
1.1.1 การเปลี่ยนแปลงโครงของประชากร
ผู้สูงอายุหมายถึง ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโลกส่งผลให้หลายประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) รวมถึงประเทศไทยที่มีประชากรสูงอายุถึงร้อยละ 16 นับเป็นอันดับสองของอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากรสูงอายุถึงร้อยละ 18 โดยในปี 2558 ประเทศไทยมีจำนวนประชากรรวม 65.1 ล้านคน แบ่งเป็นประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวนถึง 10.3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 16 ของประชากรไทยทั้งหมด เป็นเพศชายจำนวน 4.6 ล้านคน และเพศหญิงจำนวน 5.7 ล้านคน และในปี 2564 ประเทศไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประชากรเกือบ 1 ใน 4 ของประเทศจะเป็นประชากรสูงอายุ และปี พ.ศ.2574 จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด โดยจะมีประชากรสูงอายุมากถึงร้อยละ 28 (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2558) รวมถึงการคาดประมาณประชากรของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ.2553-2583 คาดการณ์ไว้ว่าสัดส่วนของประชากรวัยเด็ก (อายุน้อยกว่า 15 ปี) และวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) มีแนวโน้มลดลงสวนทางกับสัดส่วนประชากรสูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ.2560 สัดส่วนประชากรวัยเด็กจะเท่ากันกับสัดส่วนของประชากรวัยสูงอายุ และหากเปรียบเทียบสัดส่วนของประชากรวัยทำงานต่อประชากรวัยสูงอายุ จำนวน 1 คน ที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะการพึ่งพิง จากเดิมที่มีประชากรวัยทำงานจำนวน 4.5 คน คอยดูแลประชากรวัยสูงอายุ 1 คน อีกไม่เกิน 14 ปีข้างหน้า สัดส่วนดังกล่าวจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยจะมีประชากรวัยทำงานเพียง 2.5 คน ที่ดูแลประชากรวัยสูงอายุ 1 คน (คณะทำงานคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553-2558, 2555)
จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การจัดสรรทรัพยากรของประเทศ ทั้งทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคมในภาพรวม โดยสัดส่วนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงภาระของรัฐ ชุมชน และครอบครัว ในการทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ ทั้งการดูแลสุขภาพ การจัดสวัสดิการและบริการที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ การจัดหาที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เพื่อเป็นการป้องกันสุขภาพผู้สูงอายุให้มีความแข็งแรงและยืดระยะเวลาการเจ็บป่วยเรื้อรังหรือการเข้าสู่ภาวะทุพพลภาพให้ช้าที่สุด จึงเป็นความท้าทายที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญในประเด็นของการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อการแก้ไขปัญหาข้อจำกัดของการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว เนื่องจากการลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ที่ทำให้บุตรซึ่งเป็นผู้ดูแลหลักลดลง รวมทั้งแบบแผนการย้ายถิ่นของกำลังวัยแรงงานไปทางานพื้นที่อื่นทำให้กำลังหลักของครอบครัวที่จะให้การดูแลผู้สูงอายุระยะยาวลดลง

จากรูปภาพกราฟ จะเห็นได้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2513 สัดส่วนของประชากรส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก วัยรุ่น และวัยทำงาน ดูได้จากฐานของกราฟจะมีลักษณะกว้าง และมีปลายยอดเล็ก ซึ่งเป็นสัดส่วนของผู้สูงอายุซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่น้อยกว่า จากปี พ.ศ. 2513 - 2552 ลักษณะของกราฟเปลี่นแปลงไป คือ ส่วนกลางและส่วนฐานของกราฟมีขนาดใกล้เคียงกัน หมายความว่า สัดส่วนของประชากรวัยทำงานมีจำนวนมากขึ้นพอๆ กับวัยเด็กและวัยรุ่น นั้นแสดงให้เห็นว่ามี "อัตราการเกิด" ลดน้อยลง สำหรับสัดส่วนของวัยทำงานที่เพิ่มมากขึ้นนั้นมากจากของเติบโตของวัยรุ่นในช่วงปี พ.ศ. 2513 นั้นเอง เมื่อดูกราฟระหว่างปี 2552-2570 จะมีลักษณะฐานเล็ก ปล่องกลาง และส่วนปลายกราฟมีขนาดขยายใหญ่ขึ้น หมายความว่า สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก สาเหตุที่สัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเกิดจากสาเหตดังต่อไปนี้ 1) ระบบการแพทย์และสาธารณสุขมีการพัฒนาขึ้น ส่งเสริมให้มีการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น รวมถึงการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้มีอายุที่ยืนยาวขึ้น 2) ประชากรปัจจุบันแต่งงานช้าลง เนื่องจากต้องทำงานนอกบ้านทั้งสามีและภรรยา 3) มีการคุมกำเนิดกันมากกว่าสมัยก่อน จึงทำให้อัตราการเกิดของเด็กลดลง
เราสามารถแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุได้หลายลักษณะ
การแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุที่หลากหลายรูปแบบ โดยมิได้กำหนดกลุ่มเพียงอายุตามปีปฏิธินเพียงอย่างเดียว มีผลดีต่อการวางมาตรการการดูแลผู้สูงอายุแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม เนื่องจากผู้สูงอายุแต่ละคนนั้นมีสภาวะด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและเศรษฐกิจแตกต่างกัน แม้ว่าจะอยู่ในช่วงอายุเดียวกัน ความแตกต่างกันนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรมของแต่ละคน นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมในอดีต สิ่งแวดล้อม สังคม การศึกษาของผู้สูงอายุแต่ละคนด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายตั้งแต่วัยหนุ่มสาว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์มาตลอด ไม่ใช้สิ่งเสพติด มักจะมีสุขภาพที่ดีเมื่อก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นต้น เราจึงมีการแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุดังต่อไปนี้
แบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามปีปฏิธิน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ผู้สูงอายุตอนต้น (Young-old) กลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 60-69 ปี กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะยังมีร่างกายที่แข็งแรงอยู่ อาจมีโรคเรื้อรังบ้างแต่ยังสามารถควบคุมอาการได้ดี สามรถดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวันได้ดี สามารถไปมาหาสู่เพื่อเก่าได้ เข้าสังคมร่วมกิจกรรมจิตอาสาได้ ไปวัดปฏิบัติธรรมได้ หรือเดินทางท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หากมีเศรษฐานะที่ดี ส่งผลให้ผู้สูงอายุในกลุ่มนี้มีสุขภาพกาย ใจ สังคมและเศรษฐกิจที่ได้ ผู้สูงอายุบางคนยังคงสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ เช่น ทำการเกษาตร การประมง หรือธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 ผู้สูงอายุตอนกลาง (Middle-old) กลุ่มนี้มีอายุอยู่ระหว่าง 70-79 ปี กลุ่มนี้มักมีโรคเรื้อรังมากกว่า 1 โรค และมีบางโรคไม่สามารถควบคุมหรือรักษาได้ผลดี จนกลายเป็นข้อจำกัดของผู้สูงอายุในกลุ่มนี้สำหรับการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม หรือถ้าจะเข้าร่วมก็ต้องอาศัยผู้อื่นพาไป ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงมักอยู่ที่บ้าน ยังคงสามารถดูแลตนเองได้บ้างในกิจวัตรประจำวัน แต่ต้องอาศัยผู้อื่นในบ้างเรื่อง เช่น การออกไปซื้ออาหาร หรือการทำอาหาร เป็นต้น
กลุ่มที่ 3 ผู้สูงอายุตอนปลาย (Old-old) กลุ่มนี้มีอายุมากกว่า 80 ปี จะมีลักษณะ "หง่อม" มีโรคคุกคามหลายโรค บางรายมีความพิการจนไม่สามารถดูแลตนเองได้เลย ต้องอาศัยผู้อื่นดูแลตลอดเวลา มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ติดอยู่ที่ร่างกายตลอดเวลา เช่น ให้อาหารทางสายยาง (Nasogastric: NG tube feeding) มีสายสวนปัสสาวะคาไว้ตลอด (Foley's catheter) บางรายต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ (Tracheostomy tube) เป็นต้น
แบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามภาวะสุขภาพ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี กลุ่มนี้จะมีอิสระในการดำเนินชีวิตสูง ปราศจากการต้องพึ่งพอผู้อื่นหรือสังคม อาจไม่มีโรคเรื้อรังประจำตัว หรือถ้ามีก็จะสามารถควบคุมอาการของโรคได้ดี ผู้สูงอายุบางคนยังสามารถประกอบอาชีพได้อยู่ เช่น ค้าขาย อาชีพอิสระ การเกษตร การประมง เป็นต้น หรือบางรายชอบการท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ตามแต่เศรษฐานะจะเอื้ออำนวย ยังคงมีการพบปะสังสรรกับเพื่อน มีกิจกรรมทางสังคม บางคนก็ทำงานจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น กลุ่มนี้มักมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีมาตั้งแต่ยังหนุ่มสาว ชอบการออกกำลังกาย มีสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมาดี ส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีการศึกษาดี มีสุขภาพจิตที่ได้ สามารถเผชิญปัญหาต่างๆ ได้ดี
กลุ่มที่ 2 ผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังหรือภาวะทุพพลภาพ กลุ่มนี้จะช่วยเหลือตนเองได้น้อยลง สามารถทำบางเรื่องเองได้ บางอย่างต้องอาศัยผู้อื่น การออกไปพบปะผู้คนหรือเข้าสังคมจะเริ่มมีข้อจำกัดเนื่องจากภาวะความทุพพลภาพ ร่วมกับโรคเรื้อรังบางโรคไม่สามารถรักษาได้ผลดี ถ้ามีลูกหลานหรือคู่ครองคอยดูแล และเศรษฐานะอยู่ในเกณฑ์ดี มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของสุขภาพจิตหรือสังคม เนื่องจากมีคนคอยดูแล แต่ถ้าหากต้องอยู่บ้านตามลำพัง รวมถึงเศรษฐานะไม่ค่อยดี มักจะเกิดภาวะเครียดและถ้าความเครียดคงอยู่เป็นเวลานานจะทำให้มีปัญหาเรื่องของสุขภาพจิต และทำให้โรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ทรุดลง เพราะไม่สามารถดูแลตนเองได้ดี
กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้สูงอายุหง่อม กลุ่มนี้มักช่วยเหลือตนเองไม่ได้เลย มีโรครุ่มเร้าหลายโรค มีความเปราะบางของร่างกายสูง มักอยู่ในภาวะติดเตียง ต้องคอยให้มีคนคอยดูแลช่วยเหลือตลอดเวลา ต้องมีคนคอยป้อนอาหาร หรือให้อาหารทางสายยาง บางรายต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา บางรายต้องเจาะคอช่วยการหายใจ หรือมีสายสวนปัสสาวะคาไว้ตลอดเวลา เป็นต้น
แบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามสมรรถภาพของร่างกายแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ผู้สูงอายุติดสังคม เป็นกลุ่มที่สามารถดูแลตนเองได้ดี เข้าสังคมได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้เองไม่ต้องพึ่งพอผู้อื่น เช่น การหุ้งหาอาหาร การอาบน้ำแต่งตัว เป็นต้น ดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างอิสระ เป็นผู้ที่มีสุขภาพทั่วไปดี ไม่มีโรคเรื้อรัง หรือเป็นเพียงผู้เสี่ยงต่อการเกิดโรค หรือมีโรคเรื้อรัง 1-2 โรคแต่สามารถควบคุมอาการได้ดี กลุ่มนี้มักมีสุขภาพจิตและสังคมที่ดี
กลุ่มที่ 2 ผู้สูงอายุติดบ้าน กลุ่มนี้จะมีข้อจำกัดในการเข้าสังคม จำเป็นต้องอยู่บ้านเนื่องจากติดข้อจำกัดบางประการ เช่นผู้ป่วยที่ข้ออักเสบเรื้อรังที่ควบคุมไม่ได้จนไม่สามารถเดินทางได้ตามลำพัง หรือไม่สามารถออกไปหาซื้ออาหาร สิ่งของเครื่องใช้ได้เอง เป็นต้น แต่ยังพอสามารถดูแลตนเองที่บ้านได้ในบางเรื่อง แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นในบางเรื่อง อาจมีภาวะแทรกซ้อนทางด้านร่างกายหรือจิตใจ มีผลต่อการรู้คิด การตัดสินใจบกพร่องในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะคนที่ต้องอยู่ตามลำพัง และเศรษฐานะไม่ดี
กลุ่มที่ 3 ผู้สูงอายุติดเตียง เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถดูแลตนเองในกิจวัตรประจำวันได้ ต้องอาศัยผู้อื่นคอยดูแลช่วยเหลือ ช่วยในการเคลื่อนย้าย มักมีโรคเรื้อรังหลายโรคและเป็นมายาวนาน ร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่เป็นอยู่ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้