ผู้สูงอายุส่วนมากจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายว่าเป็นไปตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุบางคนไม่คิดจะป้องกันหรือดูแลสุขภาพของตนเองจนนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพ เพราะมีความเข้าใจว่าโรคที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้และเป็นเรื่องของธรรมชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเราสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ หากได้รับการเอาใจใส่ดูแลตั้งแต่เริ่มต้น การเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุเกิดขึ้นได้ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งจะขอกล่าวถึงรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละด้านดังต่อไปนี้

1. การเปลี่ยนทางด้านร่างกาย

ระบบห่อหุ้มร่างกาย มีการเปลี่ยนแปลที่สำคัญได้แก่ ผิวหนัง ต่อมเหงื่อ ผม เล็บ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นมาจากความชรา กรรมพันธ์ุ สิ่งแวดล้อม อาหาร และการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาในอดีต

     โครงสร้างของผิวหนัง ประกอบด้วย
     - หนังกำพร้า เป็นชั้นบนสุดของผิวหนัง เป็นชั้นบางๆ เป็นเซลล์ที่หลุดลอกออกไปเป็นขี้ไคล ผิวหน้าของหนังกำพร้าจะถูกปกคลุมด้วยน้ำและไขมันเพื่อช่วยความชุ่มชื้นของผิวหนัง เป็นส่วนที่สร้างเม็ดสีเมลานิล ทำให้คนเรามีผิวแตกต่างกันไป หน้าที่หลักของหนังกำพร้าคือการป้องกันเชื้อโรค สารพิษ แสงแดง และสิ่งอื่นๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
     - หนังแท้ เป็นเนื้อเยื้อที่อยู่ติดกับหนังกำพร้า เป็นส่วนที่มีความหนาและมีความยืดหยุ่นสูง ประกอบด้วยคอลลาเจนและอิสาสติน ช่วยทำให้ผิวหนังเต่งตึงดูอ่อนวัย ชั้นหนังแท้เป็นที่อยู่ของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน รูรากขนและผม เส้นประสาทรับความรู้สึก และหลอดเลือด
     - ชั้นไขมันหรือชั้นใต้ผิวหนัง มีไขมันและคอลลาเจนจำนวนมาก มีหลอดเลือด มีหน้าที่ในการเก็บพลังงานและป้องกันการกระแทรกของอวัยวะภายใน
     หน้าที่ของผิวหนัง ประกอบด้วย
     - เพิ่มความสวยงาม โดยมีคอลลาเจนและอิลาสตินเป็นโครงสร้างสำคัญ 
     - ห้อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันเชื้อโรค สารพิษ รังสี UV แสงแดง
     - สร้างวิตามินดี โดยทำงานร่วมกับแสงแดดเวลาเช้า
     - ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายเป็นการทำหน้าที่ระบบประสาทอัตโนมัติโดยออกคำสั่งมาที่ผิวหนัง โดยแบ่งออกเป็น 2 สถานนะ
         อาการร้อน หากอากาศรอบๆ ร่ายกายเรามีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย หรือขณะที่ภายในร่างกายของเรามีอุณหภูมิสูงมากเกินไป เช่น ขณะออกกำลังกาย หรือขณะมีไข้ ความร้อนภายในร่างกายจะมากเกินความจำเป็น ระบบประสาทอัตโนมัติจะสั่งให้ "ต่อมเหงื่อ" ขับเหงื่อออกมาที่บริเวณผิวหนังมากขึ้น เมื่อเหงื่อระเหยจากผิวหนังจะพาความร้อนจากร่างกายไปยังอากาศรอบๆ ตัวเรา "หลอดเลือด" บริเวณผิวหนังจะมีการขยายตัว เพื่อให้มีการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังเพิ่มมากขึ้น เลือดจะพาความร้อนจากแกนกลางของร่างกายมายังผิวหนังเพื่อระบายความร้อนออกสู่ภายนอก ดังเราจะสังเกตได้ว่าเวลาอากาศร้อนหรือขณะออกกำลังกายใบหน้าเราจะแดง
         อาการเย็น  ความร้อนในร่างกายของเราจะเสียความร้อนไปกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา อุณหภูมิในร่างกายเราจะลดต่ำไปด้วย ร่างกายต้องคงรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ ระบบประสาทอัตโนมัติจะส่งสัญญาณให้ "ต่อมเหงื่อ" ลดการขับเหงื่อ "หลอดเลือด" มีการหดตัวทำให้การไหลเวียนของโลหิตบริเวณผิวหนังลดลง ความร้อนจากแกนกลางของร่างกายจะถูกเก็บรักษาไว้ไม่ให้สูญเสียออกสู่ภายนอกร่างกาย นอกจากนั้น "กล้ามเนื้อต่อมขน" (Arrector pili muscle) จะมีการหดตัว คือ มีการเผาผวาญเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ส่งผลให้เกิดภาวะ "ขนลุกชัน" 

การเปลี่ยนแปลงของระบบห่อหุ้มร่างกายในผู้สูงอายุ

     1. ผิวหนัง 
     พบการเปลี่ยนแปลงได้คือใบหน้าและส่วนต่างๆ จะมีการ "เหี่ยวย่น" เพราะบริมาณไขมันใต้ผิวหนังน้อยลง "ผิวหน้าซีด" ไม่มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาวเพราะเส้นเลือดฝอยบริเวณใบหน้าลดน้อยลง "ความยืดหยุ่นน้อยลง" เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินบริเวณผิวหนังลดจำนวนลง บางคนมี "ตุ่มนูนคล้ายหูด/กระเนื้อ"  (Seborrheic Keratosis) เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน "ฝ้า/กระ/จุดด่าง" (Age Spots) เกิดจากเม็ดสีที่ผิวหนังมีจำนวนมากขึ้นจากการสัมผัสลมและแสงแดงมานาน การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา นอกจากนั้นการสร้างเซลล์ใหม่และการเจริญเติบโตของเซลล์จะช้ากว่าปกติจึงทำให้แผลหายช้า ในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงจะเกิด "แผลกดทับ" ได้ง่ายเนื่องจากการไหลเวียนบริเวณที่เกิดผลลดลงเพราะเส้นเลือดฝอยลดจำนวนและมีการสร้างเส้นเลือดฝอยขึ้นใหม่ช้า นอกจากนั้นระบบรับความรู้สึกบริเวณผิวหนังก็ลดลงด้วย
     2. ต่อมเหงื่อ ขับเหงื่อได้น้อยลง ขนาดของต่อมเหลื่อมีขนาดเล็กลง มีจำนวนน้อยลงกว่าวัยตอนต้น การระบายความร้อนจึงไม่ค่อยดี นอกจากนั้นระบบการตอบสนองของระบบประสาทส่วนกลางตอบสนองต่อภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้ไม่ดี ทำให้การขยายตัวของเส้นเลือดฝอยบริเวณผิวหนังเพื่อระบายความร้อนจากร่างกาย และการกระตุ้นให้เพิ่มการหลั่งเหงื่อเพิ่มขึ้นเป็นไปได้ช้า เมื่ออากาศร้อนจึงทำให้ผู้สูงอายุเสี่ยงที่จะเป็นลมจากอากาศร้อนได้ง่ายกว่าปกติ
      ในขณะที่อากาศเย็น ผู้สูงอายุก็จะทนความหนาวไม่ค่อยได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากปริมาณของไขมันใต้ผิวหนังมีจำนวนน้อยลง การเก็บรักษาความไว้ไม่ค่อยดี และการตอบสนองต่ออาการเย็นของระบบประสาทส่วนกลางก็ช้าด้วย ดังนั้นผู้สูงอายุจะปรับตัวได้ยากกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบกาย "เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว" เหมือนคนจู้จี้
      ผู้ดูแลผู้สูงอายุ จึงควรทำความเข้าในในประเด็นนี้ไว้ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่านี่เป็นธรรมชาติของผู้สูงอายุและเกิดทัศนะคติที่ดีในการดูแลผู้สูงอายุ 
     3. ผม มีอาการหงอกคือมีสีขาว เส้นเล็กลงและเปราะ ร่วงง่าย เนื่องจากเนื้อเยื้อที่หนังศีรษะเหี่ยวย่นการไหลเวียนของโลหิตลดลง ทำให้เส้นผมได้รับอาหารไม่เพียงพอ ส่วนเล็บจะยาวช้า แข็งและหักง่าย

ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation system) ประกอบด้วย หัวใจ หลอดเลือดแดง หลอดเลือดฝอย หลอดเลือดดำ และเลือด หลอดเลือดจะกระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย เราแบ่งระบบการไหลเวียนเลือดออกเป็น 2 ส่วนคือ ระบบหลอดเลือดแดงและระบบหลอดเลือดดำ

ภาพแสดงระบบการไหลเวียนโลหิต
     1. ระบบไหลเวียนเลือดแดง (Artery system) จะนำเลือดแดงไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
         1.1 นำเลือดไปเลี้ยงเซลล์ส่วนบนของร่างกาย ประกอบด้วยแขนสองข้าง คอ และศีรษะ ซึ่งจะแบ่งหลอดเลือดขนาดใหญ่อีก 2 ส่วนย่อย คือ 
             1.1.1 หลอดเลือดแดงใต้ไหปลาร้า (Subclavian arteries) เพื่อนำเลือดแดงไปเลี้ยงแขนทั้งสองข้าง
             1.1.2 หลอดเลือดแดงคอ (Carotid arteries) นำเลือดไปเลี้ยงบริเวณคอและศีรษะ
        1.2 นำเลือดไปเลี้ยงส่วนล่างของร่างกาย คือ ตั้งแต่ระดับหน้าอกไปจนถึงปลายเท้า
     หลอดเลือดแดงจะแตกแขนงออกไปจากหลอดเลือดแดงหลัก เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างทั่วถึง จากหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่เป็นหลอดเลือดแดงเล็ก และหลอดเลือดฝอยตามลำดับ หลอดเลือดฝอยเป็นตำแหน่งที่มีการส่งออกซิเจนและสารอาหารให้กับเซลล์ที่อยู่โดยรอบ ในขณะเดียวกันก็รับเอาของเสียจากเซลล์เข้ามาในกระแสเลือดทำให้สถานะของเลือดกลายเป็นเลือดดำ จากหลอดเลือดฝอยจะกลายเป็นหลอดเลือดดำเล็กและหลอดเลือดดำใหญ่ขึ้นตามลำดับ 
      2. ระบบไหลเวียนเลือดดำ (Venous system) ทำหน้าที่นำเลือดดำกลับมาที่หัวใจห้องบนขวาก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ จากส่วนบนและจากส่วนล่างของร่างกาย
         2.1 หลอดเลือดดำใหญ่ส่วนบน (Superior vena cava) คือ หลอดเลือดที่นำเลือดดำจากส่วนบนของร่างกายกลับไปยังหัวใจห้องบนขวา
         2.2 หลอดเลือดดำใหญ่ส่วนล่าง (Inferior vena cava) คือ หลอดเลือดดำที่นำเลือดดำจากส่วนล่างของร่างกายกลับสู่หัวใจห้องบนขวา
     องค์ประกอบที่สำคัญของระบบไหลเวียนโลหิต ประกอบด้วย

     1. หัวใจ (Heart หรือ Cardio) เป็นกล้ามเนื้อชนิดพิเศษ เรียนกว่า "กล้ามเนื้อหัวใจ" สามารถสร้างไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้เอง ภายใต้การควบคุมการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เป็นศูนย์กลางของต้นกำเนิดการไหลเวียนของเลือด หากหัวใจทำงานได้ไม่ดีหรือมีความผิดปกติจะทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว การทำงานของหัวใจส่งผลให้เกิดสิ่งต่อไปนี้

     "ความดันโลหิต" (Blood pressure) เกิดจากการบีบตัวของหัวใจผลักดันเลือดให้ผ่านไปยังหลอดเลือดทำให้เกิดเป็นความดันโลหิต ความดันโลหิตมีสองค่า ความดันโลหิตในขณะที่หัวใจบีบตัวเราเรียกว่า "ซีสโทลิค" (Systolic ่blood pressure) หรือความดันตัวบน และความดันในหลอดเลือดขณะหัวใจคลายตัว เราเรียกว่า "ไดแอสโทลิค" หรือความดันตัวล่าง ความดันโลหิตปกติในผู้ใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ในผู้สูงอายุความดันโลหิตเฉลี่ยจะสูงขึ้นตามอายุ

     "ชีพจร" (Pulse) เป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่เราสัมผัสได้ในขณะที่มวลของเลือดเคลื่อนที่ออกจากหัวใจไปปะทะกับผนังของหลอดเลือดจนทำให้เรารู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ ชีพจรในเด็กแรกเกิดอยู่ระหว่าง 120-160 ครั้ง/นาที เมื่อเริ่มเป็นเด็กโตจะลดลงอยู่ระหว่าง 70-120 ครั้ง/นาที สำหรับในวัยผู้ใหญ่จะมีอัตราอยู่ระหว่าง 60-100 ครั้ง/นาที เวลาที่ออกกำลังกายชีพจรของเราจะเต้นเร็วและแรงขึ้น เนื่องจากหัวใจต้องปั้มออกซิเจนไปให้กล้ามเนื้อที่กำลงทำงานมากขณะออกกำลังกาย
     ตำแหน่งของการจับชีพจรสามารถทำได้ทุกส่วนที่มีเส้นเลือดแดงขนาดไม่เล็กจนเกินไป ผู้เขียนขอแนะนำการจับชีพจรใน 2 สถานการณ์ คือ 
     "คนที่รู้สึกตัวดี" แนะนำให้จับชีพจรได้ 2 ตำแหน่งคือ ที่ข้อมือ (Radial pulse) เป็นตำแหน่งที่บุคลากรทางแพทย์ใช้ประเมินมากที่สุด หรือที่ข้อพับแขน (Brachial pulse) ส่วนใหญ่ตำแหน่งนี้ใช้วัดความดันโลหิต แต่ถ้าที่ข้อมือประเมินได้ไม่ชัดเจนเราก็สามารถมาใช้ตำแหน่งข้อพักแขนได้
     "คนที่ไม่รูสึกตัว" แนะนำให้จับชีพจรได้ 2 ตำแหน่งคือที่คอ (Calotid pulse)  หรือที่ขาหนีบ (Femeral pulse) ที่ขาหนีบมักจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ประเมิน เพราะจะประเมินยากว่าที่คอเนื่องจากเส้นเลือดนี้อยู่ลึก โดยเฉาะคนอ้วนต้องออกแรงกดมากขึ้น
     การประเมินชีพจรให้สังเกต "จำนวนครั้ง/นาที" "ความแรง" "ความสม่ำเสมอ" กรณีที่ "ชีพจรสม่ำเสมอดี" เราสามารถใช้เวลาประเมินครึ่งนาที ได้จำนวนเท่าไรให้ "คูณด้วย 2" ก็จะได้เป็นอัตราชีพจรใน 1 นาที
ภาพแสดงส่วนประกอบของหัวใจ
     ส่วนประกอบที่สำคัญของหัวใจ คือ
     ก) หัวใจซีกขวา ประกอบด้วยหัวใจห้องบนขวา (Atrium - เอเทรียม) และหัวใจห้องล่างขวา (Ventricle - เวนทริเคิล) หัวใจซึกขาวนี้จะเป็นการไหลเวียนของเลือดดำ โดยเลือดดำจากส่วนบนของร่างกาย (แขน คอ ศีรษะ) และส่วนล่างของร่างกาย (ตั้งแต่อกลงไปถึงปลายเท้า) จะไหลเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา จากห้องบนขวาไปล่างขวา และเลือดจะถูกส่งไปฟอกที่ปอดทั้งสองข้างเพื่อให้กลายเลือดแดง คือเป็นเลือดที่มีออกซิเจนสูง
     ข) หัวใจซีกซ้าย ประกอบด้วยหัวใจห้องบนและห้องร่างเช่นกัน  (Atrium - เอเทรียม) และหัวใจห้องล่างขวา (Ventricle - เวนทริเคิล) เลือดแดงที่ได้รับการฟอกที่ปอดทั้งสองข้างจะไหลมาที่หัวใจห้องบนซ้าย แล้วไหลไปห้องล่างซ้าย จากนั้นเลือดจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยผ่านหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า
     ค) ลิ้นหัวใจ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของเลือดขณะที่หัวใจบีบตัวและคลายตัว เพื่อให้เลือดไหลไปในทิศทางเดียวไม่ไหลย้อนกลับ หากลิ้นหัวใจมีปัญหา เช่น ลิ้นหัวใจลั่วจะส่งผลให้เลือดดำและเลือดแดงไหลเข้ามาผสมกัน ทำให้เลือดที่ส่งออกไปจากหัวใจมีปริมาณออกซิเจนต่ำกว่าปกติเพราะมีเลือดดำเข้ามาผสม ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ลิ้นหัวใจมีทั้งหมด 4 ตำแหน่งคือ
       - ลิ้นไตรคัสปิด (ไตร = สาม ลิ้นนี่้มีลักษณะสามแฉกเลยมีชื่อว่า ไตรคัสปิด)  กั้นระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่างขวา
       - ลิ้นพัลโมนาลี (พัลโมนารี = ปอด มีหน้าที่ควบคุมการไหลของเลือดไปที่ปอด เลยได้ชื่อตามหน้าที่) ลิ้นนี้กั้นระหว่างหัวใจห้องล่างขวากับหลอดเลือดแดงปอด (** ชื่อเป็นหลอดเลือดแดงปอด แต่ว่านำเลือดดำจากหัวใจห้องล่างขวาไปฟอกที่ปอดนะครับ**)
       - ลิ้นไมทรัล กั้นระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้าย
       - ลิ้นเอออร์ติก กั้นระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายกับหลอดเลือดเอออร์ติก
ภาพแสดงลักษณะของเส้นเลือดแดง เส้นเลือดฝอย และเส้นเลือดดำ
      2. หลอดเลือดแดง (Artery) เป็นกล้ามเนื้อเรียบที่มีความยืดหยุ่น ทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจซึ่งเป็นเลือดแดง คือมีออกซิเจนสูง คาร์บอนไดออกไซค์ต่ำ เป็นเลือดที่ผ่านการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอดมาแล้ว ส่งไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่เหนือหัวใจขึ้นไปคือ ส่วนแขน คอ ศีรษะ และส่วนที่ต่ำกว่าระดับหัวใจ ตั้งแต่ระดับอกลงมาถึงปลายเท้า หลอดเลือดแดงจะแตกแขนงออกไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายและมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เรียกว่า "หลอดเลือดแดงเล็ก" และกลายเป็นหลอดเลือดฝอย เพื่อส่งผ่านออกซิเจนและสารอาหารรวมถึงฮอร์โมนชนิดต่างๆ จากกระแสเลือดให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย ผนังของหลอดเลือดแดงจะหนา แข็งแรง และมีความยืดหยุ่นสูงกว่าหลอดเลือดดำ เนื่องจากหลอดเลือดแดงต้องรับแรงดันเลือดที่ส่งออกมาจากหัวใจ นอกจากนั้นผนังหลอดเลือดแดงยังมีหน้าที่ยืดหยุ่นเพื่อส่งเลือดแดงให้เคลื่อนที่อีกแรงด้วย
ภาพแสดงทิศทางของหลอดเลือดชนิดต่างๆ
     3. หลอดเลือดฝอย (Capillary) มีขนาดเล็กเพียง 8-10 ไมโครเมตร จะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และมีผนังเซลล์บุผิวเพียงชั้นเดียว คือ มีความบางมาก ทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่ส่งผ่านออกซิเจน สารอาหาร แร่ธาตุ ฮอร์โมน และอื่นๆ จากเลือดแดงสู่เซลล์ที่อยู่บริเวณรอบๆ ในขณะเดียวกันการเผาผลาญหรือการทำงานของเซลล์ก็ทำให้เกิดของเสียขึ้น เช่น น้ำ คาร์บอนไดออกกไซค์ และยูเรีย จะถูกส่งผ่านจากเซลล์เข้าสู่หลอดเลือดฝอยด้วยเช่นกัน จากกระบวนการนี้จะส่งผลให้สถานะของเลือดเปลี่ยนไป คือ จาก "เลือดแดงกลายเป็นเลือดดำ" เนื่องจากมีส่วนประกอบของ "ออกซิเจนต่ำลง" และ "คาร์บอนไดออกไซค์สูงขึ้น" หลอดเลือดฝอยเหล่านี้จะค่อยๆ รวมตัวกันเป็นหลอดเลือดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกว่า "หลอดเลือดดำเล็ก" เพื่อรวมเลือดเข้าสู่หลอดเลือดขนาดใหญ่หรือ "หลอดเลือดดำ" นั้นเอง
     4. หลอดเลือดดำ (Vein) เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดดำกลับไปยังหัวใจห้องบนขวา ยกเว้น "หลอดเลือดดำปอดและหลอดเลือดดำสายสะดือ" ที่ทำหน้าที่ขนส่งเลือดที่มีออกซิเจนสูง ผนังของหลอดเลือดดำเป็นกล้ามเนื้อเรียบ บางกว่าผนังของหลอดเลือดแดง ภายในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำกว่าหลอดเลือดแดง ดังนั้นในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นอยู่ภายใน เพื่อช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดดำกลับไปยังหัวใจได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ภาพแสดงองค์ประกอบขอเลือด
     5. เลือด (Blood) เป็นสารน้ำที่มีองค์ประกอบที่จะเป็นต่อการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์ มีหน้าที่นำออกซิเจน สารอาหาร ฮอร์โมนไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย และยังรับของเสียที่เกิดจากการเผลผลาญของเซลล์ไปยังอวัยวะที่ทำหน้าที่ขจัดของเสียออกจากร่างกายด้วย เช่น นำคาร์บอนไดออกไซค์ไปขจัดออกที่ปอด นำของเสียออกไปขับถ่ายออกทางไต นำไปที่ตับเพื่อขจัดสารพิษ ยาบางชนิด และแบคทีเรีย เลือดมีส่วนประกอบดังต่อไปนี้
        5.1 เม็ดเลือดแดง (Red blood cell: RBC) มีลักษณะค่อนข้างกลม บุ๋มตรงกลางคล้ายโดนัท ถูกสร้างขึ้นที่แกนกลางของกระดูก ในเม็ดเลือดแดงจะมีองค์ประกอบที่เรียกกว่า ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin: Hb) จะจับกับออกซิเจนแล้วพาไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซค์ไปขับออกที่ถุงลมปอด ออกซิเจนที่จับกับ Hb ทำให้เลือดมีสีแดงสด แต่เมื่อเม็ดเลือดแดงส่งถ่ายออกซิเจนให้กับเซลล์ที่อยู่โดยรอบแล้วปริมาณออกซิเจนน้อยลง เลือดจะมีคล้ำที่เราเรียกว่า "เลือดดำ" นั่นเอง
        5.2 เม็ดเลือดขาว (White blood cell: WBC) เป็นเซลล์ที่ล่องลอยอยู่ในเลือด ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกาย คอยจำกัดสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค เม็ดเลือดขาวมีอยู่หลายชนิดทำหน้าที่แตกต่างกันไป ถ้าจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดเพิ่มขึ้นจะเป็นข้อบ่งชี้อย่างหนึ่งว่าร่างกายมีการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ในผู้สูงอายุจะถือเป็นข้อยกเว้น เพราะระบบภูมิต้านทานของผู้สูงอายุทำงานน้อยลง แม้ผู้สูงอายุจะมีการติดเชื้อในร่างกาย ปริมาณของเม็ดเลือดขาวอาจไม่สูงก็ได้
        5.3 เกล็ดเลือด (Platelet: Plt) เป็นเม็ดเลือดที่ไม่มีสีอยู่ในกระแสเลือด ทำหน้าที่จับตัวกันเป็นก้อนหรือลิ่มเลือดเมื่อหลอดเลือดฉีกขาดหรือเมื่อเกิดบาดแผล เป็นกลไกการห้ามเลือดโดยธรรมชาติ หากเรามีเกร็ดเลือดต่ำจะทำให้เลือดออกง่ายและหยุดยาก
        5.4 พลาสมาหรือน้ำเหลือง (Plasma) เป็นสารน้ำสีเหลืองใสที่เป็นส่วนประกอบของเลือด มีส่วนประกอบเป็นโปรตีนทุกชนิดในร่างกาย โดยเฉพาะโปรตีนที่เป็นปัจจัยเสริมในการแข็งตัวของเลือด พลาสมาช่วยให้ส่วนประกอบของเลือดเคลื่อนที่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อทำหน้าที่ การสูญเสียพลาสมาจะทำให้เกิดภาวะช็อคและเสียชีวิตได้

การเปลี่ยนแปลงของระบบไหลเวียนในผู้สูงอายุ

     1. การเปลี่ยนแปลงของหัวใจ พบการเปลี่ยนแปลงได้ดังต่อไปนี้
         1.1 ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง เนื่องจากมีคอลลาเจนและไขมันในกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น ทำให้หัวใจบีบตัวได้น้อยลงกว่าปกติทำให้ปริมาณเลือดที่ออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ลดลง ความแข้งแรงของร่างกายผู้สูงอายุจึงลดลงมีอาการเหนื่อยง่าย 
        1.2 หัวใจเต้นผิดจังหวะ เนื่องจากมีแคลเซียมและไขมันแทรกในชั้นกล้ามเนื้อหัวใจจำนวนมาก และไปขัดขวางการไหลเวียนของไฟฟ้าหัวใจ ทำให้การบีบตัวของหัวใจผิดปกติได้ ซึ่งอาจเต้นช้าไป เร็วไป หรือเต้นแบบไม่สม่ำเสมอก็ได้
        1.3 หัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัว (Left ventricle hypertrophy:LVH) เกิดจากมีไขมันเข้าไปแทรกในชั้นกล้ามเนื้อ หรือเกิดร่วมกับโรคความดันโลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายต้องทำงานหนักเป็นระยะเวลานานและเกิดการหนาตัวขึ้น การหนาตัวของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย จะทำให้ห้องหัวใจแคบลงรับเลือดแดงจากหัวใจห้องซ้ายบนได้น้อยลง เลือดแดงที่ส่งออกไปจากหัวใจห้องล่างซ้ายก็จะลดน้อยลงและอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายในที่สุด
        1.4 การเพิ่มขึ้นของไลโปฟุสซิน (Lipofuscin) เป็นสารแห่งความชรา การเพิ่มขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ จะไปขัดขวางการขนย้ายของสารอาหารและการระบายของเสียภายในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลให้เซลล์กล้ามเนื้อเกิดความอ่อนแอทำงานได้ไม่เต็มที่
        1.5 ลิ้นหัวใจตีบแคบ ลิ้นหัวใจในผู้สูงอายุจะมีพังผืดและแคลเซียมมาเกาะทำให้ลิ้นหัวใจแข็งหนาไม่ยืดหยุ่น ทำให้เกิดการตีบแคบทางเปิดของลิ้นหัวใจ ไม่ยอมให้เลือดผ่านได้ง่ายๆ เลือดจะออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่เพียงพอ พบได้บ่อยที่ลิ้นเอออร์ติด (Aortic valve stenosis) ซึ่งกันระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดเอออร์ติก จะทำให้มีเลือดคั่งอยู่หัวใจห้องล่างซ้าย-บนซ้ายและปอด ผู้ป่วยจึงมีอาการเหนื่อยง่าย บวมที่ขาทั้งสองข้าง เพราะการไหลเวียนของเลือดถูกขัดขวาง นอกจากนั้นหัวใจต้องทำงานหนักหากเป็นเวลานานจะเกิดการหนาตัวของผนังหัวใจได้ หัวใจต้องทำงานหนักอาจเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้
        1.6 เซลล์กำเนิดไฟฟ้าหัวใจลดลง ส่งผลให้การสร้างกระแสไฟฟ้าลดลง ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานน้อยลง เกิดการเต้นหัวใจผิดปกติ เช่น เต้นช้า เต็นเบา เป็นต้น เลือดจะออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลงโดยเฉพาะสมอง หรือทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย
     2. การเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด หลอดเลือดในผู้สูงอายุจะแข็ง (Atherosclerosis) ขาดความยืดหยุ่นเนื่องจากมีไขมันและแคลเซียมาเกาะที่ผนังของหลอดเลือด ร่วมกับมีการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้การไหวเวียนของโลหิตไม่สะดวกเหมือนตอนที่ไม่มีไขมันและแคลเซียมมาเกาะ ปกติหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดีจะช่วยให้มีการไหลเวียนโลหิตสะดวกมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นหลอดเลือดที่แข็งตัวจะมีแรงต้านการไหลเวียนโลหิต ส่งผลให้ความดันโลหิตซีสโทลิคสูงขึ้น การแข็งตัวของหลอดเลือดทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาเช่น 
        2.1 โรคหลอดเลือดหัวใจ (Acute coronary syndrome:ACS) เช่น มีอาการเจ็บหน้าอก หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน รุนแรงถึงขั้นเสียชึวิตอย่างรวดเร็ว
        2.2 โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หากมีการตีบแคบหรืออุดตันที่หลอดเลือดแดงสมอง ทำให้เกิดอาการอัมพาตครึ่งซีก มีปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เสียชีวิตได้
        2.3 ภาวะไตวาย (Kidney failure) หากมีการตีบหรือตันที่หลอดเลือดแดงที่ไตจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเกิดภาวะไตวาย คือไตไม่สามารถกรองของเสียและน้ำจากเลือดและขับออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไตวายมี 2 แบบคือ ไตวายเฉียบพลัน และไตวายเรื้อรัง
        2.4 โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตั้น (Peripheral artery disease) การดำเนินการของโรคจะค่อยเป็นค่อยไปโดยเริ่มจากมีเลือดไปเลี้ยงแขนขาน้อยลง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขาเวลาเดิน เมื่อเป็นมากขึ้นเวลาพักก็จะปวดด้วย และขั้นรุนแรงคือเกิดเนื้อตายอาจถึงต้องตัดขา
     3. การเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด (Red blood cell:RBC, White blood cell:WBC and platelet:Plt.) สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ RBC, WBC และ Plt. ลดน้อยลงคือ ไขกระดูก (Bone marrows:โบน มาร์โรลส์) ของผู้สูงอายุมีจำนวนน้อยลงและมีไขมันเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดผลตามมาคือ
        3.1 เม็ดเลือดแดงน้อยลง ผู้สูงอายุจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจาง (Anemia:อนีเมีย)
        3.2 เม็ดเลือดขาวน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
        3.3 เกล็ดเลือดน้อยลง มีความเสียที่เลือดออกแล้วหยุดยาก เสียเลือดง่าย ทำให้การสร้าง RBC ขึ้นทดแทนจะช้ากว่าปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดจางได้ง่าย

ระบบทางเดินหายใจ ในผู้สูงอายุจะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจด้วยอายุที่มากขึ้น ทั้งทางด้านโครงสร้างของหน้าอก การทำงานของระบบหายใจ และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

ส่วนประกอบของระบบทางเดินหายใจ

     1. รูจมูก เป็นช่องเปิดสำหรับรับอากาศจากภายนอกเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และเป็นทางระบายลมหายใจออก
     2. โพรงจมูก อยู่ถัดเข้าไปจากรูจมูกทั้งสองข้าง บริเวณนี้จะมีหลอดเลือดจำนวนมากทำให้ช่วย "ปรับอุณหภูมิ" ของลมหายใจเข้าให้มีความเหมาะสม มีเยื่อเมือกช่วย "ปรับความชื้นและดับจับฝุ่นละออง" ก่อนผ่านเข้าไปในปอด
     3. คอหอย เป็นหลอดกล้ามเนื้อเชื่อมต่อระหว่าง "ทางเดินหายใจส่วนบนและช่องปาก" ทำให้เราสามารถหายใจได้ทั้งทางปากและจมูก เช่น เมื่อเวลาเราออกกำลังกายเราจำเป็นต้องหายใจทางปากร่วมด้วยเพื่อให้มีอากาศหายใจได้ทัน นอกจากนั้นคอหอยยังเป็นตำแหน่งที่มีต่อมน้ำเหลืองเรียกว่า "ทอนซิล" เพื่อคอยดักจับเชื้อโรคไม่ให้ผ่านเข้าไปในปอด
     4. ผาปิดกล่องเสียง (Epiglottis:อิพิกลอททิส) เป็นแผ่นกระดูกอ่อนที่คลุมด้วยเยื่อเมือกอยู่ติดกับโคนลิ้น ทำหน้าที่ในการปิด-เปิดกล่องเสียง (Epiglottis open ana closed) เวลากลืนน้ำหรืออาหาร โดยจะควบคุมอาหารหรือน้ำให้ผ่านไปยังหลอดอาหารที่อยู่ด้านหน้าของหลอดลม คือป้องกันการสำลัก
     5. ช่องสายเสียงหรือเส้นเสียง (Vocal cord:โวคอล คอร์ด) เป็นส่วนที่อยู่ต่ำสุดของคอหอยและเหนือสุดของกล่องเสียง เป็นทางผ่านของลมหายใจเข้า-ออก และการสั่นของสายเสียงจะทำให้เกิดเสียงพูด เสียงร้องแบบต่างๆ ตามการทำงานของกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณรอบ
     6. กล่องเสียง (Laryngeal:ลาริงเกีย)  เป็นอวัยวะที่อยู่ระหว่างคอหอยและหลอดลม กล่องเสียงมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับหลายอย่าง ได้แก่ การเกิดเสียงที่เป็นเสียงแท้ การหายใจเข้า-ออก การกลืนอาหาร และทำหน้าที่ป้องกันท่อลมในระบบทางเดินหายใจ 
     7. หลอดลมใหญ่ (Trachea:เทร์เครีย) เป็นท่อที่ต่อจากล่องเสียงไปถึงปอด ส่วนที่แยกออกเป็นสองท่อซ้าย-ขวาเข้าสู่ปอด เรียกว่า "หลอดลมปอด" และแตกแขนงออกไปตามกลีบปอดต่างๆ และมีขนาดเล็กลงอีกเรียกว่า "หลอดลมฝอย" บริเวณหลอดลมฝอยจะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซได้บ้างแล้วแต่ไม่ใช้หน้าที่หลัก ปลายสุดของหลอดลมฝอยคือ "ถุงลม" ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซค์ด้วยการ "แพร่" (Diffusion:ดิฟฟิวเชิน)
     8. ถุงลม เป็นเยื่อบางๆ มีเพียงชั้นเดียว เช่นเดียวกับหลอดเลือดฝอยที่ล้อมรอบถุงลม ซึ่งทำให้เกิดการแพร่ของ Co2 และ O2 ขึ้นได้
     9. ปอด (Lung:ลัง) มี 2 ข้างๆ ขวา มี 3 กลีบ คือ กลีบบน กลีบกลาง และกลีบล่าง ข้างซ้ายมี 2 กลีบ คือ กลีบบนและกลีบล่าง ภายในเนื้อปอดประกอบด้วยหลอดลมฝอยและถุงลมจำนวนมาก ปอดเป็นเยื่อที่มีความยืดหยุ่นสูงคล้ายฟองน้ำ ช่วยให้หดและขยายตัวได้ดีเวลาหายใจ ปอดทำหน้าที่หายใจโดยมีการแลกเปลี่ยนของก๊าซ Co2 และ O2 โดยปอดต้องทำหน้าที่ร่วมกับกระดูกซี่โครง กล้ามเนื้อซี่โครง กล้ามรอบๆ หน้าอก กระบังลม รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง

การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจในผู้สูงอายุ

     การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจของผู้สุงอายุเนื่องด้วยการถดถอยของอวัยวะ ประกอบด้วย
     1. การเปลี่ยนแปลงทากายภาพ คือการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปร่างและสัดส่วนของอวัยวะ เช่น 
        1.1 กระดูกหลังโกง ทำให้ทรวงอกผิดรูป การยืดขยายของทรวงอกขณะหายใจลดลง ปริมาตรอากาศที่หายใจเข้าจึงลดลง การเพิ่มปริมาณ O2 ในเลือดก็ลดลงด้วยทำให้ผู้สูงอายุเหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง
        1.2 กระดูกซีโครงแข็งขึ้นเนื่องจากมีแคลเซียมมาเกาะ การขยายตัวของกระดูกซี่โครงจึงลดลง ปริมาตรการหายใจแต่ละครั้งจึงลดลง ร่างกายจึงได้รับ O2 ไม่เพียงพอทำให้เหนื่อยง่ายเมื่อออกแรง
        1.3 กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจทำงานลดลง การหายใจแต่ละครั้งจึงไม่ดีเหมือนวัยหนุ่มสาว
        1.4 ความจุอากาศของปอดลดลงและอากาศที่เหลือค้างในถุงลมหลังหายใจออกเพิ่มขึ้น
        1.5 เส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดลมเพิ่มขึ้น ในขณะที่เส้นผ่าศูนย์กลางของถุงลมน้อยลง รวมถึงความยืดหยุ่นและการขยาตัวก็น้อยลง ผนังถุงลมจะโปร่งพองและแตกง่าย
     2. การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา คือ การเปลี่ยนแปลงด้านหน้าที่การทำงานของอวัยวะ ประกอบด้วย
        2.1 ฝาปิดกล่องเสียงทำงานช้าลง ทำให้สำลักอาหารง่ายขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจง่ายขึ้น
        2.2 ปริมาตรการหายใจแต่ละครั้งลดลง เนื่องจากความยืดหยุ่นของเนื้อปอดน้อยลง ทำให้ผู้สูงอายุเหนื่อยง่ายกว่าปกติเนื่องจากภาวะพร่อง O2 ในเลือด
        2.3 หลอดเลือดปอดแข็งตัวมากขึ้น ขัดขวางการแพร่ของ O2 และ Co2 ระหว่างเลือดและถุงลมปอด ร่างกายจึงเกิดภาวะพร่อง O2 ได้ง่าย ทำให้มีการชดเชยโดยการหายใจเร็วและตื้นเพื่อพยายามเพิ่ม O2 ในกระแสเลือด

ระบบประสาทสัมผัส ประกอบด้วย ตา หู ลิ้น จมูก และผิวหนัง

ตาและการมองเห็น

ภาพแสดงส่วนประกอบที่สำคัญของดวงตา
     ส่วนประกอบที่สำคัญของตาคือ
     1. กระจกตา (Cornea:คอร์เนีย) เป็นส่วนหน้าสุดมีลักษณะใส ช่วยให้แสงผ่านได้ดีทำให้มีการมองเห็นชัดเจน และยังทำหน้าที่ปกป้องดวงตาอีกด้วย
     2. ม่านตา (Iris:ไอริส) เป็นกล้ามเนื้อที่สามารถยืดหรือหดตัวได้ เพื่อควบคุมปริมาณของแสงที่ผ่านเข้าลูกตาซึ่งมีผลต่อความชัดเจนในการมองเห็น สีของม่านตาจะแตกต่างกันตามเชื้อชาติ เมื่อแสงจ้าม่านตาจะหดตัว เมื่อแสงน้อยม่านตาจะคลายตัว
     3. เลนส์ตา (Lens:เลนส์) อยู่ถัดเข้าไปหลังม่านตา มีรูปร่างเป็นวงรีใส ไม่มีสี มีความยืนหยุ่นปรับรูปร่างได้ เพื่อช่วยในการปรับให้การรับภาพมีความพอดีกับจอประสาทตา เมื่อมีการมองใกล้หรือมองไกล
     4. รูม่านตาหรือตาดำ (Pupil:พิพิว) เป็นช่องตรงกลางเราจะเป็นเป็นสีดำ ช่องนี้จะปรับขนาดไปตามการทำงานของม่านตา (Iris:ไอริส) คือ เมื่อมีแสงสว่างมากม่านตาจะหดตัว รูม่านตาจะมีขนาดเล็กลง เมื่อแสงลดลงม่านตาจะคลายตัว รูม่านตาจะขยายใหญ่ขึ้น การทำงานนี้ถูกควบคุมโดยประสาทอัตโนมัติ ทางการแพทย์เราจะตรวจปฏิกิริยานี้เพื่อประเมินการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ถ้าหากรู้ม่านตาไม่มีปฏิกิริยาดังที่กล่าวมาข้างต้นแสดงว่ามีพยาธิสภาพของระบบประสาท
     5. วุ้นลูกตา (Vitreous:วิเทรียส) เป็นสารกึ่งเหลว ใส เพื่อให้แสงผ่านได้สะดวก บรรจุอยู่ในช่องด้านหลังของลูกตา เพื่อช่วยให้ลูกตาทรงรูปร่างไว้ได้
     6. ประสาทตา (Optic nerve:ออฟติก เนอร์ฟ) เป็นตัวส่งข้อมูลที่ตาเห็นไปยังระบบประสาทส่วนกลางเพื่อประมวลผล จากนั้นสมองจะสั่งการให้มีความสอดคล้องกับการรับรู้ นำไปสู่ความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรม เช่น เราจะผ่อนคลายเมื่อเราเห็นสิ่งสวยงาม แต่เราจะหวาดกลัวเมื่อเห็นสิ่งที่คิดว่าเป็นอันตรายกับเรา เป็นต้น
     7. จอประสาทตา (Retina:เรติน่า) เป็นศูนย์รวมของประสาทตาอยู่ที่ผนังด้านในของตา ทำหน้าที่เป็นจอรับภาพ แล้วส่งไปยังสมองโดยผ่านเส้นประสาทตา เพื่อทำการวิเคราะห์และประมวลผล ปกติการรับภาพจะตกลงตรงจอประสาทตา โดยมีเลนส์แก้วตาทำหน้าที่ร่วมในการปรับโฟกัสในการมองระยะต่างๆ กัน
     8.  ตาขาว (Sclera:สเคลร่า) เป็นส่วนสีขาวของลูกตา ช่วยห่อหุ้มส่วนประกอบของลูกตาไว้ให้คงรูปและป้องกันอันตราย
     9. กล้ามเนื้อเลนส์ตา (Ciliary muscle:ซิเลียรี มัสเซิล) เป็นกล้ามเนื้อที่คอยปรับความนูน-แบนของเลนส์ตาเพื่อให้มีการปรับโฟกัสของการมองเห็นในระยะต่างๆ 
     10.  เยื่อตาหรือเยื่อบุตา (Conjunctiva:คอนจังทิวา) เป็นเนื้อเยื่อบางใสที่บุอยู่ด้านในของเปลือกตาและคลุมส่วนของตาขาว เว้นบริเวณตาดำหรือกระจกตาไว้ เยื่อบุตาทำหน้าที่หล่อลื่นดวงตาด้วยการผลิตเมือกและน้ำตา รวมถึงช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ดวงตา 
     11.  จุดรับภาพหรือจอตา (macula:มาคูลา) ตามีส่วนรับภาพที่เรียกว่า จอตา ซึ่งรับสัญญาณแสงแล้วส่งผ่านไปยังสมองเพื่อแปลเป็นภาพ บริเวณนี้มีจุดรับภาพซึ่งสำคัญต่อการเห็นชัดที่กลางจอตามากที่สุด หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นแก่จุดภาพชัดจอตา ก็จะทำให้มองภาพส่วนกลางไม่ชัด คล้ายกับมีจุดดำบังอยู่ตรงกลาง หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว 

การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับดวงตาในผู้สูงอายุ

     - หนังตาบนตกหรืออย่อน เกิดจากไขมันใต้ผิวหนังบริเวณหนังตาลดลงมาก ที่ให้หนังตาบนหย่อนลงมาปิดดวงตาทำให้การมองเห็นไม่ชัด เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ หรือมีการม้วนของเปลื่อกตาเข้าด้านใน ทำให้ขนตาแทงกระจกตาเกิดอาการเคืองตา ตาอักเสบได้
     - ตาผู้สูงอายุจะไม่เป็นประกายเหมือนวัยหนุ่มสาว เนื่องจากการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงตาผลิตน้อยลง ถ้าอยู่ในที่อากาศแห้งจะรู้สึกเคืองตาได้ง่าย เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตา
     - กล้ามเนื้อม่านตาจะหดและขยายช้าลง ทำให้ผู้สูงอายุมีปัญหาในเรื่องการมองในที่สว่างหรือมืดได้ไม่เร็วพอ ต้องใช้เวลาในการปรับการมองเห็นนานกว่าปกติ สาเหตุจากการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติช้าลงและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อม่านตาลดลง
     - สายตายาวพบได้ในผู้สูงอายุ เพศหญิงพบว่าสายตายาวได้เมื่ออายุ 38 ปี เพศชายพบได้เมื่ออายุ 40 ปี เนื่องจากการปรับเลนส์สำหรับการมองไกล-ใกล้ในผู้สูงอายุทำงานช้าลง เมื่อมองวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วๆ จึงทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะได้ เพราะการทรงตัวมีกลไกที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นด้วย
     - เลนส์ตาขุ่น เลนส์ตามีโครงสร้างเป็นโปรตีน จะเริ่มขุ่นเมื่อยุมากขึ้นพบมากในผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพกลางแจ้ง กลางแดงเป็นประจำ เช่น การเกษตร จากเลนส์ใสจะเริ่มขุ่นออกเป็นสีเหลือง ทำให้แสงผ่านเลนส์ได้น้อยลงทำให้การมองเห็นเป็นแบบมัวๆ  การเพิ่มแสงจะทำให้เห็นชัดขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาจะมองไม่เห็นในที่สุด นอกจากนั้นเลนส์ที่ขุ่นจะกักเก็บแสงสีน้ำเงินและสีม่วงไว้มากขึ้นทำให้ผู้สุงอายุไม่สามารถแยกทั้งสองสีนี้ได้อย่างชัดเจน แต่จะมองเห็นวัตถุสีเหลืองและสีแดงได้ดีมากเนื่องจากเลนส์ตาที่เป็นสีเหลืองจะยอมให้แสงสีเหลือและสีแดงผ่านเลนส์ได้ดี เลนส์ที่มีความขุ่นมากเรียกว่า "ต้อกระจก" รักษาด้วยการฝ่าตัดเปลี่ยนเลนส์เทียม
     - ลานสายตาแคบลง (Tunnel vision:ทันเนิล วิเชิน) ลานสายตาหมายถึง การมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่กรอกตาหรือหันหน้า เราจะสามารถมองเห็นวัตถุที่ขยายออกทางด้านหางตาทั้งซ้ายและขวาได้ 90 องศา ด้านบาน 60 องศา ด้านล่าง 75 องศา ในผู้สูงอายุการมองเห็นจะน้อยลงกว่าปกติเนื่องจอตาเสื่อมจากการไหลเวียนของโลหิตที่น้อยลง หรือพบได้ในโรคต้อหิน ทำให้ผู้สูงอายุอาจเดินสดุดหรือชนสิ่งของเพราะมองไม่เห็นทำให้เกิดการบาดเจ็บตามมา
     

หูและการได้ยิน

ภาพแสดงส่วนประกอบที่สำคัญของหู
     หูทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว หูประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง หูชั้นใน
     1. หูชั้นนอก (Outer ear:เอาเทอร์ เอีย) ประกอบด้วยใบหู (และรูหู ทำหน้าที่รวบรวมคลื่นเสียงเข้าสู่รูหู ภายในรูหูจะมีต่อมสำหรับสร้างไขมันออกมาเคลือบรูหูเพื่อความชุ่มชื้น ป้องกันแมลง เชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา แต่ถ้าหากมีปริมาณมากจะกลายเป็นก้อนทำให้หูอุดตันได้
     2. หูชั้นกลาง (Middle ear:มิดเดิล เอีย) คือส่วนที่อยู่ตั้งแต่เยื่อแก้วหู (Ear drum:เอียร์ ดรัม) เข้าไป ประกอบด้วย โพรงอากาศและกระดูก 3 ชิ้นต่อกัน คือ กระดูกรูปฆ้อน (Malleus:มัลลัส) รูปทั่ง (Incus:อินคัส) รูปโกลน (Stapes:สเตปิส) โดยเรียกตามรูปร่างของกระดูก ในหูชั้นกลางจะมีท่อที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลางกับคอ ทำหน้าที่ในการปรับแรงดันภายในช่องหูให้มีความดันที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถนำคลื่นเสียงที่มากระทบเข้าสู่หูชั้นในได้มีประสิทธิภาพ การอุดตันของท่อนี้ทำให้เกิดอาการปวดหูหรือหูอื้อได้ 
     3. หูชั้นใน (Inner ear:อินเนอร์ เอีย) ภายในบรรจุของเหลวอยู่เต็ม ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว
        3.1 การได้ยิน (Hearing process:เฮียริง โพเซสส์) จะอยู่ในส่วนของ "ท่อหอยโข่ง" ซึ่งเต็มไปด้วยของเหลว บริเวณพื้นผิวของท่อจะประกอบไปด้วย "เซลล์ขน" ที่มีขนาดต่างๆ กันไป แต่ละขนาดจะทำหน้าที่ในการรับคลื่นเสียงเสียงสูงเสียงต่ำไม่เหมือนกัน จากนั้นจะส่งเปลี่ยนจากคลื่นเสียงให้กลายเป็นคลื่นไฟฟ้าส่งไปตามเส้นประสาทไปยังสมอง เพื่อแปลผลว่าเสียงที่ได้รับนั้นเป็นเสียงอะไร
        3.2 การทรงตัว จะอยู่ในส่วนของ "ท่อครึ่งวงกลม" มีอยู่ด้วยกัน 3 ท่อและทั้งสามท่อจะมีปลายที่เชื่อมต่อกับท่อหอยโข่ง และภายในบรรจุของเหลว มีเซลล์ขน และเส้นประสาท ขณะที่ร่างกายมีการคลื่นไหวในทิศทางต่างๆ จะทำให้ของเหลวภายในท่อมีการเคลื่อนไหวและไปกระตุ้นให้เซลล์ขนมีการเคลื่อนไหวในทิศทางต่างๆ กลายเป็นสัญญาณส่งไปตามเส้นประสาทถึงสมอง นอกจากนั้นอวัยวะที่ทำงานเกี่ยวกับการทรงตัวของเรายังร่วมถึงการมองเห็น และการทำงานของกระดูก-ข้อต่อ-กล้ามเนื้อ โดยมีสมองเป็นตัวควบคุมให้ทำงานประสานกัน หากมีระบบใดมีความผิดปกติจะทำให้การทรงตัวของเราเสียไปและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

การเปลี่ยนแปลงการได้ยินในผู้สูงอายุ

     การได้ยินในผู้สูงอายุจะลดลงกว่าในวัยหนุ่มสาว พบได้เป็นอันดับ 3 ของโรคเรื้อรัง มาจากหลายสาเหตุ เช่น อายุมากอวัยวะเสื่อมโทรม พันธุกรรม การได้ยินเสียงดังมากๆ ในวัยหนุ่มสาวเป็นเวลานาน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ยาบางชนิด การสูบบุหรี่ การได้ยินที่ลดลงส่งผลกระทบต่อการสื่อสาร การดำเนินชีวิตทั้งของผู้สูงอายุเองและบุคคลรอบข้างหรือผู้ดูแล ส่งผลต่อสังคม อารมณ์และจิตใจของผู้สูงอายุ นอกจากนั้นการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคสมองเสื่อมและภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าปกติถึงสองเท่า เนื่องจากสมองไม่ได้รับการกระตุ้นจากเสียงนั่นเอง การสูญเสียการได้ยินแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
     1. การสูญเสียการได้ยินชนิดการนำเสียงบกพร่อง คือ เกิดพยาธิสภาพที่หูชั้นนอกและหูชั้นกลาง ซึ่งมีหน้าที่ในการคลื่นเสียงไปยังหูชั้นใน เช่น
        - การผลิตไขมันในรูหู (ขี้หู) ลดลง ทำให้ขี้หูมีลักษณะแห้งจับตัวเป็นก้อนหากไม่ได้รับการดูแลจะทำให้รูหูตันจากขี้หูได้ คลื่นเสียงไม่สามารถผ่านไปยังแก้วหูได้
        - แก้วหูแข็งมากกว่าปกติ จากการเสื่อมตามวัย ทำให้ส่งคลื่นเสียงไปยังกระดูก 3 ชิ้นได้น้อยลง
        - แก้วหูทะลุหรือหูหนวก
        - กระดูกในหูชั้นกลางแข็งตัวเนื่องจากมีหินปูนมาเกาะบริเวณรอยต่อของกระดูก
     2. การสูญเสียการได้ยินชนิดเส้นประสาทนำเสียงบกพร่อง เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด พบได้ตามสาเหตุต่อไปนี้
        - เซลล์ขนที่อยู่ในท่อหอยโข่งเสื่อมหลุดชำรุดตามวัย มักพบกับเซลล์ขนที่ทำหน้าที่รับเสียงสูงก่อน ดังนั้นผู้สูงอายุจึงมักไม่ค่อยได้ยินเสียงสูงๆ แต่รับเสียงโทนต่ำได้ดีกว่า
        - เส้นประสาทการได้ยินเสื่อมตามวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ทำให้การไหลเวียนโลหิตไปหล่อเลี้ยงเส้นประสาทการได้ยินน้อยลงจะทำให้เส้นประสาทเสื่อมเร็วขึ้น หรือมีประวัติการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู
     3. การสูญเสียการได้ยินชนิดผสม คือ มีพยาธิสภาพของส่วนประกอบของทั้งหูชั้นกลางและหูชั้นในร่วมกัน

ลิ้นและการรับรส

ภาพแสดงส่วนประกอบที่สำคัญของลิ้น
     ลิ้นเป็นกล้ามเนื้อช่วยในการรับอาหารเข้าปาก ช่วยคลุกเคล้าอาหาร การเคี้ยว การกลืน และยังทำหน้าที่ในการรับรส โดยมีปุ่มรับรสอยู่บนผิวของลิ้น ลิ้นมีส่วนช่วยในการออกเสียง
     ลิ้นสามารถรับรู้รสได้ 4 ชนิดคือ หวาน เปรียว ขม และหวาน รสเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีที่บริเวณตุ่มรับรส แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณประสาทส่งไปยังสมองเพื่อแปลผล แล้วจึงแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมการรับประทานของมนุษย์ พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนเราจะแตกต่างกันไปตามรสนิยม บางคนเน้นรสชาดของอาหาร บางคนเน้นเรื่องสุขภาพและความสะอาด เป็นต้น

การเปลี่ยนแปลงของลิ้นในผู้สูงอายุ

     จำนวนปุ่มรับรสของลิ้นจะลดจำนวนลงมากถึง 80% ร่วมกับจำนวนน้ำลายที่ลดลงนำ้ลายจะข้นขี้นทำให้การรับรสไม่ดี น้ำลายที่น้อยลงอาจทำให้เกิดการอักเสบของลิ้นและช่องปากด้วยและมีผลต่อการรับรู้รสชาดของอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะรสหวานและรสเค็ม ทำให้ผู้สูงอายุรับประทานอาหารรสจัดขึ้น ซึ่งหมากมีโรคประจำตัวอยู่ เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูงจะทำให้อาการของโรคแย่ลง ปุ่มรับรสที่เสื่อมช้าที่สุดคือ ปุ่มรับรสเปรี้ยวและรสขม นอกจากนั้นการรับรู้รสชาดของอาหารยังเกี่ยวข้องกับการได้กลิ่นของอาหารด้วย การที่จมูกได้รับกลิ่นทำงานน้อยลงจะส่งผลต่อความอยากอาหารของผู้สูงอายุได้

จมูกและการรับกลิ่น

ภาพแสดงโครงสร้างของโพรงจมูก
     เราได้กลิ่นเกิดจากการทำงานร่วมกันของโพรงจมูกและเซลล์สมองส่วนหน้า โมเลกุลของสารเข้าสู่โพรงจมูกไปปะทะกับ "เซลล์รับกลิ่น" ที่อยู่บริเวณเยื่อเมือกของโพรงจมูกและเชื่อมต่อกับเส้นประสาทรับกลิ่น แล้วเกิดเป็นปฏิกิริยาเคมีกลายเป็นสัญญาณประสาทวิ่งไปสู่ "กระเปาะรับกลิ่น" ซึ่งเป็นส่วนที่รวมเส้นประสาทรับกลิ่นเข้าไว้ด้วยกัน และส่งกระแสประสาทไปตาม "แนวเส้นประสาท" ไปยังสมองเพื่อวิเคราะห์กลิ่นที่ได้รับและกำหนดเป็นพฤติกรรมเพื่อตอบสนอง เช่น ได้กลิ่นอาหารที่ชอบจะมีน้ำลายไหลเพิ่มขึ้น ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีความสุขกับการรับประทานอาหาร รับประทานอาหารได้มากขึ้น เป็นต้น

การรับรู้กลิ่นในผู้สูงอายุ

     การรักรู้กลิ่นในผู้สูงอายุจะลดน้อยลงส่วนใหญ่เกิดจากใยประสาทรับกลิ่นมีจำนวนน้อยลง นอกจากนั้นจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยระบบสมอง เช่น โรคสมองเสื่อม พาร์กินสัน จะพบว่าการได้กลิ่นน้อยลงด้วย เนื่องจากการรับรู้ของระบบประสาทเสื่อมถอยลง
     ผลกระทบที่เกิดจากการได้กลิ่นน้อยลงในผู้สูงอายุคือ การไม่รับรู้เกี่ยวกับอันตรายที่จะได้รับ เช่น ไม่ได้กลิ่นแก๊สที่รั่ว ไม่ได้กลิ่นจากไฟไหม้หรือไฟฟ้าช็อต หรือการไม่ได้กลิ่นบูดของอาหารที่รับประทาน ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ นอกจากนั้นการไม่ได้กลิ่นอาหารอาจทำให้ไม่อยากอาหาร เบื่ออาหาร ทำให้เกิดโรคขาดสารอาหารได้
     ในผู้สูงอายุบางรายอาจรับรู้กลิ่นได้น้อยลงจากโรค เช่น โพรงจมูกอักเสบ โรคภูมิแพ้ การบาดเจ็บที่สมอง ซึ่งหากได้รับการรักษาแล้วอาจกลับมาได้กลิ่นเหมือนเดิม

ระบบทางเดินอาหาร (Alimentary system:อลิเมนทารี ซีสเทิม) มีหน้าที่ในการย่อยอาหารให้มีขนาดโมเลกุลที่เล็กลง จากนั้นจึงดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการต่างๆ เพื่อให้เกิดพลังงานและเพื่อซ่อมแซมร่างกายส่วนที่ชำรุดซึกหร่อ ส่วนประกอบของระบบทางเดินอาหารมีหลายอย่าง เช่น ช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีส่วนประกอบย่อยออกไปอีก มีรายละเอียดดังนี้

ภาพแสดงระบบทางเดินอาหาร

ช่องปาก

      ช่องปาก (Oral cavity:โอรัล คาวิตี้) มีความสำคัญมากเพราะถือเป็นประตูแรกของการรับอาหาร น้ำและอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หากสุขภาพช่องปากไม่ดีอาจนำมาซึ่งภาวะโภชนาการที่ไม่ดีทำให้เกิดการเจ็บป่วยตามมาได้ ภายในช่องปากประกอบด้วย 
- ริมฝีปาก ประกอบด้วยริมฝีปากบนและล่าง เป็นกล้ามเนื้อที่ปกคลุมด้วยผิวหนัง ช่วยในการรับและเก็บอาหาร น้ำเอาไว้ในปากขณะเคี้ยวหรือกลืน นอกจากนั้นยังช่วยในการเปล่งเสียงอีกด้วย คนที่สุภาพดีริมฝีปากจะดูสดชื่น คนที่ขาดน้ำหรือขาดอาหารจะพบได้ว่ามีริมฝีปากแตกแห้ง 
- กระพุ้งแก้ม ด้านในของกระพุ้งแก้มจะบุด้วยเยื่อเมื่อให้ความชุ่มชื้นกับช่องปาก ช่วยในการประครองเก็บอาหารขณะเคี้ยว
- เพดาน แบ่งเป็นเพดานแข็งและเพดานอ่อน เป็นส่วนด้านบนของช่องปาก เพดานแข็งจะอยู่ด้านส่วนหน้าชิดกับฟันหน้าบน ทำหน้าที่เป็นเพดานหรือแบ่งกั้นระหว่างช่องปากและช่องจมูก ส่วนเพดานอ่อนจะอยู่ถัดเข้าด้านในของคอ มีความยืดหยุ่น ทำหน้าที่ช่วยในการกลืนอาหารและน้ำ
- ลิ้น เป็นมัดของกล้ามเนื้อลาย ช่วยในการคุกเค้าอาหาร ช่วยในการกลืน ช่วยในการลิ้มรสอาหาร และการออกเสียง
- ต่อมน้ำลาย ช่วยสร้างน้ำลายเพื่อให้ช่องปากมีความชุ่มชื้น ช่วยคลุกเคลาอาหาร ย่อยอาหารจำพวกแป้ง ป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่ผิดปกติ ช่วยรักษาสมดุลความเป็นกรดด่างในช่องปาก
- ฟันและเหงือก (Teeth and gums:ทีธ แอด กัมส์) ฟันเป็นแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ ตัวฟัน คือส่วนที่อยู่เหนือเหงือกขี้นมา และรากฟัน คือ ส่วนที่อยู่ต่ำลงไปจากแนวเหงือกลงไปถึงกระดูกกราม ฟันมีโครงสร้างย่อยดังนี้
   ก) เคลือบฟัน หรือ Enamel เป็นชั้นนอกสุดของฟัน เป็นอวัยวะที่แข็งที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ห่อหุ้มและปกป้องเนื้อฟัน
   ข) เนื้อฟัน เป็นชั้นที่เข้ามาข้างในจากชั้นเคลือบฟัน ชั้นนี้จะไวต่อการสัมผัสและอุณหภูมิ ดังนั้นเมื่อเคลือบฟันบางลงหรือถูกทำลายด้วยสาเหตุใดๆ จะทำให้เราปวดหรือเสียวฟันง่ายขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการสัมผัสหรืออุณภูมิที่เปลี่ยนแปลง
   ค. โพรงประสาทฟัน ชั้นนี้อยู่ชั้นในสุดของฟัน ประกอบด้วยเส้นประสาทและหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยงฟันให้คงสภาพอยู่ได้ ส่วนนี้จะมีความไวต่อการกระตุ้นสูงมาก ดังนั้นหากมีการทำลายเคลือบฟันและเนื้อฟันจนถึงโพรงประสาทฟันจะทำให้มีอาการปวดฟันรุนแรง
   ง. เคลือบรากฟัน (Cementum:ซิเมนทัม) เป็นเนื้อเยื่อที่เคลือบรากฟันมีความแข็งเหมือนกระดูกแต่ไม่เท่าเคลือบฟัน (Enamel:อินาเมล) 
   ค. เยื่อปริทันต์ (Periodontal Ligament:เพอริโอดอนทัล ลิกาเมนท์) เป็นเนื้อเยื่อที่ยึดระหว่างเคลือบรากฟันเข้ากับกระดูกเบ้าฟัน

การเปลี่ยนแปลงของช่องปากในผู้สูงอายุ

     - ลิ้มฝีปาก ผู้สุงอายุมักมีลิ้มฝีปากแห้ง เนื่องจากดื่มน้ำน้อยหรือขาดน้ำ หากมีการถอนฟันออกหลายซี่ริมฝีปากจะงุ้มเข้าด้านใน จะเคี้ยวอาหารลำบาก ควบคุมน้ำลายไว้ไม่ได้ทำให้น้ำลายไหลตลอดเวลา
     - กระพุ้งแก้มและเพดานปาก บางลงแห้งอักเสบเนื่องจากต่อมน้ำลายหลั่งน้ำลายน้อยลง อาจเกิดแผลร้อนในได้ง่าย (Aphthous ulcer:แอบธัส อัลเซอร์) แต่หายยากเพราะการสร้างเซลล์ใหม่ในผู้สูงอายุจะช้ากว่าวัยหนุ่มสาว
     - ต่อมน้ำลาย ผลิตน้ำลายลดลง
     - ฟัน จำนวนฟันเลือน้อยลง เคลือบของฟันบางลงเนื้องจากใช้งานมานาน มีฟันผุ ฟันคลอน ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่สะดวก ส่งผลให้เบื่ออาหารและเป็นโรคขาดสารอาหารตามมา
     - เหงือก เกิดอาการเหงือร่น (Gingival Recession:จินจิวัล รีเซสเชิน) เนื่องจากเหงือกอ่อนแอตามวัยและการแปรงฟันไม่ถูกวิธี การไม่ดูแลสุขภาพฟันจะทำให้มีคราบของแบคทีเรียบริเวณคอฟัน และทำให้เหงือกอักเสบ (Gingivitis:จินจิไวตีส) จะทำให้เจ็บปวดและไม่อยากรับประทานอาหาร หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมเหงือกอักเสบจะพัฒนาไปสู่ "โรคปริทันต" (Periodontitis:เพอริโอดอนไทตีส) และเสียฟันในที่สุด
     การเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่องปากในผู้สูงอายุ จะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ เช่น เบื่ออาหาร ขาดอาหาร เกิดโรคแทรกซ้อนหรือโรคที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความกังวล ท้อถอย หมดกำลังใจ ซึมเศร้า ถอยห่างจากสังคม นอกจากนั้นยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น คือมีผลทั้งร่างกาย จิตใจ สังคมและเศรษฐกิจนั้นเอง
     อย่างไรก็ตามภาวะต่างๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างเหมาะสม การพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน และปฏิบัติตนให้มีสุขภาวะก็จะช่วยลดการเสื่อมถอยของอวัยวะในช่องปากได้

หลอดอาหาร

     หลอดอาหาร (Esophagus:อิโซฟากัส) เป็นส่วนที่ต่อลงไปจากคอหอย เป็นท่อกล้ามเนื้อ "แนวยาวและแนวขวาง" ทำให้มีสามารถบีบตัวเพื่อส่งอาหารไปสู่กระเพาะได้แบบ "360 องศา" ช่วยส่งอาหารที่เรากลืนไปสู่กระเพาะอาหาร การบีบรัดของหลอดอาหารจะมีลักษณะเป็นลูกคลื่นเป็นจังหวะๆ ภายใต้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic nervous system:ออโตโนมิค เนอร์เวิส ซีสเทิม) หลอดอาหารมี "หูรูด" (Esophagael Sphincter:อิโซฟาเจียว สปรินเตอร์) อยู่สองตำแหน่งคือ 
     "หูรูดส่วนต้น" (Upper esophageal sphincter:อัพเปอร์ อิโซฟาเจียว สปริ้นเตอร์ ) อยู่ตรงช่วงรอยต่อของหลอดลมกับหลอดอาหารส่วนต้น ทำหน้าที่ควบคุมอาหารขณะที่กำลังกลืนจากหลอดคอไปหลอดอาหาร ไม่ให้ไหลย้อนกลับเพื่อป้องกันการสำลักอาหาร
     "หูรูดส่วนปลาย" (Lower esophageal sphincter:โลเวอร์ อิโซฟาเจียว สปริ้นเตอร์) อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของหลอดอาหารส่วนล่างกับกระเพาะอาหาร ช่วยควบคุมอาหารที่เข้าสู่กระเพาะอาหารแล้วไม่ไหลย้อนกลับเข้ามาในหลอดอาหาร และป้องกันกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนเข้ามาในหลอดอาหารซึ่งจะทำให้เกิดเป็นแผลได้ หรืออาการ "กรดไหลย้อน" 
     

การเปลี่ยนแปลงของหลอดอาหารในผู้สูงอายุ

     การเปลี่ยนแปลงเป็นไปในลักษณะของการเสื่อมถอยของหลอดอาหารในผู้สูงอายุ โดยจะเกิดขึ้นทั้งโครงสร้างและหน้าที่การทำงานเหมือนกับอวัยวะอื่นๆ ประกอบด้วย
     - การกลืนอาหารของผู้สูงอายุซึ่งประกอบด้วยการทำงานของลิ้น คอหอย (2 ส่วนแรกเราควบคุมได้) ฝาปิดกล่องเสียง และหูรูดหลอดอาหารส่วนต้น (สองส่วนหลังควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ) ต้องทำงานประสานสอดคล้องกัน แต่ในผู้สูงอายุการกลืนอาหารจะช้ากว่าปกติ แต่ฝาปิดกล่องเสียงจะเปิดเร็วกว่าปกติ และหูรูดหลอดอาหารส่วนต้นจะปิดเร็วกว่าปกติ ทำให้มีเศษอาหารติดค้างอยู่ที่ภายนอกหลอดอาหารส่วนต้น จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการสำลักอาหารในผู้สูงอายุได้มาก    
     - การทำงานของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดอาหารทำงานได้น้อยลง จากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลงและการทำงานขอระบบประสาทที่ควบคุมมีภาวะเสื่อมถอย การบีบตัวเพื่อส่งอาหารไปยังกระเพาะอาหารจึงใช้เวลามากขึ้น หากรับประทานอาหารคำใหญ่เกินไปจะทำให้มีอาหารติดค้างที่หลอดอาหาร จะรู้สึกว่ามีอาการจุกที่คอหรือหน้าอก
     - ความเสื่อมถอยการทำงาน่ของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง มีภาวะการหดรัดตัวน้อยลงทำให้มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทะลักเข้ามาตรงหลอดอาหารส่วนปลายทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลได้ หรือมีการร้อนในคือ มีอาการจุกเสียดแสบร้อนหน้าอก
     ผลกระทบจากอาการที่เกิดขึ้นตามข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้ผู้สูงอายุไม่กินดื่มน้ำและรับประทานอาหารเพราะกลัวว่าจะสำลัก ส่งผลให้เกิดภาวะขาดน้ำ ขาดอาหารได้ นอกจากนั้นจะไม่อยากรับประทานร่วมกับผู้อื่นเพราะขาดความมั่นใจ อยากที่จะรับประทานอาหารเพียงลำพังซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางสังคม และอาจมีปัญหาจิตใจ คือ ภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นได้

กระเพาะอาหาร

     กระเพาะอาหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางเดินอาหาร ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบที่เรียงตัวแบบแนวยาว แนวขวาง และแนวเฉียง เพื่อให้สามารถบีบตัวได้แบบทุกทิศทางในขณะที่ย่อยอาหาร ผนังของกระเพาะอาหารจะมีลักษณะริ้วคลื่นเพื่อให้สามารถขยายออกเวลารับประทานอาหาร นอกจากนั้นกระเพาะอาหารยังมีกรดเกลือที่หลั่งจากผนังเข้ามาช่วยในการย่อยอาหารให้มีโมเลกุลที่เล็กลง เพื่อให้พร้อมที่จะถูกดูดซึมในลำไส้เล็กต่อไป ตรงส่วนปลายของกระเพาะอาหารจะมีกล้ามเนื้อหูรูดสำหรับควบคุมการไหลของอาหารลงสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น กระเพาะอาหารทำงานภายใต้การควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ มีเส้นประสาทและหลอดเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก

การเปลี่ยนแปลงของกระเพราะอาหารในผู้สูงอายุ

     การเปลี่ยนแปลงของกระเพาะอาหารในผู้สูงอายุ เกิดจากความเสื่อมถอยของอวัยวะที่อายุมากขึ้น
     - ผนังของกระเพาะอาหารจะบาง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ทำให้บีบตัวน้อยลง การย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควรทำให้ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ มีความเสียงต่อการขาดสารอาหาร และวิตามินบี 12 ได้
     - การหลั่งกรดน้อยลง ทำให้การย่อยอาหารโดยเฉพาะโปรตีนทำได้น้อย ทำให้การดูดซึมอาหารของลำไส้เล็กลดลง มีความเสียงต่อการเกิดภาวะขาดโปรตีน
     - การบีบตัวเพื่อส่งอาหารไปยังลำไส้เล็กลดลง ทำให้อาหารค้างในกระเพาะนานขึ้น มีความเสี่ยงในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้มากขึ้น
     - อาการเหล่านี้จะรุนแรงมากขึ้นในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องโรคสมองเสื่อมร่วมด้วย

ลำไส้เล็ก

     ลำไส้เล็ก (Small intestine:สมอล อินเทสทิน) เป็นทางเดินอาหารที่ต่อจากกระเพาะอาหาร โครงเป็นท่อกล้ามเนื้อเรียบควบคุมการทำงานโดยระบบประสาทอัตโนมัติ มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยงจำนวนมาก เป็นส่วนที่มีการดูดซึมสารอาหาร เกลื่อแร่ และวิตามินมากที่สุด (Jejunum) และส่วนปลาย (Ileum)
     ลำไส้ใหญ่ (Large intestine:ลาร์จ อินเทสทิน) เป็นทางเดินอาหารที่ต่อจากลำไส้เล็ก ควบคุมการทำงานโดยระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นส่วนที่เก็บกับกากอาหารที่ย่อยและผ่านการดูดซึมสารอาหารจากลำไส้เล็กแล้ว ตรงนี้มีการดูดซึมน้ำเข้าสู่กระแสโลหิตเท่านั้น กากอาหารจะถูกขับถ่ายออกเป็นอุจจาระ ลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนเช่นเดียวกัน คือ ลำไส้ใหญ่ตอนต้น (Ascending colon) ตอนกลาง(Transveres colon) และตอนปลาย (Descending colon)

การเปลี่ยนแปลงของลำไส้ในผู้สูงอายุ

     การเปลี่ยนแปลงทั้งสองส่วนมีลักษณะในทางเสื่อมถอยเหมือนกัน คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการบีบตัวลดลง โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคสมองเสื่อมจะมีการเสื่อมถอยในหน้าที่การทำงานมากขึ้น
     การดูดซึ่งสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ น้ำ จะทำได้น้อยลง เนื่องจากเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการดูซึมมีจำนวนน้อยลง เลือดไหลมาเลี้ยงน้อยลง นอกจากนั้นการแข็งตัวของเส้นเลือดทำให้มีการดูดซึมได้ไม่ดี
     ในลำไส้ใหญ่จะมีการขับเมือกน้อย การบีบตัวลดลง  และจะมีการดูดน้ำกลับเข้าไปในร่างกายที่ลำไส้ใหญ่ทำให้อุจจาระแห้ง ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้บ่อยในผู้สูงอายุ 

ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinaly tract:ยูรินารี เทรก) ระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วยไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ปลายเปิดท่อปัสสาวะ ระบบทางเดินปัสสาวะทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายในรูปของปัสสาวะ ควบคุมความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย รักษาความเป็นกรด-ด่าง ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็น ไตจะมีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก ทั้งนี้เลือดต้องมากรองของเสียที่ไต ไตจะกรองน้ำส่วนเกินออกจากเลือด แล้วขับออกในรูปของปัสสาวะผ่านมายังท่อไต ไปสู่กระเพาะปัสสาวะในปริมาณ 200-300 ซีซี. เราจะเริ่มปวดปัสสาวะ ระบบทางเดินปัสสาวะทั้งหญิงชายมีลักษณะใกล้เคียงกัน

การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินปัสสาวะในผู้สูงอายุ

     - ไต ขนาดของไตในผู้สูงอายุจะมีขนาดเล็กลง ประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลงคิดเป็นร้อยละ 40-60 เมื่ออายุ 75 ปี เลือดไหลผ่านไตน้อยลง การกรองลดลงถึงร้อยละ 53 การดูดน้ำกลับเข้ากระแสเลือดลดลง จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เราทราบได้ว่าการกรองของเสีย (เช่น Blood urea nitrogen: BUN คือผลผลิตสุดท้ายของโปรตีน ค่าปกติต้องไม่เกิน 10-20 มก./ดล.ผู้สูงอายุจะมีค่าสูงกว่าเล็กน้อย และ Creatinine:Cr.ค่าปกติคือ 0.6-1.2 มก./ดล. ค่าวิกฤตคือ > 4. لعب البوكر 0 มก./ดล.) ของไตลดลงจำทำให้มีของเสีย สารเคมีจากยา คงอยู่ในเลือดนานขึ้นจะทำให้เกิดผลเสียตามมา เช่น ถ้ามีโปรตัสเซียมสูงในกระแสเลือดถึง 7 มก./ดล. จะทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติและหัวใจหยุดเต้นได้
     ระบบไหลเวียนของผู้สูงอายุที่มีผลต่อการกรองของไตคือ ในระหว่างวันเลือดดำจะไปคั่งอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง สังเกตได้จากมีขาบวม เมื่อถึงเวลานอนเลือดดำจะไหลกลับมาที่ช่องอกได้มากขึ้นและไหลผ่านไต มีการกรองน้ำออกจากไตมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุต้องลุกมาปัสสาวะบ่อยขึ้น ทำให้นอนหลับพักผ่านไม่เพียงพอ
     - กระเพาะปัสสาวะ เกิดภาวะ "กระเพาะปัสสาวะหย่อนยาน" ทำให้มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะหลังถ่ายปัสสาวะแล้ว ขนาดกระเพาะปัสสาวะเล็กลง สามารถบรรจุปัสสาวะได้เพียง 250 ซีซี. จากเดิม 500 ซีซี. ทำให้ผู้สูงอายุปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน นอกจากนั้นจะมีหูรูดกระเพาะปัสสาวะหย่อนยานทำให้มีปัสสาวะเล็ดเวลาไอหรือจาม ซึ่งทำให้เสียภาพลักษณ์ในผู้สูงอายุ
     - การขับถ่ายปัสสาวะ ในผู้ชายที่อายุเกิน 50 ปี มักมีต่อมลูกหมากโต (Prostate hypertrophy) ทำให้ปัสสาวะลำบากและมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น

ระบบต่อมไร้ท่อ ต่อม (Gland) หมายถึง การรวมตัวเข้าด้วยกันของเซลล์ชนิดเดียวกันหลายๆ เซลล์ เพื่อทำหน้าที่สังเคราะห์สารอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อควบคุมการทำงานอวัยวะในร่างกาย ต่อมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ต่อมมีท่อ (Exocrine gland) และต่อมไร้ท่อ (Endocrine gland) สำหรับในส่วนนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงรายละเอียดของต่อมไร้ท่อเท่านั้นะนครับ

     ต่อมไร้ท่อ มีหน้าที่ในการผลิตสารคัดหลั่งซึ่งเราเรียกว่า "ฮอร์โมน" ซึ่งมีหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป สาเหตุที่เรียกว่า "ต่อมไร้ท่อ" ก็เพราะว่าต่อมเหล่านี้จะไม่มีท่อสำหรับรองรับสารคัดหลั่งหรือฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมา เมื่อสร้างฮอร์โมนขึ้นมาแล้วจะถูกส่งเข้าไปในกระแสโลหิต ฮอร์โมนเหล่านี้จะเดินทางไปพร้อมเลือดเพื่อไปยังอวัยวะเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ฮอร์โมนแต่ละชนิดจะทำหน้าที่เพื่อให้ร่างกายของเราอยู่ในสภาวะสมดุล หรือมีสุขภาพที่ดี หากมีการทำงานที่ผิดปกติจะทำให้เกิดความบกพร่องในการทำงานของร่างกายหรืออวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินน้อยลงจะส่งผลให้น้ำตาลไม่สามารถผ่านเข้าเซลล์ได้ เซลล์จะทำงานผิดปกติและมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในเลือดร่างการจะเกิดความผิดปกติขึ้น เป็นต้น ต่อมไร้ท่อของเรามีดังต่อไปนี้
ภาพแสดงต่าแหน่งของต่อมไร้ท่อชนิดต่างๆ
      1. ต่อมไพเนียล (Pinail gland:ไพเนียล แกรนด์)เป็นต่อมที่อยู่บริเวณกึ่งกลางสมอง หลั่งฮอร์โมนเมลาโทนีน จะหลั่งในช่วงมืดทำให้เราง่วงนอน และเมื่อมีแสงสว่างการหลั่งจะลดลงทำให้เราหายง่วง และยังมีส่วนช่วยยับยั้งการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว หากมีการสร้างฮอร์โมนนี้มากเกินไปจะทำให้ร่างกายพัฒนาเข้าสู่วัยหนุ่มสาวช้าลง แต่ถ้าสร้างได้น้อยลงจะทำให้พัฒนาสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ 
      นอกจากนั้นยังมีความเกี่ยวโยงกับการกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย มีความเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังในผู้สูงอายุ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ในผู้สูงอายุระดับของฮอร์โมนเมลาโทนีนจะลดลงมาก 
     2. ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland:ไทรอยด์ แกรนด์) อยู่บริเวณด้านหน้าของหลอดลมใต้ลูกกระเดือก เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีหน้าที่สร้างฮอร์โมน "ไทร็อกซิน" ส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระดูก สมองและระบบประสาท ควบคุมการเผาผลาญพลังงานของร่างกายให้มีความเหมาะสม 
     ในผู้สูงอายุไม่พบการเปลี่ยนแปลงมากนักของต่อมไทรอยด์ แต่ถ้าหากต่อมไทรอยด์ในผู้สุงอายุทำงานมากหรือน้อยกว่าปกติ จะแสดงอาการไม่มีความจำเพาะเหมือนในวัยหนุ่มสาว อาจพบอาการเช่น สับสน เคลื่อนไหวช้า สติปัญญาต่ำลง ท้องผูก เป็นต้น
       3. ต่อมพาราไทรอยด์ (Paratyroid gland:พาราไทรอยด์ แกรนด์) เป็นต่อมไร้ท่อขนาดเล็กอยู่ทางด้านหลังของต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่ผลิต "พาราทอร์โมน" ควบคุมการเมทตาบอลิซึ่ม (Metabolism) ของ "แคลเซียมและฟอสฟอรัส" ของร่างกาย 
     มีการศึกษาพบว่า การมีแคลเซียมสูงในเลือดร้อยละ 90 มีสาเหตุมาจาก "ต่อมไทรอยด์โตชนิดปฐมภูมิ" สามารถพบได้ทุกวัย แต่จะพบมากเมื่ออายุมากขึ้น พบมากระหว่างอายุ 50-70 ปี ภาวะแคลเซียมสูงในเลือดมีอันตรายต่อ ระบบหัวใจและหลอดเลือด กระดูกพรุน และนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
     4. ต่อหมวกไต (Addrenal gland:แอดดรีนัล แกรนด์) ขนาดของต่อมมีขนาดเล็กลงแต่ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ
ยกเว้นฮอร์โมน อัลโดสเตอร์โรต (Aldosterone) ซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาน้ำและเกลือไว้ในร่างกายเพื่อรักษาระดับความดันโลหิตไว้ มีจำนวนน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นหากผู้สูงอายุเกิดภาวะที่ทำให้สูญเสียเกลือแร่ของร่างกาย เช่น ท้องเสีย จะทำให้ความดันโลหิตของผู้สูงอายุต่ำลงอย่างรวดเร็ว 
     5. ตับอ่อน (Pancrease:แพนเครียส) มีเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิต "อินซูลิน" เพื่อช่วยให้เซลล์สามารถนำน้ำตาลไปผลิตพลังงานได้ ความผิดปกติของตับอ่อนทำให้ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้หรือสร้างได้น้อยลงจะทำให้เกิดภาวะ "น้ำตาลในเลือดสูง" หรือที่เราเรียกกันว่า "โรคเบาหวาน"  
     ในผู้สูงอายุ ขนาดของตับอ่อนจะมีขนาดเล็กลง บางรายมีไขมันสอดแทรกอยู่ในต่อมอินซูลิน และมีการศึกษาพบว่า เมื่ออายุมากขึ้นจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 10.5-19.2 (ระวีวรรณ เลิศวัฒนารักษ์, 2561)
     6. ต่อมเพศชาย คือ "ลูกอัณฑะ" ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิต "อสุจิ" (Sperm) มีข้างซ้ายและขวา
     ในผู้สูงอายุจะมีลูกอัณฑะเล็กลงและมีลักษณะแข็งขึ้น สร้างอสุจิได้น้อยลง และพบว่ามีฮอร์โมน เทสโทสเตอรณ์โรน ในเลือดลดลงซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากลูกอัณฑะของเพศชาย มีบทบาทสำคัญกับสุขภาพ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน มีส่วนช่วยด้านพลังงานและสมรรถนะของร่างกาย รวมทั้งสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งหากมีภาวะของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไม่สมดุล จะส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อารมณ์แปรแปรวน หงุดหงิด มีการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อ กระดูกพรุน มีปัญหาการนอนหลับ และหดหู่อย่างมากในการดำเนินชีวิต 
     7. ต่อมเพศหญิง คือ รังไข่ เป็นอวัยวะขนาดเล็กมีอยู่ 2 ข้าง ที่ด้านซ้ายและด้านขวาของมดลูก ทำหน้าที่ผลิตเซลล์สืบพันธุ์ และผลิตฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) ทำให้ผู้หญิงมีความแตกต่างจากผู้ชาย แต่เมื่อเข้าสู่วัยทอง รังไข่ก็จะค่อย ๆ ทำงานลดลงเนื่องจากความเสื่อม จนในที่สุดไม่สามารถเจริญพันธุ์ได้ คือไม่มีการตกไข่เพื่อผสมกับอสุจิของเพศชาย ลักษณะความเป็นหญิงและความต้องการทางเพศที่เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนก็ค่อย ๆ เสื่อมลงเช่นเดียวกัน 
      เมื่อรังไข่ไม่ทำงาน คือ ไม่มีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้เกิดอาการต่างๆ ได้ เช่น 
      - อาการร้อนวูบวาบตามตัว ส่งผลให้นอนไม่หลับ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลให้มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ไม่สดชื่น 
      - ช่องคลอดแห้ง เกิดการอักเสบของช่องคลอด 
      - ความต้องการทางเพศลดลง
      - พบอาการซึมเศร้าได้
      - เต้านมเล็กและหย่อนยาน
      - ผลระยะยาวพบว่ามีความชุกของการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 
      - กระดูกพรุน เนื่องจากมีการสลายของกระดูกคิดเป็นร้อยละ 5 ต่อปี

ระบบสืบพันธุ์ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดำรงเผ่าพันธ์ุของสิ่งมีชีวิต มีการทำงานที่มีระบบซับซ้อนมาก มนุษย์เราก็เช่นกัน การมีเพศสัมพันธุ์ของหญิงและชายเพื่อให้เกิดการ “ปฏิสนธิ” ระหว่าง “อสุจิของเพศชาย” และ “ไข่ของเพศหญิง” อวัยวะของเพศชายและหญิงประกอบด้วยหลายอย่าง

ภาพแสดงระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
     ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ประกอบด้วย
     1. รังไข่ (Ovary:โอวารี) เป็นอวัยวะก่อนกลมรี อยู่ที่ปลายของปีกมดลูกทั้งสองข้าง มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง และผลิตไข่สำหรับผสมกับอสุจิ
     2. ปีกมดลูก (Fallopian Tube:โพโรเปียน ทูป) เป็นท่อข้างซ้ายและขวาเชื่อมระหว่างมดลูกกับรังไข่ เป็นท่อสำหรับลำเลียงไข่ไปสู่มดลูก โดยปกติจะเป็นจุดที่มีการปฏิสนธิระหว่างไข่และอสุจิ
     3. มดลูก (Uterus:ยูเทอรัส) เป็นส่วนที่แข็งแรงมาก เพราะจะเป็นที่อยู่ของเด็ก เมื่อมีการตั้งครรภ์
     4. ปากมดลูก (Cervix:เซอวิส) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างมดลูกและช่องคลอด ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของประจำเดือนกรณีที่ไม่มีการตั้งครรภ์ เป็นทางผ่านของอสุจิที่จะเดินทางเข้าไปผสมกับไข่ของผู้หญิง และเมื่อมีการตั้งครรภ์ปากมดลูกก็จะเป็นทางผ่านของเด็กทารกด้วย
     5. ช่องคลอด (Vagina:วาจิน่า) เป็นท่อโพรงต่อจากปากมดลูก เป็นทางผ่านของประจำเดือน อสุจิและเด็กทารก และเป็นส่วนที่ให้ความสุขทางเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ุ
ภาพแสดงอวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
     อวัยวะเพศชาย ประกอบด้วย
     1. ลูกอัณฑะ (Testis:เทสทิส) มีข้างซ้ายและข้างขวา มีหน้าที่ในการสร้างอสุจิและฮอร์โมนเพศชาย (Testostorone:เทสโทสเตอโรน) เพื่อพัฒนาลักษณะของเพศชาย เช่น เสียงทุ้ม มีกระเดือก มีหนวดเครา เป็นต้น
     2. องคชาต (Penis:พินีส) เป็นอวัยวะเพศชาย เป็นทางผ่านของท่อปัสสวะ และหลั่งน้ำอสุจิ มีกล้ามเนื้อมีลักษณะฟองน้ำเป็นองค์ประกอบหดและขยายตัวได้เมื่อมีเลือดเข้าไปคั่งภายใน
     3. หลอดสร้างอสุจิ (Seminiferous Tubule:เซมินิเฟอรัส) มีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ ขดไปขดมาอยู่ภายในอัณฑะ ซึ่งทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ ปกติแล้วจะมีต่อมละ 800 หลอด
     4.หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epididymis:อิพิดิไดมีส) อยู่ด้านบนของอัณฑะ มีลักษณะเป็นท่อเล็ก ๆ ขดไปมาเพื่อเก็บและพักตัวอสุจิให้เติบโต หากนำมายืดเป็นเส้นจะได้ขนาดยาวประมาณ 6 เมตร
     5.หลอดนำตัวอสุจิ (Vas Deferens:วาส ดีเฟอเรนส์) เชื่อมต่อกับหลอดเก็บตัวอสุจิ โดยทำหน้าที่ลำเลียงอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ 
     การเปลี่ยนแปลงอวัยวะสืบพันธ์ุเพศหญิงพบว่า เต้านมหย่อนยาน หัวนมเล็กลง เนื้อเยื่อเต้านมมีไขมันมากขึ้น อวัยวะเพศภายนอกเหี่ยวลงเนื่องจากไขมันใต้ผิวหน้งลดลง ขนบริเวณอวัยวะเพศน้อยลง แคมนอก (Labia) แบนราบลง ช่องคลอดบางลงและไม่มีหลอดเลือด แห้งมีภาวะเป็นด่างทำให้ติดเชื้อได้ง่าย มดลูกและปากมดลูกเหี่ยวและเล็กลง การตอบสนองทางเพศลดลง
     การเปลี่ยนแปลงอวัยวะสืบพันธ์ุของเพศชายพบว่า ขนที่อวัยวะเพศลดลง ฮอร์โมนเพศชายลดลง หลอดเลือดแดงที่มาเลี้ยงองคชาตลดลง หลอดเลือดแข็งยืดหยุ่นได้น้อยและมีพังผืดแทรกในองคชาต น้ำอสุจิมีความเข้มข้นน้อยลง จำนวนอสุจิลดจำนวน

2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์

บุคลิกภาพ พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพเกิดขึ้นแม้อาจุจะมากขึ้น บุคลิกจะเหมือนกับวัยที่ผ่านมาและจะยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้น เช่น คนที่เคยพูดมากก็จะยังคงพูดมากเหมือนเดิม สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในทุกๆ วัยก็คือ “ความต้องการมีคุณค่า” แต่ละวัยจะแสดงบุคลิกเพื่อให้ได้สิ่งนี้มาต่างๆ กันไป ผู้สูงอายุเองก็มีวิธีการของตนเองที่สะสมวิธีการสร้างคุณค่าให้กับตนเองมาอย่างหลากหลายวิธีและยาวนาน เพื่อให้ตนเองสามารถดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่น วิธีใดสำเร็จก็จะนำมาใช้ซ้ำๆ จนกลายเป็นนิสัยส่วนตัว เมื่อก้าวสู่วัยสูงอายุ ลูกหลานเติบโตขึ้นมาเป็นวัยผู้ใหญ่และเรียนรู้บุคลิกจากสิ่งแวดล้อมของเขาเอง ซึ่งต่างไปจากของวัยผู้ใหญ่ ถ้ามีความแตกต่างกันในแนวคิดปฏิบัติก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งตามมาหากต่างคนต่างยืนยันในแนวคิดของตนเอง เด็กก็จะมองผู้สูงอายุว่า “อนุรักษ์นิยม” ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผู้สูงอายุก็จะมองว่าเด็กสมัยนี้ดี้อ ไม่มีระเบียบ ไม่รู้จักให้ความเคารพผู้ใหญ่

แต่หากผู้สูงอายุรายได้ยอมรับความเป็นจริงได้ว่าโลกสมัยมันเปลี่ยนไปความเชื่อของตนเองก็อาจใช้ได้ไม่ดีแล้วในปัจจุบัน และทุกคนก็อยากแสดงความคิดตามแนวทางของตนเองเพื่อความมีคุณค่าของเขา ผู้สูงอายุก็จะฟังเด็กอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้นและลองให้เขาได้ทดลองทำในสิ่งที่เขาเชื่อภายใต้กรอบที่มีเหตุผล ซึ่งครั้งหนึ่งผู้สูงอายุเองก็เคยทำมาเช่นกัน สำหรับเด็กเองหากมีความใจเย็นยอมรับฟังสิ่งที่ผู้สูงอายุพูดด้วยความรักและเคารพ แล้วนำบางอย่างไปประกอบใช้ในชีวิตโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็จะสูงขึ้น เพราะผู้สูงอายุย่อมอยากให้บุตรหลานของตนเองได้ดี ก็จะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับทั้งสองฝ่าย บุคลิกภาพที่เราพบได้ในสังคมผู้สูงอายุสามารถแบ่งออกได้หลายแบบดังนี้

     1. แบบผสมผสาน (Integrated personality:อินเทเกรเต็ด) เป็นผู้สูงอายุที่พบได้ในสังคมทั่วไป ยังมีสติปัญญาที่ดี มีความยืดหยุ่น สนใจสิ่งแวดล้อม อารมณ์ดี สามารถปรับตัวต่อการสูลเสียและอยู่ในโลกของความจริง มีความรู้สึกพึงพอใจในชีวิต ซึ่งยังสามารถแบ่งออกได้อีกเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ
        1.1 แบบทำกิจกรรม (Organizers:ออร์กาไนเซอร์) เป็นผู้สูงอายุที่ชอบหากิจกรรมทำไม่ยอมอยู่ว่าง แม้เกษียณอายุแล้วก็จะหากิจกรรมอย่างอื่นที่ชื่นชอบทำ โดยใช้เวลาให้มีคุณค่า ผู้สูงอายุกล่มนี้จะมีความสุข สุขภาพกายใจแข็งแรง เพราะสมองได้บริหารกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเป็นเรื่องใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำโดยการศึกษาจากสื่อต่างๆ 
        1.2 แบบเลือกกิจกรรม (Focused:โฟกัส) ผู้สูงอายุกลุ่มนี้จะเลือกทำเฉพาะกิจกรรมที่ตนเองสนใจเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่มีความสอดคล้องหรือใกล้เคียงกับที่ตนเองมีความรู้หรือมีความถนัด เช่น ปลูกต้นไม้ งานศิลปะ เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
        1.3 แบบปล่อยวาง (Disengaged:ดีสเอ็นเกจเจ็ท) เป็นผู้สูงอายุที่ปล่อยวางบทบาทหน้าที่ ไม่รู้สึกสูญเสียเมื่อเกษียณอายุงาน รักความสงบ มีความพึงพอใจในชีวิต อาจเน้นเรื่องของธรรมะ ทำสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น
     2. แบบปกป้องตัวเอง (Defensed personality:ดีเฟนเซท เพอโซนาริตี้) ผู้สูงอายุกลุ่มนี้จะมีความคิดความรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน เป็นคนที่ทำให้ตนเองก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาและต้องทำต่อไปเรื่อย เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดจากการสูญเสียความสามารถหรือบทบาททางสังคม แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
        2.1 แบบยึดมั่นถือมั่น (Holding:โฮลดิ่ง) คือ บุคคลกลุ่มที่พยายามกุมอำนาจของผู้อื่นไว้ เพื่อที่จะได้มีความรู้สึกว่ายังต้องมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบ เพื่อคงความมีคุณค่าของตนเองไว้ หากขาดความรู้สึกนี้ไปจะทำให้เกิดความเครียดเข้ามาแทนที่
        2.2 แบบสังคมแคบ (Constrited:คอนสตริคเท็ด) กลุ่มนี้จะมีความคิดอารมณ์ที่ติดอยู่กับการสูญเสียเกือบจะทุกอย่าง หมกมุ่นอยู่กับข้อจำกัดของตนเอง ไม่อยากคิดหรือทำอะไรใหม่ๆ เพราะกลัวว่าจะต้องผิดพลาดซ้ำอีก จึงทำให้ความคิดวนอยู่กับเรื่องเดิมๆ แต่ก็จะไม่เครียดที่จะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่และความผิดพลาดใหม่ๆ
     3. บุคลิกแบบพึ่งพาผู้อื่น (Pasive dependent personality:แพสซีฟ ดีเพนเดนท์ เพอโซนาริตี้) เป็นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถอยู่ได้อย่างอิสระหรือตามลำพังของตนเอง แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ 
        3.1 แบบพึ่งพาสังคม (Social seeking:โซเชียล ชีกกิ่ง) ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างมาก จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น จะสามารถอยู่ในสังคมได้หากยังมีคนคอยให้การช่วยเหลือ ความสุขในชีวิตของผู้สูงอายุจะอยู่ในระดับปานกลาง
        3.2 แบบทิ้งสังคม (Apathetic:อพาเธติก) กลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมการแยกตัวจากสังคม ไม่ชอบทำอะไรชอบอยู่เฉยๆ ไปวัน ไม่ค่อยให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ หรือแม้แต่รายได้ในการดูแลตนเอง (Shinya Ishii, Nancy Weintraub and James R. Mervis, 2009)

อารมณ์ ลักษณะอารมณ์ของผู้สูงอายุจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพัฒนาการในวัยที่ผ่านมา หากเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จะช่วยทำให้ผู้สูงอายุมีลักษณะอารมณ์เหมาะสมกับวัย เพราะสามารถมองย้อนกับไปในอดีตแล้วมีความภาคภูมิใจกับสิ่งที่ได้รับทำให้คงความมีคุณค่าในตนเองไว้ได้ จะส่งผลให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดี มีความสุขในชีวิต แต่ถ้าพัฒนาการในวัยที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จ จะสร้างความรู้สึกถึงความผิดพลาดในชีวิต รู้สึกขมขื่น รู้สึกผิดหวัง จะมีอารมณ์ที่อ่อนไหวกระทบกระเทือนใจได้ง่าย รู้สึกสงสารตัวเอง รู้สึกไร้คุณค่า อาจแสดงออกในรู้ของหงุดหงิด อารมณ์ฉุนเฉียว หากมีสิ่งเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจจะมีความวิตกกังวลสูง มีอารมณ์เหงาได้ง่ายเพราะไม่ใครอยากอยู่ใกล้ชิดจากอารมณ์ที่แสดงออกสู่คนรอบข้าง ขาดคนให้ความช่วยเหลือ มีภาวะซึมเศร้า

3. การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม

     การเปลี่ยนแปลงสถานทางสังคม สามารถมองได้ตามสภาวะการต่างๆ ดังต่อไปนี้ 
     1. บทบาททางสังคม ผู้ที่มีอาชีพรับราชการ ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ต้องมีการเกษียณอายุตามวาระ การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้เป็น 3 ระยะ คือ
        1.1 ระยะก่อนเกษียณ สามารถแบ่งได้อีก คือ
            1.1.1 ระยะไกลเกษียณ เป็นระยะที่บุคคลยังมีความรู้สึกว่ายังมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานอีกมาก คือตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานจนรู้สึกว่าการเกษียณเริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเตรียมตัวเพื่อการเกษียณ ควรมีการวางแผนเรื่องการเงินในระยะยาว ควรเตรียมพร้อมเรื่องงานอดิเรกที่สนใจ การฝึกทักษะหลายๆ อย่างตั้งแต่วัยหนุ่มสาวถือว่าจำเป็นมาก เพราะวัยหนุ่มสาวสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดี รวมไปถึงการเตรียมพร้อมเรื่องของสุขภาพ เพราะความเสื่อมถอยของร่างกายเมื่อยามสูงอายุนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมสุขภาพทั้งกายและจิตในวัยตอนต้นด้วย เพราะหลายคนอาจไม่ทราบหรือไม่รู้ว่าต้องเตรียมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
            1.1.2 ระยะใกล้เกษียณ หลายคนมักเพิ่งเริ่มรู้สึกว่าต้องทำอะไรบ้างอย่างเพื่อการเกษียณ แต่มักจะไม่ค่อยทันในการเตรียมตัวซักเท่าไรทั้งในเรื่องการเงิน และการฝึกเตรียมการในเรื่องของงานอดิเรกที่พอจะช่วยในการหารายได้เพิ่มเติม เพราะการเตรียมการเหล่านี้ต้องใช้เวลาในพอสมควร ตัวอย่างเช่น หากเป็นผู้บริหารเมื่อเกษียณอายุแล้ว อยากทำงานอดิเรกด้านเกษตรกรรม ก็ต้องมีการเตรียมพื้นที่ดินไว้ก่อน ต้องเคยศึกษาหาความรู้เรื่องของการทำเกษตรแต่ละชนิดไว้บ้าง ต้องมีเงินทุนที่จะต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ต้องมีร่างกายที่แข็งแรง เพราะไม่ว่าเราจะมีการศึกษาเตรียมการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้แล้ว แต่พอถึงเวลาปฏิบัติจริงๆ เราจะพบปัญหาให้ต้องแก้ไขกันอยู่ร่ำไป แม้เราจะเรียกว่างานอดิเรกแต่ก็ต้องผ่านการฝึกฝนมาในเรื่องนั้นพอสมควร
         1.2 ระยะเกษียณ คือวันที่นับต่อไปนี้ไม่ต้องทำงาน แบ่งเป็น 4 ระยะ
             1.2.1 ระยะน้ำผึ้งพระจันทร์ เป็นระยะของคนที่ทำงานที่ผ่านมาภายใต้แรงกดดันมากมาย ทั้งกฎระเบียบ งานที่ต้องพัฒนาจากหัวหน้า ร่วมถึงปัญหาผู้ร่วมงาน จนอยากไปทำอย่างอื่นเพื่อหนี้ความเครียดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นี้ ซึ่งหลายครั้งก็ยังขาดความชัดเจนว่าจะไปทำอะไรมีเพียงภาพรางๆ ที่จะทำและภาพของความประสบความสำเร็จ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีอะไรที่จะสำเร็จได้โดยง่ายและถาวร ยกตัวอย่างของผู้เขียนเอง ซึ่งตลอดเวลาที่ทำงานในองค์กรเอกชนจะรับงานทุกอย่างที่มีการมอบหมายจากหัวหน้างานรวมถึงคนอื่นๆ ที่มาขอความช่วยเหลือ แม้ว่างานนั้นจะทำไม่เป็น หรือไม่เคยทำมาก่อนก็จะรับไว้ เพื่อนำมาศึกษาหาแนวทางทำให้สำเร็จ เพื่อที่เราจะได้ใช้เวลางานในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สิ่งที่ผู้เขียนชอบคือการเป็นนักบรรยาย ผู้เขียนฝึกการเป็นนักบรรยายด้วยการรับบรรยายโดยไม่มีค่าตอบแทน อาจมีบ้างก็เพียงเล็กน้อย เป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี ในระหว่างที่อยู่ในองค์กรก็จะมีงานบรรยายทั้งในและนอกสถานที่ซึ่งก็มีงานบรรยายมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายผู้เขียนเกิดความมั่นใจว่า ถ้าออกไปตั้งสถานบันเป็นของตัวเองก็น่าจะดีกว่าเพราะจะได้รับค่าตอบแทนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วผู้เขียนก็ลาออกจากงานประจำ แต่ในช่วงแรกยังไม่มีสถาบันที่มารองรับความน่าเชื่อถือของผู้เขียน เวลาเราไปนำเสนองานที่ไหน เขาจะขอข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของเราอย่างมากมาย ขอหนังสือรับรองการทำงาน ประสบการณ์ทำงาน วุฒิการศึกษา ฯลฯ ผู้เขียนตกใจมากเพราะก่อนหน้าที่เราอยู่ในองค์กรไม่เคยมีการร้องขอจากบริษัทเลย นั่นแสดงว่าเข้าไว้ใจเราในนามขององค์กรที่เราทำงานอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เขียนเลยต้องมาแก้ปัญหาข้อนี้ให้ได้ นั่นหมายความต้องมีสถาบันเป็นของเราเอง ต้องมีโปรไฟล์ของการเป็นนักบรรยายให้เขาเห็น โชคดีที่ว่าตอนที่อยู่ในองค์กรผู้เขียนไม่เคยปฏิเสธงานบรรยายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งงานนี้ไม่ค่อยมีใครอยากทำ เพราาะทุกคนอยากทำแต่งานประจำในหน้าที่เท่านั้น การรับงานบรรยายอย่างที่ผู้เขียนทำนั้นเป็นงานเสริมที่เขาขอร้อง ไม่ได้นำไปพิจารณาเป็นผลงานประจำปีใดๆ แต่ผู้เขียนเชื่อว่ามันมีประโยชน์ในอนาคตแน่นอน
             1.2.2 ระยะปลงตก ระยะนี้เป็นระยะที่ต่อจากระยะแรก อย่างที่บอกระยะน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นระยะที่เต็มไปด้วยจิตนาการที่หอมหวาน แต่เมื่อถึงการลงมือทำจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แม้จะมีการเตรียมตัวมาแล้วเราก็อาจจะเจอกับปัญหาหลายๆ เรื่องอย่างที่ผู้เขียนได้เล่าถึงสิ่งที่ได้พบมานั้นเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น บางคนไม่สามารถข้ามผ่านจุดนี้ไปได้เพราะขาดการเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอก็อาจทำให้บุคคลนั้นตกอยู่ในที่นั่งรำบากได้เกิดความท้อแท้ เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เพราะทำอะไรที่เคยหวังไว้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ที่ผู้เขียนสามารถผ่านจุดนี้มาได้อย่างไม่รำบากนักก็เพราะว่าระหว่างที่ผู้เขียนอยู่ในองค์กรได้พยายามเรียนรู้ทักษะหลากหลายด้าน เช่น การถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ การตัดต่อวีดีโอ กราฟฟิก การทำเว็บไซต์ การเป็นนักพูด เพื่อเอามาพัฒนางานในส่วนของผู้เขียนรับผิดชอบอยู่ เมื่อผู้เขียนลาออกจากงานประจำจึงใช้ความรู้เหล่านี้สร้างธุรกิจของตนเอง ทำการตลาดเอง ทำเว็บไซต์เอง ทำคู่มือจัดอบรมเอง บรรยายเอง ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจึงต่ำ ผู้เขียนจึงสามารถขายงานของผู้เขียนได้ในราคาที่ต่ำและมีคุณภาพ จึงมีลูกค้าจำนวนมากจ้างผู้เขียนไปบรรยายในที่ต่างๆ มากมาย นั่นจึงทำให้ผู้เขียนสามารถก้าวผ่านจุดนี้ไปได้อย่างไม่รำบากนัก เวลาพบปัญหาก็จะสามารถหาทางออกได้เสมอ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามและเวลาในการแก้ไขปัญหามากโขอยู่เหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าผู้เขียนมีการเตรียมตัวมาเป็น 10 ปี
             1.2.3 ระยะฝึกใหม่ ระยะนี้จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุที่ยังไม่สามารถปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่จนเกิดความพึงพอใจในการดำเนินชีวิตได้ เป็นระยะที่ต่อเนื่องมาจากระยะปลงตก ในระยะฝึกใหม่จะเริ่มต้นได้บุคคลนั้นต้องมีความอดทน เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดแล้วเริ่มทบทวนใหม่ที่ละเล็กละน้อย เรียนรู้ความเชื่อมโยงของความล้มเหลว แล้วนำไปสู่การปรับปรุง ผู้สูงอายุบางคนมาไม่ถึงระยะนี้ เพราะเกิดความท้อถ่อยไปเสียก่อน หรืออาจอยู่ในระยะนี้ไปตลอด คือรองแล้วรองอีกก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนเกิดความท้อแท้ เกิดภาวะซึมเศร้า กลายผู้สูงอายุที่ต้องพึงพิงในที่สุด
             1.2.4 ระยะเข้ารูปเข้ารอย ผู้สูงอายุที่เข้าสู่ระยะนี้ได้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีการเตรียมความพร้อมไว้ก่อนที่จะถึงวัยเกษียณ ซึ่งระหว่างที่เตรียมตัวก็จะเริ่มลงมือทำในสิ่งที่ต้องการทำในวัยเกษียณไปแล้ว โดยเริ่มเล็กๆ น้อยๆ แก้ไขข้อบกพร่องไปเรื่อยๆ เพราะระหว่างที่ยังทำงานอยู่ไม่สามารถออกมาทำกิจการส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ เมื่อเกษียณอายุงาน ก็จะได้ออกมาทำกิจการที่ต้องการอย่างเต็มที่ บางคนผ่านระยะที่ 2 และ 3 มาถึงระยะที่ 4 เลยก็มี
        1.3 ระยะสิ้นสุดบาบาทผู้เกษียณ อาจเกิดจากความเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ ไม่สามารทำกิจกรรมหลักๆ ที่ต้องการได้ เช่น อยู่บ้านทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ไปวันด้วยมีข้อจำกัดในด้านร่างกาย
     ในหัวข้อนี้เรากำลังพูดถึง "บทบาททางสังคม" ซึ่งการเกษียณอายุถือเป็นการ "สูญเสียบทบาททางสังคม" อย่างหนึ่ง จากเดิมที่มีห้องทำงาน มีเพื่อนร่วมงาน มีคนเคารพยกย่อง กลายเป็นผู้สูงอายุที่ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีห้องทำงานเหมือนเดิม ไม่มีลูกน้องมากล่าวสวัสดีในตอนเช้าเหมือนเดิม หากผู้สูงอายุยึดติดอยู่กับบทบาทเดิม ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า "บทบาทสมมติ" และไม่เข้าใจกฎของธรรมชาติที่ว่า "เกิดขึ้ต คงอยู่ ดับไป" บุคคลนั้นก็จะคิดวนเวียนอยู่กับความสำเร็จที่หอมหวานน่าภาคภูมิใจ โดยไม่คิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ก็จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกสูญเสียของที่มีค่า หากมีความรุนแรงและไม่สามารถปรับความคิดได้ก็จะนำไปสู่ความเครียด ซึมเศร้า เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง และเมื่อเกิดภาวะทุพพลภาพขึ้นก็จะกายเป็นผู้สูงอายุที่มีภาวะพึงพิง ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน สังคมและระดับประเทศ
     2. ความสัมพันธ์ทางสังคม เราสามารถพิจารณาความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้สูงอายุที่แตกต่างกันตามสภาวะทางสุขภาพได้คือ
        2.1 ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม กลุ่มนี้จะมีสุขภาพดี อาจมีโรคประจำตัวอยู่บ้างแต่ก็สามารถควบคุมได้ดี มักเป็นผู้สูงอายุที่ดูแลสุขภาพได้ดี ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย  เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้ เดินทางท่องเที่ยวได้ ไปหาเพื่อรุ่นเดียวกันได้ เป็นจิตอาสากิจกรรมต่างๆ กลุ่มนี้จะมีความสัมพันธ์ทางสังคมค่อนข้างหลากหลาย ส่งผลให้สุขภาพจิตดี อารมณ์ดี เพราะรู้สึกถึงความมีคุณค่าในตนเอง เนื่องจากมีอิสระในการตัดสินใจในการดำเนินชีวิตของตนเอง
        2.2 ผู้สูงอายุติดบ้าน กลุ่มนี้ความสัมพันธ์ทางสังคมจะเริ่มแคบลง เนื่องจากไม่สามารถออกจากบ้านได้โดยอิสระ ต้องอาศัยการช่วยเหลือจากผู้อื่น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากโรคประจำตัวเรื้อรังที่ควบคุมโรคได้ไม่ดีจนทำให้เกิดภาวะทุพพลภาพบางอย่างขึ้น ไม่สามารถเดินทางได้ตามลำพัง ความสัมพันธ์ทางสังคมของกลุ่มนี้จึงจำกัดเฉพาะคนในครอบครัว บุตรหลาน แต่ถ้าความสัมพันธ์ในครอบครัวดี ได้รับการยอมรับจากครอบครัวหรือบุตรหลาน ได้รับการดูแลด้วยความรักเคารพ พาไปทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น พบเพื่อนเก่า ไปทำบุญ เป็นบ้างครั้งเมื่อมีโอกาส ความสัมพันธ์ทางสังคมของกลุ่มนี้ก็ยังถือว่าดี ผู้สูงอายุกลุ่มนี้ก็ยังพอมีความพึงพอใจในต้นเองอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แม้จะไม่เท่ากลุ่มติดสังคม
        แต่ในกลุ่มติดบ้านถ้าเป็นโสดหรือคู่ชีวิตเสียชีวิตแล้ว และบุตรหลานแยกตัวไปมีครอบครัวหรือทำงาน หรืออยู่กับลูกที่เช้าทำงานเย็นกลับบ้าน กลางวันก็ต้องอยู่ตามลำพัง จะทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้สูงอายุกลุ่มนี้ยิ่งแคบมากขึ้น โอกาสที่จะมีความพึงพอใจในการดำเนินชีวิตจะยิ่งลดน้อยลง มีความเหงาว้าเหวมากขึ้น อาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้สูง
        2.3 ผู้สูงอายุติดเตียง กลุ่มนี้มักช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย ต้องการคนคอยช่วยเหลือตลอดเวลา เนื่องจากมีภาวะทุพพลภาพหลายด้าน เช่น เป็นอัมพาต เดินไม่ได้ เจาะคอเพื่อการช่วยหายใจ เป็นต้น ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์ทางสังคมจะจำกัดอยู่กับผู้ดูแล ซึ่งอาจเป็นลูก สามีหรือภรรยา หรือผู้รับจ้างดูแล (Care giver:แคร์ กีฟเวอร์) กลุ่มนี้มักมีปัญหาเรื่องของความสัมพันธ์ทางสังคมและจิตใจ

4. การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ

ภาวะเศรษฐกิจของผู้สูงอายุในประเทศไทย สามารถพิจารณาได้จากลักษณะของอาชีพ ครอบครัว และรายได้หลังเกษียณ

     - กลุ่มข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ กลุ่มนี้เมื่อเกษียณอายุจะได้รับบำเน็จ-บำนาญ ซึ่งก็ไม่ได้สุงมากนัก พอที่จะยังชีพอยู่ได้ตามอัตภาพ ยามเจ็บป่วยก็ยังมีสวัสดิการดูแลรักษา หากยังอยู่กันครบสามีภรรยาก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระกันได้ดีขึ้น บางรายอาจได้รับเงินจากลูก สภาพเศรษฐกิจก็มักจะไม่ค่อยมีปัญหา สุขภาพกายใจก็มักอยู่ในเกณฑ์ดี
     - กลุ่มลูกจ้างบริษัทเอกชน กลุ่มนี้มีความหลากหลายเนื่องจากมีรายหลายระดับ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีสวัสดิการ "กองทุนทดแทน" คือเป็นการเก็บเงินสะสมร่วมกันระหว่างลูกจ้าง 50 % และนาย 50 % เมื่อลาออกหรือเกษียณลูกจ้างจะได้รับเงินก้อนนี้ จำนวนขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างและอัตราเงินเดือน กลุ่มนี้จะไม่มีบำเน็จ บำนาญ เวลาเจ็บป่วยต้องพึงพาระบบประกัน หรือสวัสดิการของรัฐ ผู้สูงอายุกลุ่มนี้หากยังอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวก็มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ยกเว้นอยู่ตัวคนเดียว และไม่มีอาชีพเสริม อาจมีปัญหาในด้านเศรษฐกิจได้
     - กลุ่มที่มีอาชีพส่วนตัว ซึ่งมีรายได้หายระดับเช่นกัน เช่น ค้าขาย การเกษตร การประมง ผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงมักไม่มีปัญหาเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เพราะส่วนใหญ่ยังสามารถทำกิจการของตนเองได้ บางครอบครัวก็มีลูกหลานรับทอดกิจการต่อ ก็สามารถดูแลผู้สูงอายุได้เพราะไม่ต้องแยกครอบครับไปหารายได้ แต่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ของประเทศไทย ยังมีรายได้น้อยกว่ามาตรฐาน (น้อยกว่า 300,000 บาท/ปี/คน) ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุไม่มีรายได้ หรือมีไม่เพียงพอ ไม่มีครอบครัว มีหนี้สิน หรือได้รับการช่วยเหลือจากลูกหลานเพียงเล็กน้อย กลุ่มนี้เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะมีภาวะพึ่งพิงสูง และทำให้เกิดปัญหาด้านอารมณ์จิตใจตามมา
เอกสารอ้างอิง:
ขวัญชนก ริยปาน. 2562. การศึกษาภาวะการรับกลิ่นและปัจจัยที่มีผลต่อการรับก
     ลิ่นในผู้สูงอายุชาวไทย. เชียงรายเวชสาร. ปีที่ 11 ฉบับที่ 2/2562. หน้า
     100-105.
คณาจารย์สถาบันพระบรมราชชนก. 2556. การพยรบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เล่ม 1.
     พิมพ์ครั้งที่ 13. พิมพ์ที่; นนทบุรี ยุทธรินทร์ การพิมพ์ จำกัด. لعب قمار اون لاين 
ระวีวรรณ เลิศวัฒนารักษ์. 2561. โรคเบาหวานในผู้สูงอายุ. สืบค้นเมื่อวันที่ 
     22 พฤษภาคม 2564 จาก. https://www.dailynews.co.th/article/663767.
Gulshan Sharma and James Goodwin. 2006. Effect of anging on respiratory
     system physololgy and immunolory. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2564. 
     https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2695176/.
Mayo clinic. 2021. Ateriosclerosis. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2564 จาก. المراهنات على المباريات 
     https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/arteriosclerosis-
     atherosclerosis/symptoms-causes/syc-20350569. 
Medlineplus. 2021. Aging changes in the heart and blood vessels. สืบค้น
     เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 จาก. 
     https://medlineplus.gov/ency/article/004006.htm.
Shinya Ishii, Nancy Weintraub and James R. Mervis. 2009. Apathy: A
     common Psychiatrict Syndrome in the Elderly. สืบค้นเมื่อวันที่ 22
     พฤษภาคม 2564 จาก.http://webcache.
     googleusercontent. com/search?q=cache:31jpdXd-MkJ:nptherapies.org/
     images/4/4c/Apathy.pdf+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th.