดูกอ่อนเท่านั้น และเริ่มมีการสร้าง “กระดูกพรุน” (Spongy Bone Trabeculae) ภายในลิ่มเลือดตรงบริเวณกระดูกที่หักด้วย แต่ยังไม่มีการสร้างกระดูกแข็ง
- ระยะสร้างเซลล์กระดูกแข็ง (Bony Callus Formation) ระยะนี้เป็นระยะที่มีความสำคัญมาก เป็นระยะที่มีการสร้าง “เซลล์กระดูกแแข็งที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่” (Fibro-osseous Union or Woven Bone) ซึ่งเป็นการสร้างเส้นใจคอลลาเจนขึ้น มีการประสานกันแบบไม่เป็นระเบียบ ระยะนี้จะมีความมั่นคงของรูปร่างมากกว่าระยะที่ 2 แต่ยังไม่แข็งแรงเท่ากับกระดูกปกติ ระยะนี้จะใช้เวลาประมาณ 3- 4 เดือน
- การปรับโครงสร้างกระดูกเข้าสู่ภาวะปกติ (Remodeling Stage) ระยะนี้จะมีการทำลายเซลลกระดูกที่มีการจัดเรียงตัวที่ไม่เป็นระเบียบโดยเซลล์ “ออสตีโอคลาสท์” (Osteoclasst) ในขณะเดียวกันจะมี “เซลล์ออสติโอบาสท์) (Osteoblast) ทำหน้าที่สร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ และเจริญเติบโตเต็มที่เป็นเซลล์กระดูก “ออสติโอไซต์” (Osteocytes) ซึ่งจะไม่มีการแบ่งตัวอีก ทำหน้าที่สะสมแคลเซียมไว้ในกระดูก
กระดูกหักในเด็กจะหายเร็วกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กมีจะอยู่ในวัยที่กระดูกกำลังเจริญเติบโต (Epiphyseal Plate หรือ Growth Plate) ซึ่งเป็นส่วนของกระดูกอ่อน (Cartilage) ที่อยู่ระหว่าง “อิพิไฟซีส” (Epiphysis) กับ “ไดอะไฟซีส” (Diaphysis) แต่การหักของกระดูกในเด็กหาก Epiphyseal Plate ถูกทำลายอาจส่งผลให้กระดูกส่วนนั้นมีรูปร่างที่ผิดปกติได้
ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) ในผู้สูงอายุ เกิดจากส่วนประกอบของสารอินทรีย์และอนินทรรีย์ ในกระดูกลดลง ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน คือ โครงสร้างของเนื้อกระดูกบางตัวลง กระดูกขาดความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุเกิดกระดูกหักได้บ่อย แต่จะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุเพศหญิง เนื่องจากภาวะกระดูกพรุนจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศด้วย โดยเฉพาะการขาดฮอร์โมน “เอสโตรเจน” (Estrogen) ซึ่งจะพบได้ในผู้หญิงวัยทอง คือ หลังวัยหมดประจำเดือน (Menopause) กระดูกสันหลังเป็นกระดูกชนิดหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ เมื่อเกิดภาวะกระดูกพรุนที่กระดูกสันหลัง จะส่งผลให้ความสูงของกระดูกสันหลังแต่ละชิ้นลดลง (Vertebral Body) ดังนั้นจึงส่งผลให้ความสูงของผู้สูงอายุลดลง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกแตกหักได้ง่าย และยังส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงแนวของกระดูกสันหลังที่ผิดปกติได้ด้วย เช่น ทำให้เกิดอาการหลังค่อม (Kyphosis)

ภาพแสดง การพรุน และการทรุดตัวของกระดูกสันหลังในผู้สูงอายุ ภาพจาก https://www.orthomaryland.net/blog/2019/11/osteoporosis-and-the-spine/18
โครงกระดูกในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
กระดูกที่ประกอบเป็นโครงร่างกายมีทั้งหมด 206 ชิ้น แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
- กระดูกแกน (Axial Skeleton) สีน้ำตาลอ่อนในภาพ
- กระดูกระยางค์ (Appendicular หรือ Extremities Skeleton) สีม่วงในภาพ

ภาพแสดง โครงกระดูกของร่างกายมนุษย์ ภาพจาก https://open.oregonstate.education/aandp/chapter/7-1-divisions-of-the-skeletal-system/
กระดูกแกน (Axial Skeleton)
กระดูกแกน คือ กระดูกพวกที่ประกอบเป็นส่วนแกนกลางของร่างกาย มีอยู่ 7 กลุ่ม ได้แก่
1. Cranial Bones หรือ กระดูกกะโหลกศีรษะ
ประกอบด้วยกระดูก 8 ชิ้น ได้แก่
1.1 Frontal Bone คือ กระดูกหน้าฝาก มีจำนวน 1 ชิ้น เป็นกระดูกรูปร่างแบน แรกคลอดจะมี 2 ชิ้น ต่อมาภายหลังจะเชื่อมติดเป็นชิ้นเดียวกัน กระดูกชิ้นนี้ประกอบขึ้นเป็นกระดูกหน้าผากและกระดูกขอบบนของกระบอกตา (Orbit) ด้านหลังเชื่อมต่อกับกระดูกกะโหลกศีรษะ (Parietal Bone) ทั้งสองชิ้นด้วย “รอยประสานโคโรเนล” (Coronal Suture) ภายในกระดูกมีโพรงอาการ (Sunus) เรียกว่า “โพรงอากาศฟรอนทัล” (Frontal Air Sinus) ช่วยให้กระดูกนี้มีน้ำหนักเบา และผลิตเมือกช่วยทำความสะอาดโพรงจมูก และช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับโพรงจมูก
1.2 Parietal Bone คือ กระดูกด้านข้างศีรษะ มีจำนวน 2 ชิ้น ข้างซ้ายและขวาของศีรษะ อยู่ต่อไปทางด้านหลังของกระดูกฟรอนทัล (Frontal Bone) ด้านหลังจะเชื่อต่อกับกระดูกท้ายทอย (Occipital Bone) ด้วย “รอยประสานแลมบ์ดอย” (Lambdoidal Suture) ด้านขางเชื่อกับกระดูกขมับ (Temporal Bone) ด้วย “รอยประสานสแควมัส” (Squamous Suture) กระดูกพาไรทัล ทั้ง 2 ชิ้น ประกอบกันเป็นเพดานด้านบนของกะโหลกศีรษะ

ภาพแสดง กระดูกที่ประกอบกันเป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์ ภาพจาก https://www.theskeletalsystem.net/cranial-bones
1.3 Temporal Bone คือ กระดูกขมับ มีจำนวน 2 ชิ้น เป็นกระดูกชนิด “กระดูกรูปร่างไม่แน่นอน” (Irregular Bone) หมายความว่า เป็นกระดูกที่ไม่สามารถจัดเข้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามชนิดของกระดูกได้ เช่น กระดูกยาว หรือกระดูแบน เป็นต้น โดยแต่ละชิ้นจะอยู่ถัดลงมาทางด้านข้างของกระดูกด้านข้างศีรษะ (Parietal Bone) โดยมี “รอยประสานกระดูกสแควมัส” (Squamous Suturre) เชื่อกระดูกทั้งสองไว้ดวยกัน ส่วนด้านหลังจะเชื่อต่อกับกระดูกท้ายท้อย (Occipital Bone) ด้านหน้าเชื่อมต่อกับบบางส่วนของกระดูกรูปผีเสื้อ (Sphenoid Bone) ส่วนล่างของกระดูกขมับ จะเป็นที่ตั้งของรูหู (External Auditory Meatus) และส่วนล่างที่ต่อจากรูหูจะมีปุ่มกระดูกยื่นลงด้านล่าง เรียกว่า “ปุ่มกกหู” (Mastoid Process)
1.4 Occipital Bone คือ กระดูกท้ายทอย มีจำนวน 1 ชิ้น เป็นกระดูกที่ประกอบเป็นผนังและเป็นบางส่วนของกระดูกฐานของกะโหลกศีรษะ ด้านหน้าต่อกับกระดูกด้านข้างศีรษะ (Parietal Bone) โดยมีรอยประสานกระดูกแลมบ์ดอย (Lambdoidal Suture) เป็นตัวเชื่อมกระดูกทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ส่วนลางของกระดูกท้ายทอยจะเชื่อมต่อกับกระดูกขมับ (Temporal Bone) ด้วยรอบประสานกระดูกสแควมัส (Squamous Suture) ส่วนหน้าของกระดกต่อกับกระดูกรูปผีเสื้อ (Sphenoid bone) ระหว่างรอยต่อของกระดูกทั้ง 2 มีรูกลมขนาดใหญ่เรียกว่า “ช่องโพราเมน” (Forament Magnum) ซึ่งเป็นช่องทางให้ก้านสมองผ่านไปเชื่อมต่อกับไขสันหลัง

ภาพแสดง ส่วนประกอบของกระดูกชิ้นต่างๆ ของกะโหลศีรษะ (ภาพตัดขวาง) ภาพจาก https://x.com/Daniel_Cezar19/status/1047136839004372994
1.5 Sphenoid Bone คือ กระดูกรูปฝีเสื้อ มีจำนวน 1 ชิ้น กระดูกชิ้นนี้ถือเป็นอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม “กระดูกรูปร่างไม่แน่นอน” (Irregular Bone) ประกอบเป็นส่วนฐานของกะโหลกศีรษะ ตัวกระดูกมีลักษณะคลายกับผีเสื้อ หรือ ค้างคาวกลางปีกทั้ง 2 ข้าง ตรงกลางมีร่องเป็นแอ่งสำหรับเป็นที่แยู่ของต่อมใต้สมอง เรียกตำแหน่งนี้ว่า “เซลลา เทอร์ซิกา” (Sella Turecica) ส่วนที่เป็นหัวของกระดูกผีเสื้อเชื่อมต่อกับกระดูกขื่อจมูก (Ethmoid Bone)
1.6 Ethmoid Bone คือ กระดูกขื่อจมูก เป็น “กระดูกรูปร่างไม่แน่นอน” (Irregular Bone) อีกหนึ่งชิ้น มีจำนวน 1 ชิ้น ประกอบเป็นฐานด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ เป็นส่วนเพดานบนของช่องจมูกและพื้นล่างของกระบอกตาทั้ง 2 ข้าง ตัวกระดูกมีรูพรุน ตรงกลางด้านบนเป็นสันกระดูกนูนเรียกว่า “คริสตา กัลลิ” (Crista Galli) ด้านข้างเป็นแผ่นกระดูก 2 แผ่น ยื่นเข้าไปในโพรงจมูกเรียกว่า “คอนชา” (Concha) มีส่วนสำคัญในการช่วยชะลอความรวดเร็วของอากาศที่สูดหายใจเข้า และเพื่อให้อากาศมีความชุ่มชื่นก่อนเข้าสู่ปอด

“ทัดดอกไม้” (Pterion: เทอร์เรี่ยน) เป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือหูเยื่องไปข้างหน้าเล็กน้อย จะเป็นตำแหน่งที่เปาะบางมากที่สุดของกะโหลกศีรษะ ซึ่งเป็นบริเวณรอยต่อของ “กระดูกหน้าผาก” (Frontal Bone) “กระดูกด้านข้างศีรษะ” (Parietal Bone) “กระดูกขมับ” (Ttmporal Bone) และ “กระดูกรูปผีเสื้อ” (Sphnoid Bone) หากมีการกระทบกระเทือนบริเวณนี้จะทำให้มีการแตกหักของกระดูกได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะทำให้ “หลอดเลือดแดงหล่อเลี้ยงเยื่อหุ้มสมอง” (Middle Meningeal Artery) เกิดการฉีกขาด และทำให้มีการตกเลือดในสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
2. Facial หรือ กระดูกใบหน้า
ประกอบด้วยกระดูกจำนวน 14 ชิ้นน ได้แก่กระดูกดังต่อไปนี้
2.1 Nasal Bones คือ กระดูกสันจมูก มีจำนวน 2 ชิ้น มีลักษณะแบนขนาดเล็ก ประกบคู่กัน 2 ชิ้น
2.2 Lacrimal Bones คือ กระดูกถุงน้ำตา เป็นกระดูกรูปร่างแบน 2 ชิ้น ประกอบกันเป้นผนังเบ้าตาทางด้านในที่ชิดกับจมูกข้างละชิ้น แต่ละชิ้นต่อกับกระดูกหน้าผาก กระดูกขากรรไกรบน และกระดูกขื่อจมูก
2.3 Zygomatic Bones คือ กระดูกโหนกแก้ม “เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน” (Irregular Bones) แต่ละชิ้นต่อกับกระดูกหน้าผากและขากรรไกรบน ประกอบเป็นผนังด้านข้างของกระบอกตา กระดูกโหนกแก้มแต่ละชิ้นจะมีแง่งกระดูกโค้งงอไปด้านหลังต่อกับแง่งกระดูกที่ยื่นออกมาทางด้านหน้า เรียกส่วนนี้ว่า “ไซโกมาติก อาร์ช หรือ กระดูกแก้ม” (Zygomatic Arch หรือ Cheek Bones)
2.4 Maxilla คือ กระดูกขากรรไกรบน เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน (Irregular Bone) 2 ชิ้น เชื่อมต่อกันเป็นที่ฝังของฟันทั้งหมด กระดูกขากรรไกรบนจะเชื่อมต่อกับกระดูกใบหน้าทุกชิ้น ยกเว้นกระดูกขากรรไกรล่าง และประกอบเป็นพื้นล่างของกระบอกตา ด้านข้างของโพรงจูกและด้านหน้าของเพดานปาก
2.5 Inferior Concha คือ กระดูกก้นหอยโพรงจมูกชิ้นล่าง ประเภทกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน (Irregular Bones) 2 ชิ้น ยื่นออกมาทางด้านข้างของโพรงจมูก มีข้างละชิ้น คลายหิ้งวางของ ทำหน้าที่ช่วยชะลอความเร็วของอากาศที่หายใจเข้า และเกิดการหมุนวนของอากาศภายในโพรงจมูก ทำให้อากาศเพิ่มความชื่นและอุณหภูมิก่อนไหลเข้าสู่ปอด นอกจากนั้นยังช่วยให้รับโมเลกุลของกลิ่นจับกับตัวรับกลุิ่นได้เพิ่มขึ้นทำให้เราสามารถรับกลิ่นได้ดีขึ้นอีกด้วย
2.6 Vomer Bones คือ กระดููกกั้นโพรงจมูก เป็นกระดูกแผ่นบางๆ ชิ้นเดียว อยู่กึ่งกลางด้านล่างลึกเข้าไปในโพรงจมูก ทำหน้าที่กั้นโพรงจมูกออกเป็นซีกซ้ายและซีกขวา
2.7 Mandible คือ กระดูกขากรรไกรล่าง เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน มีชิ้นเดียวโค้งงอคล้ายรูปตัวยู ในลักษณะวางนอนราบขนานกับพื้น มีปลายโค้งงอขึ้น ปลายบนสุดแตกออกเป็นแง่งข้างละ 2 อัน อันหน้าเรียกว่า “แง่งโคโรนอด์ย” (Coronoid Process) อันหลังเรียกว่า “แง่งคอนไดล่า” (Condylar Process) มีไว้สำหรับเป็นข้อต่อกับ “แอ่งข้อต่อกระดูกขากรรไกร” (Mandibular Fossa) ของกระดูกขมับ (Temporal Bone)
2.8 Palatine Bones คือ กระดูกเพดานปาก เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน มี 2 ชิด ประกอบกันเป็นส่วนหลังของเพดานแข็งในปาก (Hard Palate) ด้านหน้าต่อกับขากรรไกรบนหรือ

3. Auditory หรือ Ear Ossicles คือ กระดูกหู
กระดูกหู เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน มีจำนวน 6 ชิ้น อยู่ในหูชั้นกลาง (Middle Ear) ข้างละ 3 ชิ้น ประกอบด้วย กระดูกฆ้อน (Malleus) กระดูกทั่ง (Incus) และกระดูกโกลน (Stapes) ช่วยทำหน้าาที่ในการส่งผ่านคลื่นเสียงไปยังหูชั้นใน แล้วส่งต่อไปยังระบบประสาทการได้ยิน หากมีการชำรุดของกระดูกส่วนนี้จะทำให้สูญเสียการได้ยินในระดับกลางถึงระดับรุนแรงได้
ตำแหน่งของกระดูกหูจะมีการเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นนอกและหูชั้นใน ทั้ง 3 ชิ้นจะมีการเชื่อมต่อกันเรียงลำดับดังนี้
- กระดูกฆ้อน (Malleus หรือ Hammer) ปลายด้านหนึ่งจะยึดติดกับเยื่อแก้วหู (Tympanic Membrane or Eardrum) ซึ่งเป็นส่วนที่รับคลื่นเสียงจากภายนอกที่ผ่านเข้ามายังหูชั้นนอก ทำให้กระดูกค้อนได้รับแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงได้ และปลายอีกข้างของกระดูกค้อนจะเชื่อมต่อกับปลายด้านหนึ่งของกระดูกทั่ง
- กระดูกทั่ง (Incus หรือ Anvil) ปลายด้านหนึ่งจะเชื่อมต่อกับกระดูกฆ้อน ส่วนปลายอีกด้านจะเชื่อมต่อกับกระดูกโกลน โดยจะทำหน้าที่ทั้งรับและส่งแรงสั่นของคลื่นเสียง
- กระดูกโกลน (Stapes หรือ Fenestra Ovalis) ปลายด้านหนึ่งเชื่อต่อกับกระดูกทั่ง และปลายอีกด้านหนึ่งจะเชื่อมต่อกับ “แผ่นของช่องรูปไข่” (Oval Window หรือ Fenestra Ovalis) ซึ่่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน ทำหน้าที่รับและส่งคลื่นเสียงด้วยเช่นกัน

4. Hyoid Bone หรือ Lingual Bone คือ กระดูกโคนลิ้น
กระดูกโคนลิ้น เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน มีจำนวน 1 ชิ้น มีลักษณะคล้ายรูป “ตัวยู” (U) อยู่ที่คอใต้โคนลิ้นและอยู่เหนือกล่องเสียง เป็นกระดูกชิ้นเดียวของร่างกายที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับกระดูกใดๆ เลย ลอยตัวอยู่ได้โดยอาศัยเอ็นที่มีชื่อว่า “เอ็นสไตโลไฮออยด์” (Stylohyoid Ligament) ขึงไว้กับ “แง่งสไตลอยด์” (Styloid Process) ของกระดูกขมับ (Temporal Bone) ทั้ง 2 ข้าง ทำหน้าที่ช่วยค้ำจุนโคนลิ้น
กระดูกโคนลิ้น ประกอบด้วยส่วนต่างๆ 5 ส่วน คือ
- ตัวกระดูกโคนลิ้น (Body of Hyoid Bone)
- กิ่งใหญ่ (Greater Cornu) มี 2 ข้าง
- กิ่งเล็ก (Lesser Cornu) มี 2 ข้าง

ภาพแสดง โครงสร้างของกระดูกโคนลิ้น และกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง
5. Vertebrae คือ กระดูกสันหลัง
เป็นกระดูกรูปร่างไม่แน่นอน ในเด็กมีจำนวน 33 ชิ้น ผู้ใหญ่มี 26 ชิ้น ทั้งนี้เพราะกระดูกสันหลังบางส่วนในผู้ใหญ่เชื่อมติดกันเป็นชิ้นเดียวกัน กระดูกสันหลังที่เรียงกันเป็นแถวตามลำดับเรียกว่า “เวอร์ทิบรัล คอลัมน์” (Vertebral Column) หรือ “แนวกระดูกสันหลัง” ลักษณะทั่วไปของกระดูกสันหลัง มีดังต่อไปนี้

5.1 Vertebral Body เป็นแกนกลาง และเป็นส่วนหน้าของกระดูกสันหลัง เป็นส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกาย มีลักษณะเป็นแท่งสั้นๆ พื้นที่ด้านบนและด้านล่างจะเชื่อมต่อกับหมอนรองกระดูกสันหลัง (Vertebral Disk)
5.2 Vertebral or Neural Arch คือ ส่วนของกระดูกสันหลังที่ยื่นออกไปทางด้านหลังของ Vertebral Body ประกอบด้วย “หัวขั้ว หรือ ก้านกระดูก” (Pedicle) 2 ข้าง ที่ต่อมาจาก Body และ “แผ่นประสาน” (Lamina) ที่เชื่อมก้านกระดูกเข้าด้วยกัน
5.3 Vertebral Foramen หรือ ช่องกระดูกสันหลัง เกิดจากการประกอบเข้าด้วยกันของ Vertebral Body และ Neural Arch ซึ่งเมื่อนำกระดูกสันหลังแต่ละชิ้นมาประกอบกันเป็น Vertebral Column แล้ว ช่องกระดูกสันหลังจะต่อเนื่องกันเป็นช่องซึ่งเป็นที่อยู่ของไขสันหลัง (Spinal Cord) ซึ่งเราเรียกช่องนี้ว่า “ช่องไขสันหลัง” (Spinal Canal or Vertebral Canal) ขนาดและรูปร่างของ Spinal Canal จะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับระดับของกระดูกสันหลังแต่ละส่วน
ขอบล่างของ Pedicle มีแอ่งลึก เรียกว่า “ล่องกระดูกสันหลังส่วนล่าง” (Inferior Vertebral Notch) และขอบด้านบนมีแอ่งตื้นกว่า เรียกว่า “ล่องกระดูกสันหลังส่วนบน” (Superior Vertebral Notch) ทั้งแอ่งส่วนบนและแอ่งส่วส่วนล่างของกระดูกสันหลัง 2 ชิ้นที่อยู่ติดกันจะประกกอบกันขึ้นเป็น “ช่องข้างกระดูกสันหลัง” (Intervertebral Forament) ซึ่งเป็นทางผ่านของเส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal Nerve Root) และหลอดเลือด
5.4 Spinous Process คือ แง่งกระดูกที่ยื่นออกมาจากกระดูกสันหลัง มีลักษณะแหลม ยื่นไปทางด้านหลังจากตรงกลางของ Lamina 2 ข้างที่มาเชื่อมกัน
5.5 Transverse Process คือ แง่งกระดูกแหลมที่ยื่นออกไปทาง “ด้านข้างเยื่องไปทางด้านหลัง” (Postero-lateral) จากตรงรอยต่อระหว่าง Pedicle กับ Lamina ทั้งสองข้าง
5.6 Articular Porcess คือ แง่งของกระดูกที่ยื่นออกจากรอยต่อระหว่าง Pedicls กับ Lamina แง่งที่ยื่นขึ้นด้านบนเรียกว่า “ซูปพีเรีย อาร์ทิคูล่า โปรเซสส์” (Superior Articular Process: Superior คือ ส่วนบน) ส่วนแง่งที่ยื่นลงด้านล่างเรียกว่า “อินฟีเรีย อาร์ทิคูล่า โปรเซสส์” (Inferior Articular Process: Inferior คือ ส่วนล่าง) โดยข้อต่อทั้งสองจะเป็นแบบ “ข้อต่อชนิดเชื่อด้วยถุงน้ำไขข้อ” (Synovial Joint) ได้แก่ ข้อหัวไหล่, ข้อศอก, ข้อมือ, ข้อตะโพก, ข้อเข่า, ข้อเท้า และข้อที่มีการเคลื่อนไหวได้มาก ๆ

ภาพแสดง กระดูกสันหลังส่วนต่างๆ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละระดับ
การจำแนกกระดูกสันหลัง สามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
– Cervical Vertebrae คือ กระดูกสันหลังส่วนคอ ใช้อักษรย่อด้วยตัวซี (C ย่อมาจาก Cervical หมายถึง คอ) มีทั้งหมด 7 ชิ้น โดยแต่ละชิ้นที่ต่ำกว่าระดับ C2 ลงมาจะมี “หมอนรองกระดูก” แทรกระหว่างกระดูกคอแต่ละชิ้น กระดูกสันหลังส่วนคอ ระดับ C3, C4, C5 และ C6 ถือว่าเป็น Typical Cervical Vertebrae คือ มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ ส่วนระดับ C1, C2 และ C7 เป็น Atypical Cervical Vertebrae คือ มีลักษณะทั่วไปที่แตกต่างไปจากกระดูกสันหลังส่วนอื่นๆ
Typical Cervical Vertebrae (รูปซ้าย) จะมีลักษณะเฉพาะ คือ เป็นกระดูกสันหลังที่่มี Body เป็นรูปกลมรี ด้านข้างของ Body มีแง่งกระดูกยื่นออกมาเล็กน้อยเรียกว่า “Uncinate Process” ซึ่งเป็นส่วนที่จะไปเชื่อมต่อกับกระดูกชิ้นที่อยู่เหนือขึ้นไป เรียกว่า “ข้อต่อของลุสช์คา” (Joint of Luschka) ที่ Transverse Process จะมีรูที่เรียกว่า “ทรานสเวิร์ส โพราเมน” (Transverse Foramen) ซึ่งเป็นทางผ่านของหลอดเลือดแดง ที่ชื่อว่า “เวอร์ทิบรัล อาร์เทอร์รี” (Vertebral Artery) นอกจากนี้ยังพบว่า Typical Cervical Vertebrae จะมี Spinous Process ที่มีลักษณะเป็น 2 แฉกอีกด้วย (ฺBifid Spinous Process)
Atypical Cervical Vertebrae (รูปซ้าย) ได้แก่ กระดูก Atlas หรือกระดูกสันหลังส่วนคอ ชิ้นที่ 1 (C1) ซึ่งประกอบด้วย Anterior และ Posterior Arch ไม่มีส่วน Body มี Superiorr Articula Facet ที่ต่อกับ Occipital Condyle และ Inerior Artcular Facet ต่อกับกระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 2 (Axis-C2)
The Axis หรือ กระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 2 (C2) มีส่วนต่อจาก Body ไปทางด้านบน เรียกว่า “เดนส์” (Dens) หรือ “แง่งโอดอนทอยด์” (Odontoid Process) ซึ่งจะไปต่อกับผิววงแหวนด้านหน้าของ กระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 1 (Atlas-C1) ด้านหลังมี Spinous Process ที่ยาวและปลายเป็น 2 แฉก

ภาพแสดง Atypical Cervical Vertebrae (ซ้าย) และ Typical Cervical Vertebrae (ขวา)
กระดูกสันหลังส่วนคอ ชิ้นที่ 7 (C7) มีส่วนต่อจาก “แง่งสไปนัส” (Spinous Process) ที่ยาวและไม่มีแฉก ที่ปลายสามารถคำได้เป็นปุ๋มนูนสูงที่บริเวณฐานของคอ เรียกว่า “เวอร์ทิบรัล โปรมิแนนซ์” (Vertebral Prominence) จากภาพด้านล่างซ้ายมือ จะแสดงเป็นมุ่มมองด้านบน (Superior View) ส่วนภาพทางขวาจะเป็นมุมมองทางด้านข้าง (Lateral View) สำหรับคำว่า “คอร์ปัส” (Corpus) มีความหมายเดียวกับคำว่า “บอดี้” (Body)

ภาพสดง กระดูกสันหลังส่วนคอ ชิ้นที่ 7 ภาพจาก https://c10.beauty/cervical-vertebrae-anatomy-c7
– Thoracic Vertebrae คือ กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic ใช้อักษรย่อว่า “T”) ประกอบด้วยกระดูกจำนวน 12 ชิ้น ซึ่งมีขนาดโตขึ้นเรื่องๆ จากระดับบนไปสู่ระดับล่าง ที่ด้านข้างของ Vertebral Body จะมีข้อต่อของกระดูกสันหลัง (Facet) ที่ต่อกับกระดูกซี่โครง Vertebral Body ของกระดูกสันหลังระดับอก T1-T4 จะมีรูปร่างคลายกับ Vertebral Body ของกระดูกสันหลังส่วนอกที่ T5-T8 ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหัวใจ และระดับ T9-T12 จะมีรปร่างคล้ายสามเหลี่ยมหรือรูปไต ความสูงด้านหน้าของ Body จะน้อยกว่าความสูงด้านหลังของ Body ประมาณ 1-2 มม. ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนอกมีลัษณะโค้งไปทางด้านหลัง

ภาพแสดง กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic Vertebral) ภาพจาก https://www.researchgate.net/figure/Illustration-of-thoracic-vertebrae-showing-vertebral-body-pedicles-facets-transverse_fig2_323804926

ภาพแสดง กระดูกสันหลังส่วนเอว ที่มาของภาพ https://www.theskeletalsystem.net/spine-vertebral-column/lumbar-vertebrae.html
– Lumbar Vertebrae คือ กระดูกสันหลังส่วนเอว ใช้อักษร “L” (Lumbar) ประกอบด้วยกระดูกจำนวน 5 ชิ้น มีขนาดใหญ่และหนัก Vertebral Body ของกระดูกสันหลังส่วนเอว มีรูปร่างคล้ายไตเมือมองจากด้านบน ในกระดูกสันหลังส่วนเอว มีส่วนของ Neural Arch ที่อยู่ระหว่าง Superior และ Inferior Artcular Process เรียกว่า “พารสฺ์ อินเตอร์แรคูลารีส” (Pars Interarticularis) ซึ่งเป็นส่วนที่แคบและอ่อนแอกว่าส่วนอื่น
เราจะพบความผิดปกติของกระดูกสันหลังได้ เมื่อมีอายุมากขึ้น เช่น ภาวะกระดูกเสี่อม (Spondylolysis) ซึ่งส่วนที่จะพบอาการเสื่อมได้มากที่สุดคือ กระดูกสันหลังระดับเอว ตรงบริเวณที่เรียกว่า่ “พารสฺ์ อินเตอร์แรคูลารีส” (Pars Interarticulars)
ภาวะ “สปอนไดโลลีสทีซีส” (Spondylolisthesis) คือ ภาวะที่มีการเสื่อมและการเคลื่อนตัวของแนวกระดูกสันหลัง ซึ่งทำให้มีโอกาสเกิดการกดทับของไขสันหลัง และเส้นประสาทไขสันหลังได้มาก การกดทับไขสันหลงและเส้นประสาทไขสันหลังจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังที่รุนแรง และถ้าเป็นรุนแรงอาจจะทำให้กล้ามเนื้อที่เส้นประสาทไขสันหลังไปเลี้ยงเกิดการอ่อนแรง (Weakness) ฝ่อลีบ (Atrphy) จนถึงขั้นเป็นอัมพาต (Paralysis) ได้
ในผู้ป่วยที่มีปัญหาของการเสื่อมของแนวกระดูกสันหลัง ควรมีการดูแลและปฏิบัติตัวเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้นที่รุนแรง เช่น การลดน้ำหนัก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงาน ระวังเรื่องของการยกของหนักซึ่งจะส่งผลต่อการบาดเจ็บต่อกระดูกสันหลัง ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข้งแรงของกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อหน้าท้อง ในบางรายอาจต้องรักษาด้วยวิธีการทำกายภาพบำบัดร่วมกับการใส่อุปกรณ์พยุงแนวกระดูกสันหลัง (LS Support)

ภาพแสดง หมอนรองกระดูกยื่นกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ภาพจาก https://www.mountsinai.org/health-library/diseases-conditions/herniated-disk
หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน (Herniated Nucleus Pulposus: HNP) โครงสร้างของหมอนรองกระดูก (Intervertebral Disc) ประกอบด้วย “นิวเคลียส” (Nucleus) อยู่ตรงกลาง จะมีลักษณะยืดหยุ่นและรอบนอกหุ้มเป็นชั้นๆ (Annulus Fibrosus) ด้วย “เนื้อเยื่อชนิดหน้าแน่น หรือเนื้อเยื่อเส้นใย” (Fibrous Connective Tissue) ซึ่งมีความเหนียวพันรอบๆ นิวเคลียส เป็นชั้นๆ เมื่อมีการกดทับลงบนหมอนรองกระดูกสันหลังที่มากเกินไป เช่นในคนอ้วน คนที่ทำงานยกของหนังในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ (Annulus Fibrousus) ที่หุ้มรอบๆ นิวเคลียส ส่งผลให้ “นิวเคลียส พัลโปซัส” (Nucleus Pulposus) ยื่นออกมาภายนอก การยื่นออกมาของ Nucleus Pulposus หากยื่นไปทางด้านหลังหรือด้านข้าง ก็จะทำให้เกิดการกดทับไขสันหลัง หรือเส้นประสาทไขสันหลังได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลัง ร่วมกับมีอาการปวดร้าว (Referred Pain) ไปตามบริเวณผิวหนังที่เส้นประสาทนั้นไปเลี้ยง (Dermatome)
– Sacrum คือ กระดูกกระเบนเหน็บ ใช้อักษร “S” เป็นกระดูกขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นสามเหลี่ยมคล้ายลิ่ม (Triangular Wedge Shape) ตอนเป็นเด็กจะประกอบด้วย กระดูก 5 ชิ้น แต่เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จะเชื่อมติดกันเป็นชิ้นเดียว มีลักษณะที่เกิดจากการเชื่อกันดังนี้
Sacral Canal เป็นช่องทางรูปสามเหลี่ยมที่ต่อจาก “โพรงกระดูกสันหลัง หรือโพรงประสาท” (Spinal Canal) ของกระดูกสันหลังส่วนเอว และเป็นที่อยู่ของรากประสาทไขสันหลังระดับเองกับระดับกระเบนเหน็บที่เรียกว่า
Sacral Foramina เป็นรูที่อยู่ทางด้านหน้าและด้านหลังของ กระดูกกระเบนเหน็บ (Sacrum) ต่อมาจาก Sacral Canal รูทางด้านหน้า (Ventral Sacral Foramina) ซึ่งเป็นทางออกของแขนงประสาทไขสันหลังทางด้านหน้า (Ventral Rami of Spinal Nerve) ส่วนรูทางด้านหลัง (Dorsal Sacral Foramina) เป็นทางออกของแขนงไขสันหลังทางด้านหลัง (Dorsal Rami) ขนาดของ Ventral Sacral Foramina จะมีขนาดใหญ่กว่า Doral Sacral Foramina
Median Crest เป็นสันในแนวกลางทางด้านหลัง บนสันมีปุ่ม Spinous Tubercle ที่เกิดจากการเชื่อมกันของ Spinal Process
Inermediate Sacral Crest เป็นสันต่ำๆ ขนาบอยู่ด้านข้าง Median Sacral Crest ชิดขอบในของ Dorsal Sacral Foramina เป็นสันที่เกิดจากการเชื่อมกันของ Artcular Process
Lateral Sacral Crest เป็นสันขรุขระขนาบอยู่สองข้างถัดออกไปจาก Dorsal Sacral Foramina บนสันมีปุ่มเรียกว่า Transverse Tubercle
Transverse Ridge มี 4 แนวขวาง มองเห็นจากด้านหน้าของกระดูกกระเบนเหน็บ เกิดจากรอยต่อของ Bodies
Pars Lateralis มีลักษณะแผ่ออกไปด้านข้างทั้งสองข้างด้านบนจะหนาและกว้างกว่าเรียกว่า “อลา อ๊อฟ ซาครัม” (Ala of Sacrum)
Sacral Promontary เป็นขอบด้านหน้า Body ของ S1 ที่ยื่นนูนออกมา

ภาพแสดง ลักษณะและตำแหน่งของกระดูกก้นกบ ภาพจาก https://coreem.net/core/sacral-fractures/
– Coccyx หรือ Tailbone คือ กระดูกก้นกบ เป็นกระดูกสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ต่อจากกระดูกกระเบนเหน็บ (Sacrum) หรืออยู่ปลายสุดของกระดูกสันหลัง ในเด็กจะประกอบด้วยกระดูก 4 ชิ้น แต่ในผู้ใหญ่จะมีการเชื่อมติดต่อกันเหลือเพียงชิ้นเดียว
ความสำคัญของกระดูกก้นกบ คือ เป็นกระดูกส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกายเวลาที่เราอยู่ในท่านั่งบนพื้นหรือบนเก้าอี้ ดังนั้นหากเรามีการบาดเจ็บที่กระดูกก้นกบ จะส่งผลให้เรามีอาการเจ็บปวดเวลาที่เราอยู่ในท่านั่ง นอกจากนั้นกระดูกก้นกบยังเป็นุดเกาะของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณอุ้งเชิงกรานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีการอักเสบของกระดูกก้นกบก็จะทำให้มีอาการปวดเวลาถ่ายอุจจาระได้อีกด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการหักหรืออักเสบของกระดูกก้นกบพบได้หลายสาเหตุ คือ หกล้มก้นกระแทรกพื้น นั่งผิดท่าเป็นเวลานานโดยเฉพาะการนั่งเอนตัว การหดเกร็งของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Muscle Spasm) การติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน เนื้องอกบริเวณกระดูกก้นกบ เป็นต้น
ซึ่งอาการที่พบได้จากการอักเสบ หรือการบาดเจ็บของกระดูกก้นกบ คือ กดเจ็บบริเวณกระดูกก้นกบ มีอาการเจ็บหรือปวดบริเวณกระดูกก้นกบเวลานั่งโดยเฉพาะนั่งในท่าเอนตัวไปข้างหลัง มีอาการเจ็บกระดูกก้นกบเวลาเปลี่ยนท่าจากท่านั่งเป็นลุกยืน ปวดกระดูก้นกบเวลาขับถ่าย เป็นต้น
6. Ribs คือ กระดูกซีโครง

ภาพแสดง กระดูกซี่โครงชนิดต่างๆ ภาพจาก https://www.quora.com/Are-false-ribs-as-strong-as-true-ribs
กระดูกซีโครง อยู่ตรงบริเวณหน้าอก เป็นกระดูกที่มีลักษณะแบนยาว โค้งงอ บิดตัวเล็กน้อย มีจำนวน 12 คู่ เท่ากันทั้งเพศหญิงและชาย ความยาวกระดูกซี่โครงเพิ่งขึ้นเรื่อยๆ จากคู่ที่ 1-7 และค่อยๆ สั้นลงจากคู่ที่ 8-12 ตามลำดับ มีหน้าที่ในการช่วยหายใจ และป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะภายในที่อยู่ในช่องอกคือ หัวใจและปอด การบาดเจ็บของกระดูกซี่โครงพบได้บ่อยจากการเกิดอุบัติเหตุแบบที่มีการกระแทรกแบบรุนแรง รวมถึง “การกู้ชีพผู้ป่วย” (Carrdio Pulmonary Resuscitation: CPR) ด้วยการกดหน้าอกเพื่อนวดหัวใจ (External Cardiac Massage) ซึ่งพบได้บ่อยที่ทำให้เกิดการหักของกระดูกซี่โครง หรือกระดูกหน้าอก (Sternum) กระดูกซี่โครงแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
6.1 True Ribs ครอ กระดูกซี่โครงที่ปลายด้านหลังเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังส่วนอก และปลายด้านหน้าเชื่อมต่อกับ “กระดูกอ่อนของกระดูกซี่โครง” (Costal Cartilage) ของกระดูกทรวงอกโดยตรง ซึ่งได้แก่กระดูกซี่โครงคู่ที่ 1-7
6.2 False Ribs คือ กระดูกซี่โครงที่ปลายด้านหลังเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังส่วนอก ่แต่ปลายด้านหน้าเชื่อมกับกระดูกอ่อนของกระดูกซี่โครงคู่ที่ 7 ไม่ได้เชื่อมต่อกับกระดูกทรวงอกโดยตรง มี 3 คู่ ได้แก่คู่ที่ 8-10
6.3 Floating Ribs คือ กระดูกซี่โครงที่ปลายด้านหลังเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังส่วนอก แต่ปลายด้านหน้าลอยอยู่ ไม่เชื่อต่อกับส่วนใดๆ ได้แก่คู่ที่ 11-12
7. Sternum หรือ Beastbone คือ กระดูกหน้าอก

ภาพแสดง ส่วนประกอบของกระดูกหน้าอก (Sternum หรือ Breastbone) ภาพจาก https://my.clevelandclinic.org/health/body/sternum-breastbone
กระดูกหน้าอก เป็นกระดูก “ชนิดแบน” (Flat Bone) ที่อยู่ตรงกลางหน้าทรวงอก เชื่อมต่อกับกระดูกซึ่โครง โดยมี “ข้อต่อและกระดูกอ่อนซี่โครง” (Costas Cartilage) เชื่อต่อเป็นโครงร่างที่แข็งแรงของผนังหน้าอก เพื่อป้องกันอวัยวะที่อยู่ภายในช่องอก เช่น ปอด หัวใจ และเส้นเลือดขนาดใหญ่ นอกจากนั้น “ส่วนบนของกระดูกหน้าอก” (Manubrium) ทั้งด้านซ้ายและขวายังเป็นจุดเชื่อมต่อของ “กระดูกไหปลาร้า” (Clavicle) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของช่วงไหล่ (Shoulder) กระดูกหน้าอกประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังต่อไปนี้
– แมนูเบรียม (Manubrium) เป็นส่วนบนของกระดูกหน้าอก แผ่กว้างมีรูปทรางคล้ายรูปสามเหลี่ยม ที่มุมด้านบนทั้งซ้ายและขวา มีแอ่งเว้าซึ่งเป็นที่เกาะของกระดูกไหปลาร้า เรียกว่า “คลาวิคูล่า น็อทซ์” (Claviula Notch) ถัดลงมาจาก คลาวิคูล่าน็อทซ์ ทั้งสองข้างมีแอ่งเว้า เรียกว่า “คอสตัล น็อทซ์” (Costal Notch) ให้กระดูกซี่โครงคู่ที่ 1 มาเชื่อมต่อ
– บอดี้ (Body) เป็นส่วนที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง “แมนูเบรียม และกระดูกลิ้นปี่” (Xiphoid Process) ส่วนบอดี้นี้จะมีความยาวเป็้น 2 เท่า ของกระดูกแมนูเบรียม ด้านข้างของกระดูกบอดี้จะเชื่อมต่อกับส่วนที่เรียกว่า “กระดูกอ่อนซีโครง” (Castal Cartilage) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมกับกระดูกซี่โครงคู่ที่ 3-7
– กระดูกลิ้นปี่ (Xiphoid Process) คือ กระดูกลิ้นปี่ เป็นส่วนล่างสุดของกระดูกหน้าอก มีลักษณะรูปสามเหลี่ยมปลายแหลม ลิ้นปี่ของเด็กทารกจะเป็น “กระดูกอ่อนชนิดเหนียว” (Fibrocartilage) และจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นกระดูกลิ้นปี่ที่อายุประมาณ 14 ปี ซึ่งที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อหลายมัด
ความสัมพันธ์ทางคลินิกของกระดูกหน้าอกและกระดูกซึ่โครงที่สามารถพบได้บ่อยคือ
– กระดูกอ่อนซี่โครง (Costal Cartilage) ในเด็กมีความยืดหยุ่นดี และช่วยป้องกันอันตรายจากการกระแทกบริเวณทรวงอก หรือขณะทำการนวดหัวใจ (Cardiopumonary Resuscitation: CPR) ในคนที่สูงอายุ กระดูกอ่อนซี่โครงจะมีแคลเซียมมาซะสมในบริเวณนี้มากขึ้น ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น หรือบางครั้งกระดูกอ่อนจะถูกแทนที่ด้วยกระดูกแข็ง ดังนั้นการถูกกระแทก หรือการนวดหัวใจในผู้สูงอายุมักทำให้เกิดการบาดเจ็บได้บ่อยกว่าเด็กเล็ก
การทำ CPR เรานิยมใช้ตำแหน่งของ “กระดูกลิ้นปี่” (Xiphoid Process) เป็นจุดบ่งชี้ของ “แนวเส้นกึ่งกลางตามยาวด้านหน้าของลำตัว” (Anteriorr Median Line) และเป็นเส้นกึ่งกลางของกระดูกหน้าอกด้วย เราจะวาง “ส้นมือ” (Heel of the Hand) ในการนวดหัวใจ โดยวางส้นมือลงตรงตำแหน่ง “กึ่งกลาง ส่วนล่างของกระดูกหน้าอก” (Middle and Lower of the Sternum)
กระดูกซี่โครงหัก (Fracture Rib) การหักของกระดูกซี่โครงมีโอกาสทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะที่สำคัญภายในช่องอกที่สำคัญเช่น หัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่หัวใจ (Aorta) และปอดได้ การหักของกระดูกซี่โครงตั้งแต่ 3 ซี่ขึ้นไป หรือ หัก 2 ตำแหน่งในชิ้นเดียวกัน จะทำให้การเคลื่อนไหวของทรวงอกตรงบริเวณที่กระดูกหักไม่มีความสัมพันธ์กับการหายใจ (Paradoxical Movement) ซึ่งจะทำให้เกิดการขัดขวางการขยายตัวของปอด และนำไปสู่ภาวะ “การหายใจล้มเหลว” (Respiratoey Failure) หรือที่เราเรียกว่า “ภาวะอกรวน” (Flail Chest)
กระดูกหน้าอกหัก (Fracture Sternum) เป็นภาวะที่พบบ่อยจากการบาดเจ็บทรวงอก เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การหักของ Sternum มักหักบริเวณรอยต่อระหว่าง “แมนูเบรียมกับบอดี” เรียนตำแหน่งว่า “มุมกระดูกหน้าอก” (Sternal Angle) การหักแบบนี้ทำให้ส่วนของ Body หลุดไปทางด้านหลังซึ่งอาจเกิดการทิ่งแทงทำให้เกิดการฉีกขาดบริเวณส่วนโค้งของหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า (Aortic Arch) หรือหัวใจทำให้เกิดการตกเลือดภายในช่องอกอย่างรุนแรง และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
กระดูกรยางค์ (Appendicular Skeleton หรือ Extremities Skeleton)
คือ กระดูกพวกที่ประกอบเป็นแขน ขา ของร่างกาย มีจำนวน 126 ชิ้น แบ่งเป็น 2 พวกย่อย คือ
- กระดูกรยางค์บน (Upper Extremities) มีจำนวน 64 ชิ้น
- กระดูกรยางล่าง (Lower Extremities) มีจำนวน 62 ชิ้น
1. กระดูกรยางค์บน (Upper Extremities)
กระดูกรยางค์บน (Upper Extremities) จำนวน 64 ชิ้น เป็นกระดูกแขนทั้งหมด รวมทั้งกระดูกที่ช่วยยึดแขนให้ติดกับลำตัว ข้างละ 32 ชิ้น ได้แก่
- กระดูกไหปลาร้า (Clavicles) 2 ชิ้น
- กระดูกสะบัก (Scapula) 2 ชิ้น
- กระดูกต้นแขน (Humerus) 2 ชิ้น
- กระดูกเรเดียส (Radius) 2 ชิ้น
- กระดูกอัลน่า (Ulna) 2 ชิ้น
- กระดูกข้อมือ (Carpal Bones) 10 ชิ้น
- กระดูกฝ่ามือ (Metacarpal Bones) 10 ชิ้น
- กระดูกนิ้วมือ (Phalanges) 28 ชิ้น

ภาพแสดง ส่วนประกอบของกระดูกรยางค์บน ภาพจาก https://basicmedicalkey.com/upper-limb-5/
กระดูกไหปลาร้า (Clavicles) เป็นกระดูกยาวปลายทั้งสองด้านโค้งสลับกัน วางอยู่ในแนวนอน ปลายด้านหนึ่งจะเชื่อมต่อกับกระดูกหน้าอกส่วนที่เรียกว่า “แมนูเบียม” (Manubium) เรียกปลายด้านนี้ว่า “สเตอร์นัล เอนด” (Sternal End) และอีกด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับ “แง่งกระดูกอะโครเมียน หรือปุ่มกระดูกหัวไหล่” (Acromion Process) ซึ่งเป็นหนึ่งของกระดูกสะบัก ปลายกระดูกตรงส่วนนี้เรียกว่า “อะโครเมียล เอนด” (Acromial End) กระดูกไหปลาร้าจะช่วยยึดกระดูกแขนให้ติดกับลำตัว และช่วยในการเคลื่อนไหวของหัวไหล่

ภาพแสดง ตำแหน่งและลักษณะของกระดูกไหปลาร้า ภาพจาก (เขียนเพิ่มเติม) https://my.clevelandclinic.org/health/body/16877-clavicle
กระดูกสะบัก (Scapula) เป็นกระดูกชนิดแบน (Flat Bone) ลักษณะเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า ที่มุมด้านนอก ขอบด้านบนมีลักษณะเป็นแอ่ง เรียกว่า “แอ่งกลีนอยด์” (Glenoid Fossa) ซึ่งเป็นแอ่งที่เชื่อมต่อกับหัวของกระดูกต้นแขน (Head of humerus) ซึ่งเป็นตำแหน่งของข้อไหล่ (Shoulder Joint) ด้านหน้าเหนือ “แอ่งกลีนอยด์” มีแง่งกระดูกยื่นออกไปทางด้านหน้า เรียกว่า “แง่งโคราคอยด์ หรือ จะง่อยบ่า” (Coronoid Process) ท่างด้านหลังใกล้กับ “แอ่งกลีนอยด์” มีแง่งกระดูกอีกอันหนึ่งเรียกว่า “แง่งอะโครเมียน หรือ แง่งกระดูกหัวไหล่” (Acromion Process) กระดูกสะบักทำงานร่วมกับกระดูกไหปลาร้า ช่วยในการยึดแขนให้ติดกับลำตัว และช่วยในการเคลื่อนไหวของหัวไหล่ (Anterior View = ด้านหน้า, Posterior View = ด้านหลัง)

ภาพแสดง ลักษณะของกระดูกสะบัก ภาพจาก https://www.pinterest.com/pin/518265869595111366/
กระดูกต้นแขน (Humerus) เป็นกระดูกยาว (Long Bone) ที่มีขนาดใหญ่ ปลายท่อนบนเชื่อมต่อกับหัวไหล่ ปลายด้านล่างเชื่อมต่อกับข้อศอก ปลายด้านบนมีปุ่มกระดูก 2 อัน ปุ่มใหญ่เรียกว่า Geater Tubercle ปุ่มเล็ก เรียกว่า Lesse Tubercle ระหว่างปุ่มกระดูกทั้งสอง มีร่องลึกแคบสำหรับให้เอ็นของกล้ามเนื้อต้นแขนทอดผ่านร่องนี้ เรียกว่า Intertubercular Sulcus ตรงกึ่งกลางของท่อนกระดูกมีเนื้อกระดูกเป็นสันสำหรับให้กล้ามเนื้อหัวไหล่ (Detoid) ยึดเกาะ เรียกตำแหน่งนี้ว่า “เดลตอยด์ ทูเบอโรซิตี้” (Deltoid Tuberosity) ปลายล่างสุดมีปุ่มกลมๆ ของกระดูก 2 ปุ่ม ปุ่มนอกเรียกว่า “เลเทอรัล อิพิคอนไดล์” (Lateral Epicondyle) ปุ่มในเรียกว่า “มีเดียล อิพิคอนไดล์” (Medial Epicondyle) ด้านหลังกึ่งกลางของปุ่มทั้งสอง มีแอ่งที่เรียกว่า “แอ่งโอเลครานอน” (Olecranon Fossa) สำหรับให้ “แง่งกระดูกโอลีครานอน” (Olecranon Process) ของกระดูกแขนท่อนล่างอันใน (Ulna) มาสวมเป็นข้อต่อของข้อศอก

ภาพแสดง กระดูกต้นแขนข้างขวา (Right Humerus : Anterior view คือ มุมมองด้านหน้า Posterior view คือ มุมมองด้านหลัง) ภาพจาก https://www.theskeletalsystem.net/arm-bones/humerus.html
กระดูกแขนส่วนปลาย (Forearm Bone) คือ
1. กระดูกปลายแขนท่อนนอก หรือกระดูกปลายแขนด้านนิ้วโป้ง หรือ กระดูกเรเดียส (Radius) มาจากภาษาละตินที่ออกเสียงว่า “ระดิอุส” หมายถึง กระดูกแขนท่อนที่ทางด้านนิ้วหัวแม่มือ เป็นกระดูกชนิดยาวซึ่งเป็นหนึ่งในกระดูกสองชิ้นที่เป็นแกนหลักของกระดูกแขนส่วนปลาย ปลายด้านบนมีลักษณะกลมคล้ายจาน เชื่อมต่อกับปลายส่วนล่างของกระดูกต้นแขน ซึ่งเป็นตำแหน่งของข้อศอก (Elbow) ปลายด้านล่างจะเชื่อมต่อกับกระดูกข้อมือ (Wrist) ด้านข้างจะมีกระดูกอีกชิ้นเรียกว่า “กระดูกอัลน่า” (Ulna) เชื่อมต่อกันด้วย “เอ็นเยื่อระหว่างกระดูก” (Interosseous Membrane) และยังเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อสำหรับการเคลื่อนไหวของแขนและข้อมือจำนวนมาก
กระดูกเรเดียสเป็นกระดูกที่ค่อนข้างเล็กและบาง ทางปลายด้านข้อศอกซึ่งเป็นส่วนต้นของกระดูก แต่จะขยายใหญ่ออกทางปลายด้านข้อมือที่เป็นส่วนปลายของกระดูก ซึ่งจะต่อกับกลุุ่มของกระดูกข้อมือ (Carpal Bones) กระดูกเรเดียสแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ
1.1 ส่วนต้นกระดูก (Proximal or Upper Part) ประกอบด้วยโครงสร้างที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
1.1.1 ส่วนหัวกระดูกเรเดียส (Head of Radius) มีลักษณะเป็นทรงกระบอก พื่นผิวด้านบนเป็นถ้วยตื้นๆ หรือ เรียกว่า “โฟเวีย” (Fovea) สำหรับเป็นข้องต่อกับ “แคปปิทูลัม” (Capitulum) ของกระดูกต้นแขน
1.1.2 ส่วนคอกระดูก (Neck) เป็นส่วนที่ต่อลงมาจากส่วนหัวกระดูก และมีรอยเล็กๆ ที่เป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อสุพิเนเตอร์” (Supinator Muscle) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการพลิกหายของปลายแขน
1.1.3 ปุ่มกระดูกเรเดียส (Radial Tuberosity) เป็นปุ่มนูนที่อยู่ในส่วนของคอกระดูก้านที่เชื่อมติดอยู่กับกระดูกอัลนา ปุ่มนูนนี้เป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ เรกิไอ” (Bicep Brachii Muscle)
1.2 ส่วนกลางของกระดูก (Body) จะมีลักษณะคลายปริซึมสามเหลี่ยมที่โค้งออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย ซึ่งสามารถคลำแนวโค้งนี้ได้ โดยเฉพาะที่ใกล้กับส่วนปลายของกระดูก ขอบและพื้นผิวด้านต่างๆ ของส่วนกลางของกระดูกที่สำคัญ และเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อปลายแขนและมือได้แก่
1.2.1 ขอบกระดูกด้านหน้า (Anterior or Volar Border) เริ่มจากด้านล่างของปุ่มนูนเรเดียส ไปสิ้นสุดที่แง่งสไตลอยด์ (Styloid Process) ซึ่งอยู่ทางปลายกระดูก ขอบด้านนี้จะเป็นจุดเกาะต้นของกล้ามเนื้อปลายแขน 2 มัด คือ “กล้ามเน้อเฟลกเซอร์ ดิจิทอรุม ซุเปอร์ฟิเชียสิส” (Flexor Digitalis Superficialis) และ “กล้ามเนื้อเหลกเซอร์ พอลิซิส ลองกัส” (Flexor Pollicis Longus) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวข้องการการเคลื่อนไหวของมือ ส่วนทางด้านล่างของขอบนี้จะเป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อโปรเนเตอร์ ควอดราตัส” (Pronator Quadratus Muscle) และ “กล้ามเนื้อเบรกิโอเรเดียลิส” (Brachioradialis Muscle)
1.2.2 ขอบด้านเยื่อระหว่างกระดููก (Interosseuous Border) เริ่มจากทางด้านหลังของปุ่มนูนเรเดียส แล้วไล่ลงมาทางด้านปลายกระดูก ไปบรรจบที่ “รอยเว้าอัลนา” (Ulna Notch) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ข้อต่อเรดิโออัลนาส่วนปลาย” (Distal Radioulnar Joint) ครึ่งล่างของแนวนี้จะเป็นจุดเก่าของเอ็นเยื่อระหว่างกระดูก ทำให้เป็นการเชื่อมต่อของกระดูกแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ข้อต่อแบบซินเดสโมเซส” (Syndesmoses Joint) ซึ่งเป็นข้อต่อแบบหนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด
1.2.3 พื้นผิวด้านข้าง (Lateral Surface) มีลักษณะโค้างนนออกมาเล็กน้อย ส่วนบนประมาณ 1/3 ของพื้นที่ผิวกระดูกด้านนี้จะเป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อสพิเนเตอร์” (Supinato Muscle) ขณะที่ส่วนกลางจะมีแนวสันที่เป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อโปรเนเตอร์ เทเรส” (Pronator Teres Muscle)
1.2.4 พื้นผิวด้านหลัง (Doral Surface) มีจุดเกาะต้นของ “กล้ามเนื้อแอบดักเตอร์ พอลิซิส ลองกัส” (Abductor Pollicis Longus) และจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ พอลิซิส เบรวิส” (Extensor Pollicis Brevis Muscle)
1.3 ส่วนปลายกระดูก (Distal or Lower Part) ส่วนปลายของ กระดูกเรเดียส จะมีลักษณะคล้ายสีเหลี่ยมคางหมู ซึงมีจุดเชื่อมต่อกับกระดูกอื่นสองจุด คือ
1.3.1 ด้านปลายสุดจะต่อกับกระดูกข้อมือ ที่เรียกว่า “กระดูกสแคฟฟอยด์” (Scaffoid Bone) และ “กระดูกลูเนท” (Lunate Bone)
1.3.2 ทางด้านข้างจะมีจุดต่อกับ “กระดูกอัลนา” ตรงบริเวณ “รอยเว้าอัลนา”
2. กระดูกปลายแขนท่อนใน หรือกระดูกปลายแขนด้านนิ้วก้อย หรือ กระดูกอัลน่า (Ulna) เป็นกระดูกหลักหนึ่งในสองชิ้นของกระดูกแขนส่วนปลาย ปลายบนจะเชื่อมต่อกับกระดูกเรเดียสด้วย “เอ็นเยื่อระหว่างกระดูก” (Interosseous Membran) และกระดูกต้นแขน เป็นตำแหน่งของข้อศอก และปลายด้านล้างจะเชื่อมกับกระดูกข้อมือ กระดูกอัลน่าจะเป็นจุดเกาะที่สำคัญของกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของปลายแขนและมือ กระดูกอัลน่า เป็นกระดูกชนิดยาว แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
2.1 ส่วนต้นกระดูก (Proximal or Upper Part) จะมีลักษณะใหญ่และมีส่วนประกอบที่สำคัญดังต่อไปนี้
2.1.1 แง่งโอเลครานอน (Olecranon Process) เป็นส่วนยื่นออกมาทางด้านหลังของกระดูกที่เห็นได้ชัดมีขนาดใหญ่ สามารถคลำพบได้ง่าย มีลักษณะคล้ายตะขอ ซึ่งเมื่อมีการยืดแขนออกส่วนนี้จะรับกันพอดีกับ “แอ่งโอเลครานอน” (Olecranao Fossa) ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของกระดูกต้นแขน นอกจากนั้นพื้นที่ผิวด้านบนของ แง่งโอเลครานอน ยังเป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์ เบรกิไอ” (Triceps Brachii Muscle) และบริเวณผิวด้านหลังนี้ยังเป็นที่เกาะของเอ็นยึดกระดูกที่อยู่รอบๆ ข้อศอกอีกด้วย
2.1.2 แง่งโคโรนอยด์ (Coronoid Process) เป็นส่วนยื่นของกระดูกที่มีขนาดเล็กกว่า แง่งโอลครานอน และยื่นออกมาทางด้านหน้า ซึ่งเมื่อมีการขอแขน ส่วนของ แง่งโคโรนอยด์ จะรับกับแอ่งโคโรนอยด์ ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของกระดูกต้นแขน บริเวณรอบๆ ของ แง่งโคโรนอยด์ ยังเป็นจุดเกาะกล้ามเนื้อหลายชนิดคือ จุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเบรเคียลิส” (Brachialis Muscle) และจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ ดิจิทอรัม โปรฟันดัส” (Flexor Digitorum Profundus Muscle) เป็นจุดเกาะของ “กล้ามเนื้อโปรเนเตอร์ เทเรส” (Pronator Terres Muscle) และ “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ พอลิซิส ลองกัส” (Flexor Pollicis Longus)
2.1.3 รอยเว้าเซมิลูนาร์ (Semilunar Notch) เป็นรอยเว้าขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่าง แง่งโอเลครานอน และ แง่งโคโรนอยด์ ทำหน้าที่เป็นที่รองรับ โทรเคลียร์ ของปลายกระดูกต้นแขน
2.1.4 รอยเว้าเรเดียส (Radial Notch) เป็นรอยเว้าเล็กๆ ที่อยู่ทางด้านข้างของ แง่งโคโรนอยด์ ซึ่งจะรับกับส่วนหัวของกระดูกเรเดียส เพื่อประกอบเป็น “ข้อต่อเรดิโออัลนาร์ส่วนต้น” (Proximal Radioulnar Joint) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการพลิกและการหมุนของปลายแขน
2.2 ส่วนกลางกระดูก (Body) มีลักษณะคล้ายแท่งปริซึมสามเหลี่ยม จึงมีพื้นผิวเป็นสามด้าน ซึ่งเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อชนิดต่างๆ คือ
2.2.1 พื้นผิวและขอบด้านหน้าจะเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อ 2 ชนิดคือ “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ ดิจิทอรัม โหรฟันดัส” (Flexor Digitorum Profundus Muscle) และ “กล้ามเนื้อโปรเนเตอร์ ควอดราตัส (Pronator Quadratus Muscle)
2.2.2 ขอบด้านหลังของกระดูก เป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อ 2 ชนิด คือ “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ คาร์ไพ อัลนาริส” (Flexor Carpi Ulnaris Muscle) และ “กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ คาร์ไพ อัลนาริส” (Extensor Carpi Ulnaris Muscle)
2.2.3 พื้นผิวด้านหลัง เป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อ 4 ชนิด คือ “กล้ามเนื้อสุพิเนอเตอร์” (Supinator Muscle), “กล้ามเนื้อแอบดักเตอร์ พอลิซิส ลองกัส” (Abductor Pollicis Longus Muscle), กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ พอลิซิส ลองกัส” (Extensor Pollicis Longus Muscle) และ “กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ อินดิซีส (Extensor Indicis Muscle)
2.3 ส่วนท้ายกระดูก (Head of Ulna) อย่างไรก็ตาม กรณีของ “ส่วนหัวของกระดูกอัลน่า” จะเป็นตรงส่วนปลายของกระดูก ซึ่งต่างจากกระดูกชิ้นอื่นๆ ที่ส่วนหัวกระดูกมักจะหมายถึงส่วนที่เป็นส่วนต้นของกระดูก ส่วนปลายจะมีลักษณะเรียวเล็ก มีปุ่มกระดูกเล็กๆ 2 ปุ่มคือ
2.3.1 ปุ่มหัวกระดูกอัลนา (Head of Ulna) มีลักษณะกลม ส่วนหนึ่งจะต่อกับข้อมือ และอีกส่วนจะต่อกับ “รอยเว้าอัลนา” (Ulna Notch) บนกระดูกเรเดียส เพื่อประกอบเป็น “ข้อต่อเรดิโออัลนาส่วนปลาย (Distal Radoulnar Joint)
2.3.2 แง่งสไตลอยด์ (Styloid Process) เป็นส่วนเล็กๆ ที่ยื่นออกมาทางด้านหลังของกระดูก ซึ่งเป็นจุดเกาะของ “เอ็นอัลนาคอลแลทเทอรัล” Ulna Collateral Ligament) ซึ่งเป็นเอ็นส่วนหนึ่งของข้อมือ

ภาพแสดง กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ และกระดูกนิ้วมือ ที่มาของภาพ https://th.wikipedia.org/wiki/human_hand_bones-en.svg
กระดูกข้อมือ (Carpal Bones) กระดูกข้อมือเป็นกระดูกสั้น ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายลูกเต๋า ถูกหุ้มให้ยึดติดกันด้วยเอ็น จึงเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัดในลักษณะของการไถลไปมา พื้นผิวทางด้านหลังมือและฝ่ามือจะค่อนข้างขรุขระ เนื่องจากมีเอ็น (Tendon) พาดผ่าน แต่พื้นผิวด้านอื่นๆ จะค่อยข้างเรียบ ทั้งนี้เพื่อที่สามารถเชื่อมต่อกับกระดูกชิ้นอื่นๆ ได้อย่างสนิท
มนุษย์เรามีกระดูข้อมือข้างละ 8 ชิ้น วางเรียงตัวเป็นแนวขนาน 2 แถว คือ
1. กระดูกข้อมือแถวแรก (Proximal Row) มีจำนวน 4 ชิ้น จะเชื่อต่อกับกระดูกเรเดียส ประกอบด้วย
1.1 กระดูกสแคฟฟอยด์ (Scaphoid Bone) เป็นกระดูกแถวแรกที่อยู่ทางด้านนิ้วหัวแม่มือ และเป็นกระดูกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดของแถวแรก เนื่องจากมีรูปร่างงอเล็กน้อยคล้านเรื่อง จึงเป็นที่มีของคำว่า “สแคฟฟอรย์” (Scaphoid) ซึ่งในภาษาลาติน หมายความว่า “รูปร่างของเรือ” เนื่องจากกระดูกชิ้นนี้จะมีเลือดมาหล่อเลี้ยงน้อย เมื่อมีการแตกหักจะทำให้การซ่อมแซมใช้เวลานาน และอาจส่งผลให้เกิดการผิดรูปของข้อมือได้
1.2 กระดูกลูเนท (Lunate Bone) กระดูกชิ้นนี้เป็นกระดูกข้อมือที่อยู่ในแถวแรก อยู่ตรงตำแหน่งกึ่งกลางของข้อมือ มีรูปร่างคล้ายวงพระจันทร์ ส่วนโค้งชี้ไปทาง กระดูกเรดียส และส่วนเว้าของกระดูกจะเป็นส่วนที่กับกับ กระดูกแคปปิเตต (Capitate Bone) ซึ่งเป็นกระดูกที่อยู่แถวหลัง
1.3 กระดูกไตรกีตรัล (Triquetral Bone) กระดูกชิ้นนี้เป็นกระดูกข้อมือแถวเรกที่อยู่ทางด้านนิ้วก้อย และมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม ซึ่งพื้นผิวทั้งสามด้านจะติดต่อกับกระดูกข้อมือชิ้นอื่นๆ ที่ชัดเจนที่สุดคือ “รอยบ๋มรูปวงรี” ซึ่งอยู่บนพื้นผิวด้านหน้า ซึ่งเป็ฯบริเวณติดต่อกับ “กระดูกพิสิฟอร์ม” (Pisiform Bone)
1.4 กระดูกฟิสิฟอร์ม (Pisiform Bone) กระดูกนี้เป็นกระดูกชิ้นเล็กๆ ที่วางอยู่ที่แถวหน้าของรกะดูกข้อมือ และเป็น “กระดูกแบบเซซามอยด์” (Sesamoid Bone) แบบหนึ่ง คือ เป็นกระดูกที่เกิดจากการสะสมแคลเซียมของเอ็น จนกลายเป็นกระดูกที่ฝังตัวอยู่ในเส้นเอ็น เช่นเดียวกับ “กระดูกสะบ้า” (Patella) ของ “ข้อเข่า” (Knee Joint) บนพื้นผิวของกระดูกชิ้นนี้จะมีรอยที่ติดต่อกับ “กระดูกไตรกีตรัล” เป็นจุดเด่น
2. กระดูกข้อมือแถวหลัง (Distal Row) กระดูกแถวนี้จะเชื่อมต่อระหว่างกระดูกข้อมือแถวแรก และกระดูกฝ่ามือ ประกอบด้วยกระดูก 4 ชิ้น คือ
2.1 กระดูกทราพีเซียม (Trapezium Bone) เป็นกระดูกข้อมือแถวหลังที่อยู่ทางด้านนิ้วหัวแม่มือ และมีพื้นที่ส่วนใหญ่ติดต่อโดยตรงกับ “กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1” (Metacarpus) และ “กระดูกสแคฟฟอยด์” (Scaffoid Bone) ที่สำคัญคือบนพื้นผิวด้านฝ่ามือของกระดูกชิ้นนี้ จะมีร่องที่เป็นทางผ่านของเอ็นจาก “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ คาร์ไฟ เรเดียลิส” (Flexor Carpi Radialis Muscle) และพื้นผิวด้านนี้ยังเป็นจุดเกาต้นของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของนิ้วหัวแม่มือ ได้แก่ “กล้ามเนื้อออพโพเนนส์ พอลิซีส” (Opponens Pollicis), “กล้ามเนื้อแอบดักเตอร์ พอลิซิส เบรวิส” (Abductor Pollicis Brevis Muscle) และ “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ พอลิซิส เบรวิส” (Flexor Pollicis Brevis Muscle)
2.2 กระดูกทราพีซอยด์ (Trapzoid Bone) เป็นกระดูกชิ้นเล็กๆ ของกระดูกข้อมือแถวหลัง ซึ่งมีพื้นผิวติดต่อกับ “กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 2” (Metacapus ll), กระดูกสแคฟฟอยด์ และ กระดูกแคปปิแตต
3.3 กระดูกแคปปิเตต (Capitate Bone) เป็นกระดูกข้อมือที่วางตัวอยู่ตรงกลางของกระดูข้อมือแถวหลัง และเป็นกระดูกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มกระดูกข้อมือ โดยมีพื้น
2.4 กระดูกฮาเมต (Hamate Bone) เป็นกระดูกข้อมือในแถวหลัง ซึ่งอยู่ตรงด้านนิ้วก้อย จะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม และมีลัษณะเด่นที่มีกระดูกยื่นออกมาคล้ายตะขอ จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อที่เรียกว่า “ฮามิวลัส” (Hamulus) และมีการเรียกกระดูกนี้ว่า “ฮาเมท” (Hamate) ซึ่งเป็นภาษาลาติน กระดูกชิ้นนี้มีพื้นที่ผิวติดต่อกับกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 4 และ ชิ้นที่ 5 รวมถึงกระดูกไตรกีตรัลและกระดูกแคปปิเตต กระดูกชิ้นนี้มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บของข้อมือได้สูง เนื่องจากตำแหน่งที่อยู่จะค่อนออกมาทางด้านข้างของข้อมือ และอยู่ใกล้กับ “เส้นประสาทอัลนา” (Ulna Nerve) จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้มีการบาดเจ็บแก่เส้นประสาทนี้ได้อีกด้วย โดยทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ร่วมกับอาการสูญเสียความรู้สึกของฝ่ามือตรงบริเวณนิ้วน้าง และนิ้วก้อย
กระดูกฝ่ามือ (Metacarpal Bone or Metacarpus) เป็นกลุ่มกระดูกของมือซึ่งเชื่อต่อระหว่างกระดูกข้อมือและกระดูกนิ้วมือ มีจำนวน 5 ชิ้น โดยทำหน้าที่รองรับกระดูกนิ้วมือทั้ง 5
กระดูกฝ่ามือแต่ละชิ้นจะมีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายกัน เป็นกระดูกชนิดยาว โดยกระดูกแต่ละชิ้นจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. ส่วนฐานกระดูก (Base or Carpal Extremity) ส่วนฐานของกระดูกจะมีลักษณะแบบออกทางด้านหลังมือ เป็นทรงลูกบาศก์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เราสามารถงอมือไปทางฝ่ามือได้มากกว่ากระดกมือไปทางด้านหลังมือ ส่วนฐานของกระดูกจะติดต่อกับกระดูกข้อมือแถวหลัง และมีบางส่วนที่เชื่อมต่อกับกระดูกฝ่ามือที่อยู่ชิดกัน
2. ส่วนกลางกระดูก (Body) ส่วนนี้จะมีลักษณะคล้ายปริซึม และมีความดค้งนูนออกไปทางด้านหลังมือเล็กน้อย พื้นที่ผิวทางด้านแนวข้างจะเป็นจุดเกาะของ “กลุ่มกล้ามเนื้ออนิเตอร์ออสเซียสด้านฝ่ามือ” (Palmar Interosseus Muscles) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ยึดกระดูกฝ่ามือแต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน ส่วนพื้นผิวทางด้านหลังมือจะมีเอ็นจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยืดมือวางพาดอยู่ และยังเป็นจุดเกาะของ “กล้ามเนื้ออินเตอร์ออสเซียสด้านหลังมือ” (Dorsal Interosseus Muscles) อีกด้วย
3. ส่วนหัวกระดูก (Head or Distal Extremity) ส่วนนี้จะมีลักษณะเว้าเข้ามาเล็กน้อยและแบนออกด้านข้างเพื่อรองรับกับกระดูกนิ้วมือส่วนต้น (Proximal phalanges) ทางด้านของของหัวกระดูกจะนูนออกมาเล็กน้อยเพื่อสำหรับเป็นจุดเกาะของเอ็น “ข้อต่อระหว่างฝ่ามือกับนิ้วมือ” (Metacapophalangeal Joints)
กายวิภาคของกระดูกฝ่ามือ ในการระบุชื่อของกระดูกฝ่ามือแต่ละชิ้น จะเริ่มนับจากกระดูกฝ่ามือที่อยู่ด้านนิ้วหัวแม่มือเป็นชิ้นที่ ไปจนถึงด้านนิ้วก้อย เป็นชิ้นที่ 5 ซึ่งจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1 (Metacarpus l) เป็นกระดูกฝ่ามือที่รองรับนิ้วหัวแม่มือ โดยลักษณะสำคัญคือ จะสั้นและกว้างกว่ากระดูกฝ่ามือชิ้นอื่นๆ เล็กน้อย และมีความโค้งเข้าหาตัวผ่ามือ ขอบทางด้านข้างของกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1 นี้ จะเป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อออพโพเนนส์ พอลิซิส” (Opponerns Pollicis Muscle) ซึ่งที่ขอบทางด้านที่ดิตกับนิ้วชี้ จะเป็นจุดเกาะด้านหนึ่งของ “กล้ามเนื้ออินเตอร์ออสเซียสด้านหลังมือ” (Dorsal Interosseus Muscles) ที่ยึ่งระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ ส่วนทางด้านฐานกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1 จะมีลักษณะเป็นรอยเว้าเพื่อทำหน้าที่รองรับกับ “กระดูกทราพีเซียม” (Trapezium Bone) ในขณะที่ทางด้านฐานกระดูกจะมีลักษณะโค้งนูนน้อยกว่ากระดูกฝ่ามือชิ้นอื่นๆ และมีความกว้างในทางด้านข้างมากกว่า
กระดูกฝ่ามือันที่ 2 (Metacarpus ll) เป็นกระดูกฝ่ามือที่ร้องรับนิ้วชี้ ซึ่งเป็นกระดูกฝ่ามือที่มีความยาวมากที่สุดในกลุ่มของกระดูกฝ่ามือทั้งหมด ที่ฐานของกระดูกจะมีรอยเล็กๆ ซึ่งเป็นจุดเกาะกับกระดูกข้อมือที่อยู่ถัดลงไป ได้แก่ “กระดูกทราพีเซียม” (Trapezium Bone) “กระดูกทราพีซอยด์” (Trapeziod Bone) และ “กระดูกแคปปิเตต” (Capitate Bone) และยังมีรอยทึ่เชื่อมต่อกับกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 3 (Metacarpus lll) ตรงพื้นผิวด้านหลังมือของกระดูกชิ้นนี้ จะเป็ฯจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ คาร์ไพ เรเดียลิส ลองกัส” (Extensor Carpi Radialis Longus Muscle) ส่วนทางด้านฝ่ามือ จะเป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเฟลกเซอร์ คาร์ไพ เรเดียลิส” (Flexor Carpi radialis Muscle) กล้ามเนื้อทั้งสองนี้จะทำงานตรงกันข้ามกันในการเคลื่อนไหวของฝ่ามือ
กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 3 (Metacarpus lll) กระดูกชชิ้นนี้จะรองรับนิ้วกลาง กระดูกชิ้นนี้จะมีขนาดเล็กกว่ากระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 2 เล็กน้อย ที่พื้นผวิด้านหลังมือของฐานกระดูกนี้จะมีส่วนที่ยื่นลงมาประกอบกับ “กระดูกแคปปิเตต” และจะมีจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ คาร์ไพ เรเดียลิส เบรวิส” (Extensor Carpi Radialis Brevis Muscle) นอกจากนี้ที่บริเวณฐานของกระดูกจะมีรอยต่อกับกระดูกฝ่ามือชิ้นที่่ 2 และ 4 อีกด้วย
กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 4 (Metacarpus lV) เป็นกระดูกที่รองรับกับนิ้วนาง ที่ฐานของกระดูกจะมีรอยต่อกับ “กระดูกเคปปิเตต” และ “กระดูกฮาเมต” และยังมีรอยต่อกับกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 3 และชิ้นที่ 5 อีกด้วย
กระดูกฝ่ามือชชิ้นที่ 5 (Metacarpus V) กระดูกชิ้นนี้เป็นกระดูกที่รองรับนิ้วก้อย โดยที่ฐานของกระดูกจะมีรอยต่อขนาดใหญ่กับ “กระดูกฮาเมต” และกระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1 ทางด้านข้างของกระดูกจะมีปุ่มที่เป็นจุดเกาะปลายของ “กล้ามเนื้อเอกซ์เทนเซอร์ คาร์ไพ อัลนาริส” (Extensor Carpi Ulnaris Muscle)
กระดูกนิ้วมือ (Phalanges of Hand Finger Bones) เป็นกระดูกชินยาวที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นกระดูกที่ประกอบกันเป็นแกนของนิ้วมือทั้งห้าของคนเรา โดยแต่ละนิ้วจะมีกระดูกนิ้วมือจำนวน 3 ท่อน คือ
1. กระดูกนิ้วมือท่อนต้น (Proximal Phalanges) เป็นกระดูกที่มีสามารถพบได้ใน “รยางค์” (Appendicular) ของสัตว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ในมนุษย์กระดูกเหล่านี้เป็นกระดูกที่อยู่ที่โคนของนิ้วมือ ซึ่งนูนออกมาจนสังเกตได้อย่างชัดเจน เรียกว่า “ข้อนิ้วมือ หรือ มะเหงก” (Knuckle) สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น กระดูกนิ้วมือท่อนต้น จะปรากฎในตำแหน่งที่คล้ายๆ กันกับมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นอุ้งเท้า ปีก หรือ ครีบ ในสัตว์หลายชนิด กระดูกนี้จะเป็นกระดูกนิ้วมือชิ้นที่ยาวที่สุด
2. กระดูกนิ้วมือท่อนกลาง (Middle or Intermediate Phalanges) เป็นกระดูกที่พบในรยางของสัตว์มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ ในมนุษย์กระดูกเหล่านี้เป็นกระดูกที่อยู่ตรงปล้องกลางระหว่างข้อนิ้วของนิ้วมือ สำหรับในสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น กระดูกนิ้วมือท่อนต้นจะปรากฎในตำแหน่งที่คล้ายๆ กันกับมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นอุ้งเท้า ปีก กีบ หรือครีบ กระดูกนิ้วมือท่อนกลางเป็นกระดูกนิ้วมือที่มีความยาวในระดับปานกลาง เมื่อเทียบกับกระดูกนิ้วมือชิ้นอื่นๆ
3. กระดูกนิ้วมือม่อนปลาย (Distal Phalanges) เป็นกระดูกที่พบในรยางค์ของสัว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ในมนุษย์กระดูกเหล่านี้เป็นกระดูกที่อยู่ปลายสุดของนิ้วมือ สำหรับสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังชนิดอื่นๆ กระดูกนี้จะปรากฎในตำแหน่งที่คล้ายๆ กับมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในครีบของวาฬ หรือ ปีกของนก โดยทั่วไป กระดูกนิ้วมือท่อนปลายจะถูกต่อด้วยกรงเล็บ แต่สำหรับมนุษย์กระดูกนิ้วมือท่อนปลายจะถูกคลุมด้วยเล็บ กระดูกชิ้นนี้เป็นกระดูกนิ้วมือที่มีขนาดเล็กที่สุด
กระดูกนิ้วมือแต่ละชิ้น จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ
1. ส่วนโคนกระดูก (Proximal Extremities) สำหรับกระดูกส่วนนี้จะมีลักษณะเว้าเป็นรูปรี เพื่อรับกับปลายของกระดูกฝ่ามือ ขณที่โคนของกระดูกนิ้วมือท่อนกลางและท่อนปลายจะมีรอยบุ๋มลงไปสองจุด ที่คั่นด้วยแนวสันกลางเล็กๆ
2. ส่วนกลางของกระดูก (Body) มีลัษณะโค้งงอไปทางหลังมือเล็กน้อย และทางด้านข้างจะมีรอยที่เป็นที่เกาะของเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น จากกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่มาควบคุมการเคลื่อนไหวองนิ้วมือ
3. ส่วนปลายกระดูก (Distal Extremities) ส่วนนี้มีขนาดเล็กกว่าทางด้านโคนกระดูก และมีลักษณะเป็นปุ่มเล็กๆ สองปุ่มที่คั่นด้วยร่องแคบๆ ในแนวกลาง พื้นผิวด้านฝ่ามือของส่วนปลายสุดของกระดูกนิ้วมือท่อนปลาย จะมีลักษณะแบนออกเล็กน้อย เพื่อรองรับผิวหนังที่ใช้ในการรับสัมผัสจากปลายนิ้ว
1. กระดูกรยางค์ล่าง (Lower Extremities)

กระดูกรยางค์ล่าง คือ กระดูกพวกที่ประกอบกันเป็นกระดูกของขาทั้งหมด รวมทั้งกระดูกที่ช่วยยึดขาให้ติดกับลำตัว มีทั้งหมด 62 ชิ้น แบ่งเป็นขาข้างละ 31 ชิ้น ประกอบด้วยกระดูกดังต่อไปนี้
- กระดูกสะโพก (Hip Bones) จำนวน 2 ชิ้น
- กระดูกโคนขา (Femur) จำนวน 2 ชิ้น
- กระดูกสะบ้า (Patella) จำนวน 2 ชิ้น
- กระดูกหน้าแข้ง (Tibia) จำนวน 2 ชิ้น
- กระดูกน่อง (Fibula) จำนวน 2 ชิ้น
- กระดูกข้อเท้า (Tasal Bones) จำนวน 14 ชิ้น
- กระดูกฝ่าเท้า (Metatrasal Bones) จำนวน 10 ชิ้น
- กระดูกนิ้วเท้า (Phalanges) จำนวน 28 ชิ้น
1.1 กระดูกสะโพก (Hip Bones or Pelvic Bones) เป็นกระดูกรูปแปลก มีจำนวน 2 ชิ้น แต่ละชิ้นเกิดจากการเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันของ “กระดูกเชิงกราน” (Illium) “กระดูกอิสเชียม” (Ischium) และ “กระดูกหัวหน่าว” (Pubis) โดยตำแหน่งที่กระทั้งสามเชื่อมต่อกันเรียกว่า “อเซทตาบูลัม” (Acetabulum) คือ เบ้าของกระดูกต้นขา ซึ่งกระดูกทั้งสามชิ้นนี้จะเชื่อมติดกันตอนอายุประมาณ 15-17 ปี ลักษณะโครงสร้างของกระดูกทั้ง 3 ชิ้น มีดังต่อไปนี้

ภาพแสดง โครงสร้างของกระดูกสะโพก
1.1.1 กระดูกเชิงกราน (Ilium) เป็นส่วนที่มีขาดใหญ่ที่สุด ด้านหน้ามีลักษณะแบบ และเป็นแอ่งตื้นๆ เรียกว่า “แอ่งอุ้งเชิงกราน” (Iliac Fossa) ขอบบนของกระดูกมีลัษณะเป็นสัน เรียกว่า “สันกระดูกเชิงกราน” (Iliac Crest) สันกระดูกทางด้านหลังมีรอยเว้าขนาดใหญ่เรียกว่า “รอยเว้าใหญ่ไซแอติกใหญ่” (Greater Sciatic Notch) ทางด้านหน้ามีปุ่ม 2 อัน ปุ่มอันบนเรียกว่า “ปุ่มบนด้านหน้ากระดูกเชิงกราน” (Anterior Superior Iliac Spine: ASIS) ปุ่มอันล่างเรียกว่า “ปุ่มล่างด้านหน้ากระดูกเชิงกราน” (Anterior Inferior Iliac Spine: AIIS) นอกจากนั้นทางด้านหลังก็มีปุ่มอีก 2 ปุ่ม อันบนเรียกว่า “ปุ่มบนด้านหลังกระดูกเชิงกราน” (Posterior Superior Iliac Spine: PSIS) อันล่างเรียกว่า “ปุ่มล่างด้านหลังกระดูกเชิงกราน” (Posterior Inferior Iliac Spine: PIIS)
1.1.2 กระดูอิสเซียม (Ischium) เป็นส่วนของกระดูกที่อยู่ล่างสุด แข็งแรงที่สุด ด้านล่างมีปุ่มขรุขระ ทำหน้าที่รับน้ำหนักในขณะที่เรานั่ง เรียกว่า “ปุ่มกระดูกก้น” (Ischial Tuberosity) กระดูกชิ้นนี้มีลักษณะแบนงอโค้ง ปลายด้านบนต่อกับ “กระดูกเชิงกราน” (Ilium) และบางส่วนก็เชื่อมต่อกับ “กระดูกหัวหน่าว” (Pubis) ปลายล่างโค้งต่อกับกระดูกทางด้านหน้าเกิดเป็นช่องกลมใหญ่ เรียกว่า “ช่องเปิดกระดูกเชิงกราน” (Obturator Foramen) เป็นที่ไว้สำหรับให้เส้นเลือด เส้นประสาททอดผ่านไปยังต้นขา ที่ขอบนอกของสันกระดูกทางด้านหลังขนาดเล็ก เรียกว่า “รอยเว้าเล็กของไซแอติก” (Lesser Sciatic Notch) เหนือส่วนนี้ขึ้นไปมีปุ่มแหลมๆ เรียกว่า “ปุ่มหลังกระดูกอิสเซียม” (Ischium Spine) ปุ่มนี้มีความสำคัญกับการคลอดทารกมาก
1.1.3 กระดูกหัวเหน่าว (Pubis) เป็นกระดูกที่อยู่ทางด้านล่างและด้านหน้าของกระดูกสะโพก ลักษณะแบนโค้งงอและปลายบนวางขนาดไปเชื่อกับของล่างของ “กระดูกเชิงกราน” (Ilium) ปลายล่างโค้งงอไปต่อกับ “กระดูกอิสเซียม” (Ischium) กระดูกหัวเหน่าวแต่ละข้างจะมาเชื่อมต่อกันทางด้านหน้าด้วยข้อต่อที่เรียกว่า “แนวประสานกระดูกหัวเหน่าว” (Symphysis Pubis)
ความสำคัญทางการแพทย์ของกระดูกสะโพก กระดูกสะโพกถือว่ามีความสำคัญทางการแพทย์ และนิติวิทยาศาสตร์ เป็นอย่างมาก เช่น ใช่ในการระบุเพศ และอายุของผู้เสียชีวิต เนื่องจากกระดูกสะโพกในผู้ใหญ่ของเพศหญิงและเพศชายมีความแตกต่างกัน เช่น
- กระดูกเชิงกรานเพศหญิงจะฝายกว้างกว่าเพศชาย
- กระดูกก้นของเพศหญิงจะแบบกว่า และยื่นไปทางด้านหลังมากกว่าเพศชาย
- มุมด้านล่าง (Subpubic Angle) ที่เกิดจากกระดูกัวเหน่ามาต่อกัน ของเพศหญิงจะเป็นมุมกว้าวกว่าเพศชาย
- ช่องทางเข้าเชิงกราน (Pelvic Inlet) ในเพศชายจะเป็นรูปหัวใจ ในเพศหญิงจะเป็นรูปวงรี หรือ วงกลม ที่มีขนาดกว้างกว่า
นอกจากนี้ในทางการแพทย์ ยังใช้ปุ่มกระดูกมาใช้ในการหาตำแหน่งเพื่อฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อสะโพก (Gluteus Maximus Site of Injection) ได้อย่างปลอดภัย ป้องกันการทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อ “เส้นประสาทสเคียติก” (Sciatic Nerve) อีกด้วย เช่น ปุ่มกระดูกบนส่วนหน้ากระดูกสะโพก” (Anterior Superior Iliac Spine: ASIS) รามไปถึงการใช้ตำแหน่งของ “ไส้ติ่ง” (McBurney’s
point) ได้อีกด้วย
1.2 กระดูกโคนขา หรือกระดูกต้นขา (Femur) เป็นกระดูกชนิดยาวที่หนักและแข็งแรงที่สุดในร่างกาย สามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 3,500 กิโลกรัม/ตารางเซ็นติเมตร มีความยาวประมาณ 1/4 ของความสูงของแต่ละคน ปลายบนของกระดูกต่อกับ “เบ้ากระดูกสะโพก” (Acetatulum) เรียกว่า “ข้อสะโพก” (Hip Joint) ส่วนปลายล่างต่อกับข้อเข่า ส่วนหัวของกระดูกมีลักษณะกลม ถัดลงมาจะเป็น “ส่วนคอ” (Neck) มีลักษณะคอดกลม ตรงบริเวณนี้มีปุ่มกระดูก 2 อัน เรียกว่า “ปุ่มใหญ่ข้างข้อสะโพก” (Greater Trochanter of Femur) ปุ่มเล็กเรียกว่า “ปุ่มเล็กข้างข้อสะโพก” (Lesser Trochanter of Femur) ปลายล่างของกระดูกมีปุ่ม 2 อัน ปุ่มด้านนอกเรียกว่า “ปุ่มด้านนอกของกระดูกต้นขา” (Lateral Condyle of Femur) ปุ่มด้านในเรียกว่า “ปุ่มด้านในกระดูกต้นขา” (Medial Condyle of Femur) บริเวณด้านหน้าของปุ่มทั้งสอง มีรอยเว้าเพื่อเป็นที่ต้้งของกระดูกสะบ้า (Patella) เรียกว่า “พื้นรองรับกระดูกสะบ้า” (Patella Surface) ช่วยให้กระดูกสะบ้าเคลื่อนไหวได้ขณะที่เหยียดหรืองอเข่า

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของกระดูกต้นขา ที่มาของภาพ (Anterior คือ ด้านหน้า – Posterio คือ ด้านหลัง) https://www.registerednursern.com/femur-bone-anatomy/
1.3 กระดูกสะบ้า (Patella) เป็นกระดูกแบน อยู่ด้านหน้าของข้อเข่า บางครั้งเรียกว่า “กระดูกหัวเข่า” กระดูกสะบ้าเป็นกระดูกชนิด “กระดูกในเอ็นกล้ามเนื้อ” (Sesamoid Bone) โดยฝังอยู่ในเส้นเอ็นของ “กล้ามเนื้อควอดริเซ็บ ฟีเมอริส” (Quadriceps Femoris) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ใช้เหยียดเข่า พื้นผิวด้านหลัง ตรงกลางจะนูนเป็นสันเล็กน้อย เรียกตำแหน่งนี้เว่า “สันแนวตั้งกระดูกสะบ้า หรือ เวอร์ธิคัล ริดจ์” (Vertical Ridge) พื้นผิวด้านข้างของแนวทั้งสองข้าง ลาดลงเป็นแอ่ง (Facet) จากภาพ แอ่งซ้ายเรียกว่า “มีเดียล ฟาเซ็ท” (Medial Facet) แองขวาเรียกว่า “เลเทอร์รัล ฟาเซ็ท” (Lateral Facet) เป็นส่วนที่ประกบติดกับส่วน “ปุ่มนูนปลายล่างกระดูกต้นขา” (Condyle of Distal Femur) มีสองปุ่ม คือ “มีเดียล คอนไดล์ หรือปุ่มนูนด้านใน” (Medial Condyle) และ “เลเทอร์รัล คอนไดล์ หรือปุ่มนูนด้านข้าง” (Lateral Condyle) กระดูกสะบ้าช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่าได้สะดวก

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของกระดูกสะบ้า ที่มาของภาพ https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/patellar-tendonitis-jumpers-knee

ภาพแสดง ลักษณะของกระดูกสะบ้า Anteriro Surface คือ ลักษณะพื้นผิวด้านหน้า Posterior Surface คือ ลักษณะของพื้นผิวด้านหลัง ที่มาของภาพ https://helpmijleven.org/search/small-power-station-expansion-batteries-for-ecoflow-river-bluetti-tt-/?s=anatomy-of-patella-bone-and-spine-tt-Yz4Ew7fZ
1.4 กระดูกหน้าแข้ง (Tibia) เป็นกระดูกชนิดยาวที่แข็งแรงและยาวเป็นอันดับสอง รองจากกระดูกต้นขา ปลายด้านบนของกระดูกเชื่อต่อกับข้อเข่า (Knee Joint) ส่วนปลายด้านล่างเชื่อมต่อกับกับกระดูกข้อเท้า (Ankle Joint) ด้านข้างปลายบนมีปุ่มเรียกว่า “ปุ่มกระดูกด้านนอกของหน้าแข้ง” (Lateral Condyle) มีอยู่ 2 ปุ่ม รองรับกับปุ่มที่ปลายล่างของกระดูกต้นขาด้านหน้า ระหว่างปุ่มทั้งสองทางด้านหน้า มีสันสำหรับให้เอ็นที่คลุมกระดูกสะบ้า (Patella Tendon) เกาะ เรียกว่า “ปุ่มกระดูกใต้เข้า” (Tibial Tuberosity) กึ่่งกลางด้านหน้าของกระดูกหน้าแข้งจะนูนเป็นสัน และที่ปลายล่างจะมีปุ่มกระดูกอยู่ทางด้านใน สามารถมองเห็นและคลำได้อย่างชัดเจน เรียกว่า “ตาตุ่มด้านใน” (Medial Malleolus) เชื่อมต่อกับกระดูก “กระดูกข้อเท้า” (Talus)

ภาพแสดง โครงสร้างและลักษณะของกระดูกหน้าแข้งและกระดูกน่อง ที่มาของภาพ https://at.pinterest.com/pin/694398836282633328/
1.5 กระดูกน่อง (Fibula) เป็นกระดูกรูปร่างเล็กเรียวยาว ทอดตัวขนานกับ “กระดูกหน้าแข้ง” (Tibia) ทางด้านข้าง กระดูกนี้ไม่จัดเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกข้อเข่า รับนัำหนักของร่างกายเพียงเล็กน้อย ส่วนหัวของกระดูกน่อง เชื่อมต่อกับ “ปุ่มนูนด้านข้าง หรือ เลเทอร์รัล คอนไดล์” (Lateral Condyle) ของกระดูกหน้าแข่ง ปลายล่างมีปุ่มกระดูกที่เรียกว่า “เลเทอร์รัล มัลลีโอลัส หรือ ตาตุ่มด้านนอก” (Lateral Malleolus) ซึ่งเชื่อมต่อกับกระดูกทาลัส กระดูกน่องมีหน้าที่ช่วยให้ข้อเท้าสามารถบิดหมุนไปมาทางด้านข้างได้ดี
1.6 กระดูกข้อเท้า (Tarsal Bones) เป็นกระดูกสั้นเหมือนกระดูกข้อมือ (Carpal Bones) มีข้างละ 7 ชิ้น น้อยกว่ากระดูกข้อมือข้างละ 1 ชิ้น เพราะข้อมือกับข้อเท้ามีบทบาทหน้าที่รวมทั้งลักษณะการเคลื่อนไหวแตกต่างกัน กระดูกข้อเท้าประกอบด้วย
1.6.1 กระดูกทาลัส กระดูกข้อเท้า (Talus) มีข้างละ 1 ชิ้น เป็นกระดูกที่อยู่ตรงกลางของหลังเท้า เป็นส่วนที่สูงที่สุด ทำหน้าที่รับน้ำหนัก
1.6.2 กระดูกคัลเคเนียส หรือกระดูกส้นเท้า (Calcaneu) มีข้างละ 1 ชิ้น ขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ทางด้านล่างกระดูกข้อเท้า ทำหน้าที่รับน้ำของร่างกาย ปรับสภาพของฝ่าเท้า ให้เข้ากับความขรุขระของพื้นที่ผิวสัมผัส และเป็นที่ยึดเกาะของเอ็นร้อยหวาย (Calcaneous or Achilles Tendon)
1.6.3 กระดูกคูบอยด์ หรือ กระดูกเท้ารูปลูกบาศก์ (Cuboid) มีข้างละ 1 ชิ้น อยู่ทางด้านนอกสุดของกระดูกข้อเท้า
1.6.4 กระดูกเนวิคูลาร์ หรือ กระดูกรูปเรือ (Navicular) มีข้างละ 1 ชิ้น มีรูปร่างคล้ายเรือเนื่องจากมีรอยกดทับที่ด้านหลังตัวกระดูก รอยกดทับนี้ทำหน้าที่รองรับส่วนหัวของกระดูกทาลัส
1.6.5 กระดูกคูนีฟอร์ม (Cuniform) เป็นกระดูก 3 ชิ้น งางเป็นแนวหน้ากระดานอู่ทางด้านหน้าต่อ “กระดูกเนวิคูลาร์” เรียกชื่อกระดูกจากตำแหน่งด้านหัวแม่เท้า ไปทางด้านนิ้วก้อยเรียงลำดับดังต่อไปนี้คือ ชิ้นแรกเรียกว่า “เฟิร์ส หรือ มีเดียล คูนิฟอร์ม” (First or Medial Cuniform) ชิ้นถัดมาเรียกว่า “เซคอนด์ หรือ อินเทอร์มิเดียท คูนิฟอร์ม” (Second or Intermediate Cuniform) และ ชิ้นสุดท้ายเรียกว่า “เธิร์ด หรือ เลเทอร์รัล คูนิฟอร์ม” (Third or Lateral Cuniform)

ภาพแสดง โครงสร้างและลักษณะของกระดูกข้อเท้า ที่มาของภาพ https://www.theskeletalsystem.net/tarsal-bones
1.7 กระดูกฝ่าเท้า (Metatarsal Bones) เป็นกระดูกยาว มีข้างละ 5 ชิ้น เชื่อระหว่างกระดูกข้อเท่ากับกระดูกนิ้วเท้า กระดูกฝ่าเท้าเรียงลำดับเหมือนกระดูกฝ่ามือ โดยเริ่มนับ 1 มาจากทางนิ้วโป้งเท้า เรียกว่า “เฟิร์ส – เซคอน – เธิร์ด – โฟธ – ฟิฟท์ เมตะทาร์ซัลส์” (First – Second – Third – Fourth – Fifth Metatarsals)

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของกระดูกฝ่าเท้า ที่มาของภาพ https://www.theskeletalsystem.net/metatarsal-bones
1.8 กระดูกนิ้วเท้า (Phalanges) เป็นกระดูกชนิดยาวที่มีขนาดเล็กเหมือนกระดูกนิ้วมือ แต่ละนิ้วมี 3 ชิ้น ยกเว้นนิ้วหัวแม่เท้ามีเพียง 2 ชิ้น กระดูกนิ้วเท้าชิ้นที่ 1 เรียกว่า “พรอคซิมัล เฟแลคซ์” (Proximal Phalanx) ชิ้นที่ 2 เรียกว่า “มิดเดิล เฟแลคซ์” (Middle Phalanx) และชิ้นสุดท้าย (ปลายสุด) เรียกว่า “ดิสตัล เฟแลคซ์” (Distal Phalanx) กระดูกแต่ละชิ้นจะเชื่อมต่อกันด้วย “ข้อต่ออินเตอร์เฟแลคเกีย” (Interphageal Joint) ส่วนข้อแรกที่เชื่อมต่อกับกระดูกฝ่าเท้า เรียกว่า “ข้อต่อเมตะทาร์โซเฟแลคเกีย” (Metatarsophalangeal Joint)

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของกระดูกนิ้วเท้า ที่มาของภาพ https://www.theskeletalsystem.net/toe-bones
ข้อต่อและการเคลื่อนไหว (Joint and Movement)
ข้อต่อ (Joint) หมายถึง บริเวณที่กระดูกและกระดูก หรือ กระดูกอ่อนกับกระดูกอ่อน ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไปมาเชื่อมต่อกัน
หน้าที่ของข้อต่อ คือ
- เพื่อให้กระดูกปลายๆ อัน เชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นโครงร่างของร่างกาย
- ช่วยให้เราสามารเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ ได้
- ลดแรงเสียดทานของปลายกระดูกที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ขณะที่มีการเคลื่อนไหว
การแบ่งชนิดของข้อต่อ ข้อต่อสามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามโครงสร้างที่ยึดเข้าด้วยกันของข้อต่อ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- ข้อต่อติดแน่น หรือข้อต่อไฟบรัส (Fibrous Joint)
- ข้อต่อกระดูกอ่อน หรือ ข้อต่อคาร์ทิเลจินัส (Cartilaginous Joint)
- ข้อต่อมีน้ำไขข้อ หรือ ข้อต่อแบบซินโนเวียล (Synovial Jiont)

ภาพแสดง ประเภทของข้อต่อในร่างกายของเรา ที่มาของภาพ https://www.teachpe.com/anatomy-physiology/types-of-joints
1. ข้อต่อแบบไฟบรัส (Fibrous Joint) เป็นข้อต่อที่ยึดกันด้วย “เนื้อเยื่อเกี่ยวพันหนาแน่น หรือ เนื้อเยื่อเส้นใย” (Dense Connective Tissue or Fibrous Connective Tissue) ทำให้มีความมั่่นคงสูง ข้อต่อประเภทนี้จะไม่มี “โพรงข้อต่อ” (Joint Cavity) จึงส่งผลให้ข้อต่อประเภทนี้เคลื่อนไหวได้น้อย หรือเคลื่อนไหวไม่ได้เลย ข้อต่อกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิดคือ
1.1 รอยประสาน (Suture) ได้แกข้อต่อที่เชื่อมกันระหว่างแผ่นกระโหลกศีรษะ ซึ่งประกอบด้วย “รอยประสานระหว่างกระดูกข้างขม่อม” (Sagittal Suture) ประสานระหว่าง กระดูกข้างขม่อม (Parietal Bone) ทั้งสองข้าง “รอยประสานคล่อมขม่อมหน้า” (Coronal Suture) เป็นร้อยประสานระหว่างกระดูกหน้าผากกับกระดูกข้างขม่อม (Frontal and Parietal Bone) “รอยประสาทท้ายทอย” (Lamdoidal Suture) เป็นรอยประสานระหว่างกระดูกขม่อมและกระดูกท้ายทอย (Parietal and Occipital Bone) และ “รอยประสานทัดดอกไม้” (Squamous Suture) เป็นรอยประสานที่มีแนวโค้งอยู่ด้านหลังบริเวณ “ทัดดอกไม้” (Pterion) ประสานระหว่างกระดูกขม่อมและกระดูกขมับ (Parietal and Temporal Bone)
1.2 ข้อต่อเอ็นยึด หรือ ซินเดสโมซีส (Syndesmosis) เป็นข้อต่อที่มีแผ่นของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดหน้าแน่ขึงอยู่ พบได้ในกระดูกชนิดยาว (Long Bone) เช่น “ระหว่างกระดูกแขนส่วนปลายท่อนในและท่อนนอก” (Ulna and Radious) และ “ระหว่างกระดูกน่องและกระดูกหน้าแข้ง” (Fibula and Tibia)
1.3 ข้อต่อเบ้าฟัน (Gomphosis) เป็นข้อต่อที่เคลื่อนไหวไม่ได้เลย เช่น ข้อต่อของรากฟัน เข้ากับ “ร่องกระดูก” (Bony Socket) ของ “กระดูกขากรรไกรล่างและขากรรไกรบน” (Maxilla and Mandible) ที่ยึดติดกันด้วย “เยื่อหุ้มรากฟัน หรือ เยื่อปริทันต์” (Periodontal Membrane)

ภาพแสดง ข้อต่อชนิดที่เคลื่อนที่ได้น้อย หรือขยับไม่ได้เลย ที่มาของภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/Fibrous_joint
2. ข้อต่อชนิดกระดูกอ่อน (Cartilaginous Joint) เป็นข้อต่อที่ยึดกันด้วย “กระดูกอ่อน” (Cartilage) ไม่มี “โพรงข้อต่อ” (Joint Cavity) ส่งผลให้มีการเคลื่อไหวของข้อได้เล็กน้อย หรือเคลือนไหวไม่ได้เลย ข้อต่อชนิดนี้มีอยู่ 2 ชนิดคือ
2.1 ข้อต่อกระดูกอ่อนไฮยาลิน (Synchondrosis or Primay Cartilaginous Joint) เป็นข้อต่อที่ยึดกันด้วย “กระดูกอ่อนไฮอะลีน” (Hyaline Cartilag) ได้แก่บริเวณ “ปลายของกระดูกซีโครงเชื่อมต่อกับกระดูกหน้าอก” (Costal Cartilage)
2.2 ข้อต่อซิมไพซีส (Symphysis or Secondary Cartilaginous Joint) เป็นข้อต่อที่ยึดเข้าด้วยกันโดย “กระดูกอ่อนแบบเส้นใย” (Fibrocartilage) ได้แก่ “ข้อต่อของกระดูกหัวหน่าว” (Interpubic or Symphysis Joint) และ “ข้อต่อกระดูกสันหลัง” (Intervertebral Joint)

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของข้อต่อประเภทกระดูกอ่อน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท
3. ข้อต่อชนิดมีไขข้อ หรือ ข้อต่อซินโนเวียล (Synovial Joint) เป็นข้อต่อที่พบได้มากที่สุด มีความสำคัญมาก เนื่องจากสามารถเคลื่อนไหวได้มาก ข้อต่อชนิดนี้ประกอบด้วยโครงสร้างสำคัญ 4 อย่าง คือ
3.1 ปลอกหุ้มข้อต่อ (Joint Capsule) เป็น “เนื้อเยื่อเส้นใย” (Fibrous Tissue) ที่มีความแข็งแรงห่อหุ้มด้านนอกของข้อต่อ
3.2 กระดูกอ่อนผิวข้อ (Aticular Cartilage) เป็นกระดูกอ่อนไออะลีน (Hyaline Caritlage) แผ่นบางๆ ที่หุ้มอยู่ที่ปลายของกระดูกทั้งสองชิ้นที่มาเชื่อมต่อกัน
3.3 เยื่อหุ้มไขข้อ (Synovial Membrane) เป็นเยื่อที่บุผิวภายในข้อต่อ ยกเว้นบริเวณผิวของกระดูกอ่อน
3.4 โพรงข้อต่อ (Joint Cavity) เป็นช่องว่างที่อยู่ภายในข้อต่อมี “น้ำไขข้อ” (Synovial Fluid) ซึ่งสร้างจาก “เยื่อหุ้มไขข้อ” (Synovial Membrane) มีจำนวนไม่มาก ทำหน้าที่ลดการเสียดทานของข้อต่อขณะที่มีการเคลื่อนไหว

ภาพแสดง ลักษณะและโครงสร้างของข้อต่อแบบมีน้ำเลี้ยงข้อ หรือ ข้อต่อแบบซินโนเวียล
ภาพจาก https://www.congress-intercultural.eu/?i=synovial-joints-%E2%80%93-anatomy-physiology-mm-dn3nBNSe
ข้อต่อแบบซินโนเวียล สามารถแบ่งออกได้ตามรูปร่างลักษณะของข้อต่อได้เป็น 6 แบบ คือ
1. ข้อต่อแบบเบ้า (Ball and Socket joint) มีหน้าต่อด้านหนึ่งเป็นหัวกลมคลายลูกบอล อีกด้านหนึ่งบุ๋มลงไปเป็นเบ้า ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากถึง 3 แนวแกน คือ ไปหน้า-หลัง ไปทางข้างซ้าย-ขวา และหมุนรอบแกนได้ (Ratation) จัดว่าเป็นข้อต่อที่มีความอิสระในการเคลื่อนไฟวสูงที่สุด แต่การเคลื่อนไหวได้แบบนี้ก็มีข้อจำกัดคือ จะมีโอกาสเลื่อนหลุดออกจากเบ้ากระดูได้ง่ายด้วยเช่นเดียวกัน ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า “ข้อหลุด” (Joint Dislocated) ซึ่งพบได้บ่อยในกลุ่มกีฬาที่ต้องมีการปะทะ เช่น รักบี้ ฟุตบอล นักมวย เป็นต้น ดังนั้นข้อต่อแบบนี้จึงมีส่วนประกอบของโครงสร้างที่แข็งแรง เช่น มีเอ็นรอบข้อต่อและกล้ามเนื้ออยู่บริเวณรอบๆ ข้อต่อจำนวนมาก ตัวอย่างของข้อต่อแบบนี้ คือ ข้อต่อหัวไหล่ (Shoulder Joint) หรือ ข้อต่อสะโพก (Hip Joint)
2. ข้อต่อแบบบานพับ (Hinge Joint) มีการเคลื่อนไหวแบบสองมิติ คล้ายๆ กับการเคลื่อนไหวของบานพับประตูหรือหน้าต่าง คือ สามารถเคลื่อนไหวได้แบบ 180 องศา ในลักษณะ “งอและเหยียด” (Flexion and Extension) เช่น ข้อศอก ข้อเท้า ข้อต่อนิ้วมือนิ้เท้า ข้อเข่า อย่างไรก็ตามข้อเข่า ก็ยังสามารถหมุนได้รอบๆ แต่จะเป็นองศาแคบๆ
3. ข้อต่อแบบเดือย หรือแบบหมุน (Pivot Joint or Rotary Joint) เป็นข้อต่อที่กระดูกชิ้นหนึ่งจะมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นเดือย และรับกับกระดูกอีกชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเป็นเบ้าหรือวงแหวน ทั้งสองส่วนนี้จะประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถเกิดการเคลื่อนไหวแบบหมุนตามแนวแกนของเดือย ตัวอย่างของข้อต่อแบบนี้คือ ข้อต่อของกระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 1 และ ชิ้นที่ 2 (Atlantoaxial Joint) ซึ่งมีส่วนช่วยให้เราสามารถเคลื่อนไหวคอแบบ “ก้ม-เงย-หมุนซ้าย-ขวา” ได้
4. ข้อต่อแบบวงรี (Ellipsoidal or Condylar Joint) มีพื้นผิวของข้อต่อคล้ายกับข้อต่อแบบเบ้า แต่จะมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวในด้านในด้านหนึ่ง เช่น ข้อต่อของข้อมือ ซึ่งเราสามารถขยับข้อมือได้รอบทุกทิศทาง แต่จะมีความจำกัดในเรื่องขององศาของการเคลื่อนไหว คือมีองศาการเคลื่อนไหวที่แคบกว่าข้อต่อแบบเบ้า
5. ข้อต่อแบบอานม้า (Saddle Joint) เป็นข้อต่อที่มีการประกบกันของส่วนเว้าของปลายกระดูกทั้งสองในแนวที่แตกต่างกัน ทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหรือการหมุน เช่น ข้อต่อของฝ่ามือ (Carpometacarpal Joint) และข้อต่อของนิ้วหัวแม่มือ
6. ข้อต่อแบบเลื่อน (Gliding Joint) เป็นข้อต่อที่มีเพียงการเคลื่อนไหวได้ในแนวระนาบเท่านั้น เช่น ข้อต่อระหว่างกระดูกข้อมือ
อาการสำคัญทางคลินิกเกี่ยวกับข้อต่อ ปัญหาสุขภาพที่เราพบได้บ่อยเกี่ยวกับข้อต่อ คือ “โรคข้อเสื่อม” (Degenerative Joint Disease) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ คนอ้วน มักพบได้ที่หัวเข่า สะโพก ข้อมือ และกระดูกสันหลัง ภาวะข้อเสื่อมเกิดจากการใช้งานข้อต่ออย่างหนักเป็นเวลาหลายปี การเสื่อมของข้อต่อจะเกิดขึ้นกับ “ผิวกระดูกอ่อนข้อต่อ” (Aticular Cartilage) ทำให้ผิวเกิดการสึกและบางลงของชั้นใต้ผิวของข้อต่อ (Caartilage Loss) การเสี่อมจะไม่สามารถซ่อมแซมให้เกิดขึ้นใหม่ได้ ส่งผลให้ “ผิวกระดูกอ่อนข้อต่อ” ด้อยประสิทธิภาพในการลดแรงกระแทก และการหล่อลื่นการเคลื่อนไหวของข้อต่อ จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดข้อรุนแรงมาก นอกจากนั้นยังทำให้ “ช่องของข้อแคบลง” (Joint Space Narrowing) ทำให้มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวข้อเข่า หรือทำให้ข้อผิดรูปโกงงอได้ ข้อต่อที่เสื่อมมักจะพบได้ในข้อต่อที่ต้องรับน้ำหนักมากๆ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก เป็นต้น

ภาพแสดง ลักษณะของข้อเข่าเสื่อม ที่มาของภาพ https://orthocenter-si.com/content/knee-degenerative-joint-disease