ปฐมพยาบาล, หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, หัวใจวายเฉียบพลัน

ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ (Tachycardia) หมายถึง ภาวะที่หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ โดยปกติหัวใจจะเต้นอยู่ที่ประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที แต่หากหัวใจเต้นเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที ถือว่าผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การออกกำลังกาย ภาวะเครียด ภาวะขาดน้ำ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น

อาการของภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

  • ใจสั่น
  • หายใจหอบเหนื่อย
  • หน้ามืด เวียนศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดหัว
  • อ่อนเพลีย

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

หากพบผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ให้ประเมินอาการเบื้องต้นดังนี้

  • ตรวจสอบการหายใจ หากไม่หายใจ ให้รีบทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR)
  • ตรวจสอบการเต้นของหัวใจ หากหัวใจหยุดเต้น ให้รีบใช้เครื่องกระตุกหัวใจ (AED)
  • หากผู้ป่วยรู้สึกตัว ให้นั่งหรือนอนพักในที่ที่เงียบสงบ
  • ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มเกลือแร่
  • หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้น ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

วิธีช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR)

  1. ประเมินความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ
  2. ปลุกเรียกผู้ป่วยด้วยการตบไหล่ทั้งสองข้างและเรียกเสียงดังๆ
  3. หากไม่รู้สึกตัว ให้รีบโทรแจ้ง 1669
  4. จัดท่าผู้ป่วยให้นอนหงายราบกับพื้นแข็ง
  5. ดันหน้าผาก – ดึงคางขึ้น เพื่อเปิดทางเดินหายใจ
  6. ตรวจสอบการหายใจโดยการเอียงหูฟังแนบที่จมูกผู้ป่วย หากไม่หายใจ หรือหายใจผิดปกติที่เรียกว่า หายใจเฮือก ให้เริ่มช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR)
  7. กดหน้าอกด้วยสันมือข้างที่ถนัด โดยวางตรงกึ่งกลางกระดูกหน้าอกระดับเต้านม กดลงด้วยความลึกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร ในอัตราความเร็ว 100 – 120 ครั้งต่อนาที
  8. เป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง โดยใช้ปากประกบปากผู้ป่วยและปิดจมูกผู้ป่วยไว้
  9. สลับกดหน้าอก 30 ครั้ง เป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัว หรือจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

วิธีใช้เครื่องกระตุกหัวใจ (AED)

  1. เปิดเครื่อง AED และปฏิบัติตามคำแนะนำของเครื่อง
  2. ติดแผ่นอิเล็กโทรดของเครื่อง AED บนหน้าอกผู้ป่วย
  3. เครื่อง AED จะวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วย หากพบว่าหัวใจหยุดเต้น เครื่องจะแจ้งให้ทำการช็อกหัวใจ
  4. กดปุ่มช็อกหัวใจตามคำแนะนำของเครื่อง
  5. ทำตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 จนกว่าหัวใจของผู้ป่วยจะกลับมาเต้นปกติ

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยหัวใจเต้นเร็วผิดปกติอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น