ระบบปกคลุมร่างกายประกอบด้วยผิวหนังและโคร้างสร้างที่เจริญมาจากผิวหนัง ซึ่งได้แก่ เส้นผมหรือขน (Hair) ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) เล็บ (Nail) ต่อมน้ำนม (Mammary gland)

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย หรือประมาณ 20% ของน้ำหน้กร่างกาย ความหนาของผิวหนังจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของร่างกาย ตั้งแต่ 1 มม. ถึง 5 มม. ส่วนที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมบ่อย ๆ เพื่อปกป้องอวัยวะที่อยู่ภายในจะมีความหนามากกกว่าที่อื่น (Thick skin) เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นต้น
หน้าที่ของผิวหนัง
1. ทำหน้าที่ป้องกัน (Protection) เช่น ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลท ป้องกันเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม ป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย โดยทำงานร่วมกับระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิต 2. รับความรู้สึก (Sensation) เช่น ร้อน เย็น แรงกด การสัมผัส และอาการเจ็บปวด โดยทำงานร่วมกับระบบประสาท 3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Body temperature regulation) ผิวหนังสามารถปรับเพิ่มหรือลดอุณภูมิของร่างกายให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อวัยวะในร่างกายสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยทำงานร่วมกับระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ เป็นต้น 4. สังเคราะห์ไวตามินดี (Vitamin D production เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดงอย่างพอเหมาะ 5. ขับของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ (Excretion)
ส่วนประกอบของผิวหนัง
ผิวหนังประกอบด้วย 2 ชั้น คือ หนังกำพร้า และหนังแท้

หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นบริเวณชั้นนอกสุดของผิวหนัง ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าหรือออกจากร่างกาย และห่อหุ้มร่างกาย ประกอบด้วยเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวประเภทสแตรทิฟายด์ สแควมัส (Stratified squamous epithelium) รองรับด้วยเบซัล ลามินา (ฺBasal lamina cell) หนังกำพร้าไม่มีหลอดเลือด แต่ได้รับสารอาหารและถ่ายเทของเสียโดยการแพร่ผ่านหนังแท้ เซลล์องค์ประกอบส่วนใหญ่ของหนังกำพร้าคือ คีราติโนไซต์ (Keratinocytes:สารที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือหมดอายุขัยจะกลายเป็นขี้ไคล : Keratin) เมลาโนไซต์ (Melanocytes:สารตั้งต้นกระตุ้นให้เกิดเม็ดสี หรือ Melanin ทำให้มีสีผิวเข้มขึ้น) เซลล์แลงเกอร์ฮานส์ (Langerhans cells ทำหน้าที่เกี่ยวกับภูมิคุ้นกันของผิวหนัง) และเซลล์เมอร์เคลส์ (Merkels cells: เซลล์ที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกสัมผัส)
หนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นของผิวหนังที่อยู่ใต้หนังกำพร้า (Epidermis) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue) ลดการกระแทกจากแรงดึงต่างๆ หนังแท้ยึดติดกับหนังกำพร้าอย่างแน่นหนาโดยเยื่อฐาน (Basement membrane) และมีปลายประสาทมากมายซึ่งรับความรู้สึกเช่นสัมผัสหรือความร้อน ในหนังแท้ยังมีรากขน (Hair follicle) ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) ต่อมเหงื่อแบบอะโพครายน์ (Apocrine sweat glands) และหลอดเลือด (Blood vessel) หลอดเลือดในชั้นหนังแท้มีประโยชน์ในการให้อาหารมาเลี้ยงและขับของเสีย เช่นเดียวกับสตราตัม เบซาเลของหนังกำพร้า
โครงสร้างที่เจริญมาจากผิวหนัง (Derivtives of skin)

เส้นขน หรือเส้นผมเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยเคอราตินสีและขนาดขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ อายุ เพศ และตำแหน่งบนร่างกาย สามารถมาพบได้ทั่วร่างกาย ยกเว้น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ริมฝีปาก หัวนม และบางส่วนของอวัยวะสืบพันธ์ุ ได้แก่ ส่วนปลายของอวัยวะเพศชาย (Glans penis) จุดกระสันของเพศหญิง (Clitoris) และแคมเล็ก (Labia minora)
เส้นขนและเส้นผมของเราจะมีอยู่ประมาณ 100,000 – 120,000 เส้น และจะหลุดล่วงได้วันละ 50 -100 เส้น แต่สำหรับท่านที่ไม่ได้สะผมทุกวัน เช่น สะทุก 2-3 วัน แล้วพบว่ามีเส้นผมจำนวนมากหลุดล่วงออกมา ก็ไม่ต้องตกใจครับ เพราะนั้นอาจเป็นเพราะเส้นผมก่อนหน้าที่จะสะผมไม่มีการหลุดล่วง จึงเกิดการหลุดล่วงสะสมได้ ทำให้เหมือนกับว่า “ผมล่วงจำนวนมาก” การเจริญเติบโตของเส้นผมหรือขนมีอยู่ด้วยกัน 3 ระยะ
1.ระยะการเจริญเติบโต (Anagen Phase) เป็นระยะเวลาที่เส้นผมใหม่งอกขึ้น มีระยะเวลายาวนานประมาณ 3 ปี หรืออาจถึง 7 ปี (ในวัยเด็ก) และเมื่ออายุมากขึ้น ระยะการเจริญเติบโตนี้ก็จะสั้นลง ในระยะนี้เส้นผมจะงอกเร็วประมาณ 1 cm. หรือ ครึ่งนิ้ว (90% ของเส้นผมอยู่ในระยะการเจริญเติบโต อีก 10%อยูในระยะพักตัว)
2. ระยะเส้นผมพักตัว (Catagen Phase) คือ ระยะสิ้นสุดการเจริญเติบโตแล้ว และเส้นผมจะเข้าสู่ระยะพักตัว ประมาณ 3 สัปดาห์ ในระยะนี้เส้นผมแยกตัวจากหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยง ค่อยๆขาดสารอาหารและเตรียมที่จะร่วง (10% ของเส้นผมอยู่ในระยะพัก)
3. ระยะหยุดการเจริญเติบโต (Telogen Phase) ต่อมรากผมจะเลื่อนตัวขึ้นไป ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน จะมีเส้นผมที่งอกขึ้นใหม่ดันให้ผมเก่าหลุดร่วงออกไป (10-15% ของเส้นผมอยู่ในระยะหยุดการเจริญเติบโต) ถ้าจะมีอะไรก็ตามที่มาขัดขวางการเจริญของผมใหม่ หรือเร่งให้ผมมาอยู่ในระยะพักเร็วขึ้นก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วง มากกว่าผมขึ้น ดูผมบางลงได้
หน้าที่ของขนหรือเส้นผม
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
- ปกป้องผิวหนัง เช่น จากแสงแดด เป็นต้น
- รับความรู้สึกสัมผัส เช่น เราจะรู้สึกได้เมื่อมีลมพัดผ่านผิวหนังเรา
- เป็นส่วนที่ช่วยระบายเหงื่อและไขมัน
- สร้างบุคลิกของร่างกาย เช่น ทรงผม เป็นต้น
- มีส่วนสนับสนุนการหายของแผล
เล็บ (Nail)

เล็บ เป็นส่วนของเซลล์ชั้นหนังกำพร้าที่ตายแล้ว เลื่อนขึ้นมาอัดแน่นเป็นแผ่นแข็งติดชั้นหนังกำพร้า เล็บจะงอกยาวประมาณ 0.1 มิลลิเมตรในเวลา 1 สัปดาห์ ส่วนประกอบของเล็บคือ
1. Nail plate คือ แผ่นเล็บ ประกอบด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว เล็บจะยาวและงอกใหม่ตลอดเวลา มีโปรตีนที่เรียกว่า Keratin 2. Proximal nail fold คือ ผิวหนังด้านล่างบริเวณโคนเล็บ มีเยื่อขาว ๆ ที่เรียกว่าคิวติเคิล ช่วยยิดโคนเล็บให้ติดกับ Nail plate 3. Lateral nail folds คือ ผิวหนังที่ปกคลุมด้านข้างทั้งซ้ายและขวาของ nail plates ไว้ทำให้ nail plate ถูกปกคลุมด้วยผิวหนังตลอด 3 ด้าน 4. Nail matrix คือ ตัวสร้างเล็บ (Nail plate) ประกอบไปด้วยเซลล์ต่างๆ โดยเซลล์ส่วนใหญ่คือ Keratinocyte ที่จะผลิตเล็บให้ยืดยาวออกไป 5. Nail bed คือ เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ Nail plate 6. Hyponychium คือ ผิวหนังบริเวณที่ Nail plate แยกตัวออกจาก Nail bed ทำให้สามารถตัดเล็บได้บริเวณตำแหน่งนี้
หน้าที่ของเล็บ
1. ป้องกัน (Protection) อันตรายที่จะเกิดต่อนิ้วส่วนปลาย 2. รับความรู้สึก (Sensitivity) ทำให้ระบบรู้สึกสัมผัสแบบระเอียดดีขึ้น 3. ทำให้นิ้วมือสามารถหยิบจับสิ่งของได้ดี โดยเฉพาะสิ่งของที่มีขนาดเล็ก 4. เป็นอาวุธของร่างกายอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ ในการขีด ข่วน เพื่อต่อสู้กับอันตราย 5. เล็บนิ้วเท้ายังช่วยให้การเคลื่อนไหวของเท้าได้ดียิ่งขึ้น 6. เป็นแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น 6.1 การเจ็บป่วยของร่างกาย เล็บก็จะหยุดการเจริญเติบโตทำให้เห็นเป็นร่องของเล็บ (Beau's tine) เป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งที่ตรวจพบได้ 6.2 ใช้ตรวจหายาหรือสารพิษ (Toxic substances) ที่สะสมในร่างกายได้ เนื่องจากยาหรือ สารพิษจะมาสะสมที่เล็บ 6.3 ในโรคบางโรคที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญของร่างกาย การตรวจวิเคราะห์เล็บ (Nail plate analysis) เช่น โรคปกพร่องเอนไซม์ กลูโครส 6 ฟอสเฟต ดีไฮโดรเจนเนส (G-6-PD Difeciency) 6.4 การตัดแผ่นเล็บไปตรวจหาหมู่เลือด(Blood groups) สกัด DNA (DNA extraction) จากแผ่นเล็บ หรือตรวจด้านพันธุกรรม เป็นต้น
ต่อมไขมัน (Sebaceous gland)

ต่อมไขมัน (Sebaceous Gland หรือ Oil Gland) ต่อมไขมันมีหน้าที่โดยปกติคือ ผลิตและขับน้ำมัน (มีชื่อเฉพาะว่า Sebum) น้ำมันซีบัม ที่ขับออกมานี้ ทำให้ผิวหนังเป็นมัน นุ่มไม่แตกแห้ง ลดความฝืด และช่วยสร้างความชุ่มชื้น เพราะความหนืดของน้ำมัน จึงไม่ยอมให้น้ำในร่างกายระเหยผ่านออกไปได้ แต่ถ้าน้ำมันซีบัมไม่สามารถขับออกมาได้เพราะปากท่อต่อมน้ำมัน มีการอุดตันจะโดยสาเหตุใดก็ตาม ทำให้เกิดมีตุ่มสิวขึ้น
ต่อมเหงื่อ (Sweat gland)

ต่อมเหงื่อพบได้ทั่วร่างกายเช่นเดียวกัน ยกเว้นที่ริมฝีฝาก (Lips) ช่องหูส่วนนอก (External Ear Canal) และบริเวณแคมเล็ก หรือแคมในของอวัยวะเพศสตรี (Labia Minora) ต่อมเหงื่อจะมีมากที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้าผาก เวลามีเรื่องตื่นเต้นจะพบว่าเหงื่อออกมากในบริเวณดังกล่าว
หน้าที่ของต่อมเหงื่อ คือ ผลิตเหงื่อ ซึ่งเป็นน้ำและเกลือโซเดียมละลายอยู่ค่อนข้างสูง โดยเหงื่อจะช่วยให้ร่างกายเย็นลง เมื่อน้ำเหงื่อระเหยเป็นไอน้ำก็จะดึงความร้อนแฝงออกไป กรณีอากาศร้อนทำให้ต่อมเหงื่อที่ผิวหนังผลิตเหงื่อออกมามาก ก็เพราะศูนย์ควบคุมอุณหภูมิ (Thermoregulatory Center ) ที่อยู่บริเวณมันสมองส่วนล่าง (Hypothalamus) เป็นผู้สั่งการให้ต่อมเหงื่อทำงานเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ต่อมกลิ่นตัว (Apocrine gland)

ต่อมกลิ่นตัว สำหรับต่อมกลิ่นตัวมีลักษณะโครงสร้างคล้ายต่อมเหงื่อ (Sweat Gland) แต่มีหน้าที่หลักคือ ผลิตกลิ่นเฉพาะที่ค่อนข้างฉุนเพื่อประโยชน์ทางเพศแต่ใช้มากกับสัตว์ มนุษย์มีบ้างแต่น้อยมากที่จะชอบกลิ่นฉุนแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ ต่อมดังกล่าวจะมีหนาแน่นบริเวณรักแร้ (Axilla) ผิวหนังรอบทวารหนักและอวัยวะเพศ (Anogeital Region) เหงื่อที่ออกมากเกินไปอย่าง เช่น กรณีเล่นกีฬาหนัก ๆ จะขับแมกนีเซียมออกมามาก พร้อมกับเหงื่อจนทำให้ร่างกายขาดแมกนีเซียม จนถึงหัวใจวายได้ เหงื่อตามปกติจะมีกลิ่นอ่อนมาก
Reference:
https://amprohealth.com/beauty/healthy-skin/
http://www.fsps.muni.cz/emuni/data/reader/book-4/11.html
https://www.zrtlab.com/blog/archive/sweating-heavy-metal-detox/